Wednesday, January 29, 2014

เรื่องใหม่แกะกล่อง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 29 มกราคม 2557

ตั้งแต่ 30 ตุลาคม 2556 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นในอาเซียนเราก็ห่อเหี่ยวเหือดแห้งด้วยสาเหตุต่างๆนานาทำให้ติดลบกันไปตามระเบียบ โดยเฉพาะไทย ซึ่งจากรูปก็ชัดเจนว่าเหี่ยวที่สุด ส่วนสาเหตุคงไม่ต้องพูดถึง...

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องใหม่แกะกล่องจากประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างอาร์เจนตินา ตุรกี เวเนซูเอล่า ที่เศรษฐกิจเค้ามีปัญหาในหลายจุดซ่อนเร้น โดยเฉพาะในอาร์เจนตินา ที่เงินเฟ้อสูงถึง 25% และทุนสำรอง ที่หดหายไปเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับปีก่อนโดยต่ำสุดในรอบ 7 ปี จนกดดันให้รัฐบาลต้องปล่อยค่าเงินตัวเองให้ลอยเท้งเต้ง (อ่อนไป 15% เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน) ตรงนี้เพื่อช่วยลดแรงกดดันจากตลาดมืดของเค้าด้วยครับ เพราะสายสืบผมบอกมาว่าเงินเปโซของเค้าซื้อขายกันถึง 13 เหรียญ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯในตลาดมืด เทียบกับตลาดจริง ที่ซื้อขายกันก่อนหน้านี้เพียง 6 เปโซ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะอ่อนตัวเป็น 8 เปโซ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ บัดนาว



ใบ้แบะๆว่า ค่าเงินโบลีวาร์ของเวเนซุเอลาในตลาดมืดโหดโฮกๆกว่านี้อีกครับ โดยซื้อขายกันที่ 75 ต่อดอลลาร์ เทียบกับ 6.3 โบลีวาร์ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐในตลาดจริง.. ยังมีอะไรหลายอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ที่เรายังไม่รู้ สิ่งที่น่าคิดก็คือ หากนักโจมตีค่าเงินเล็งเห็นตรงนี้ แล้วเข้าไปจัด (ดังที่มีคนเคยทำกับไทยเมื่อปี1997) ซึ่งหากประเทศนั้นทุนสำรองต่ำและพื้นฐานเศรษฐกิจไม่ดีจริง ก็มีสิทธิ์ ‘ไม่รอด’ ได้เช่นกัน 
   
ส่วนพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเรา ณ ปัจจุบัน ยังถือว่าแจ่ม ไม่แย่ ทุนสำรองยังมากกว่าหนี้ระยะสั้นอยู่เกิน 2 เท่า (ไม่เหมือนตอนปี 1997 ที่แทบไม่มี) ดังนั้น ไม่ตระหนกตกใจแต่ก็ไม่ประมาทครับ เพราะวิกฤตมักจะมาในเวลาที่เราคาดไม่ถึงเสมอ

Wednesday, January 22, 2014

สถานการณ์ฉึกฉึก

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 22 มกราคม 2557

นาทีนี้คงไม่มีข่าวใดฮอตไปกว่าการออกพ.ร.ก.ฉุนเฉินของรัฐบาลชุดปัจจุบัน สมควรหรือไม่ ผมคงมิกล้าออกความเห็น เพียงแต่ความจริงก็คือ ประเทศไทยได้ตกอยู่ในภาวะป่วยฉึกฉึกมาซักพักแล้วละ.. ในแง่การลงทุน ไม่ต้องสืบ เพราะหากเทียบกับการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตอนปี 53 เพียงวันทำการแรก ตลาดหุ้นไทยก็ลงพรวดไปถึง 3.5% ปู๊ดๆ และลงต่ออีกร่วม 10% จากนั้น.. ซึ่งทำให้ผลตอบแทนเทียบกับภูมิภาคในช่วงนั้นติดลบถึง 9% (ดูรูป)
ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมครับว่า ประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอยหรือไม่ก็ได้ เพียงแต่ให้ตระหนักไว้ว่าอาจมีบางเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ดังสุภาษิตฝรั่งที่ว่า History doesn't repeat itself, but it does rhyme. ดังนั้นไม่ต้องตระหนกตกใจ แต่ก็ไม่ประมาทในการลงทุนครับ
  
ในแง่ TFEX หลังจากฝรั่งซื้อ (Long) ต่อเนื่องมาถึง 12 วันนับจากต้นปี.. ณ บัดนาวเค้าได้พลิกกลับมาขาย (Short) ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ซะแล้ว (ดูรูป) สถานการณ์จะเป็นยังไงต่อไป.. โปรดติดตามต่อสัปดาห์หน้า

Wednesday, January 15, 2014

ฝรั่งมังค่า

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 15 มกราคม 2557

ความวุ่นวายทางการเมืองยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติกระปริบกระปรอยไม่กล้าซื้อหุ้นไทยเต็มกระบอกทั้งๆที่ขายไปปีที่แล้วทั้งปีเกือบ 2 แสนล้านบาท “โอกาส”มีอยู่ในทุกวิกฤต เพียงแต่วิกฤตที่ลากยาวกว่าปกติ ก็อาจทำให้เราเจอโอกาสที่ “ดีกว่า”ได้อยู่เรื่อยๆก็เป็นได้.. ผมได้นำข้อมูล (จาก SETSMART) มาให้ดูครับ จะเห็นว่าหากนับจากต้นปีนักลงทุนที่มียอดซื้อสะสมอยู่ก็คือ ฝรั่งกับพอร์ตโบรกในขณะที่นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายหนัก รวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อขายเกือบจะเท่ากัน 

แต่หากมาดูตัวเลขในตลาดอนุพันธ์ และเจาะจงไปเฉพาะ SET50 IndexFutures เป็นที่น่าแปลกว่านักลงทุนต่างชาติกลับเป็น ยอดซื้อ (long) สะสมมาตลอด “ทุกวัน” นับตั้งแต่ต้นปี..ตรงนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนเล็กๆว่า หากใครจะ ขาย (Short) SET50Index Futures เพื่อเก็งกำไรในช่วงนี้ อาจต้องเพื่อความระมัดระวังมากขึ้นและกำหนดจุดstop loss ให้ดีครับ

ขอจบบทความสั้นๆเพียงเท่านี้ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ^^

Wednesday, January 8, 2014

ตั้งสติก่อนสตางค์

สวัสดีปีใหม่ครับ,
เขียนเมื่อ 8 มกราคม 2557

การลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้ รวมถึง การเก็งกำไรในตราสารอนุพันธ์ อาจต้องใช้สติ (มากกว่าสตางค์) มากพอสมควรครับ สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันที่ไม่มีใครอาจรู้ได้ว่าจะจบเช่นไร เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทย underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา บางท่านถึงกับเปรียบสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้กับตัวอย่างหนึ่งของทฤษฎีเกมในทางเศรษฐศาสตร์ (Game Theory) ที่ชื่อว่า Prisoner's dilemma โดยบทสรุป ก็คือ ทั้ง 2 ฝ่ายไม่อาจยอม หรือ เลิกรากันได้ ไม่งั้นจะเกิดผลเสียต่อฝ่ายตนเองอย่างมหาศาล.. อย่างไรก็ดีทฤษฎีนี้มีทางออกอยู่ครับ ซึ่งผมขออุบไว้ก่อนละกัน

ในแง่มูลค่าพื้นฐาน ณ level ปัจจุบันถือว่า SET Index ไม่ได้แพงแล้วครับ คุณปรเมศร์ ทองบัว นักกลยุทธ์แห่งค่ายสถาบันของบัวหลวงได้ทำ chart ด้านล่างนี้ไว้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บ่งบอกว่า PE ตลาดหุ้นไทยถูกกว่าค่า PE เฉลี่ยของตลาดอินโด-ฟิลิปปินส์-มาเลเซีย และ ดัชนี S&P500 ของอเมริกา ถึงเกือบ 30% (เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 20%)

แต่ประเด็นก็คือ หากเรายังไม่สามารถหาทางออกของบ้านเมืองได้ ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะ trade ที่มูลค่า discount ใกล้ๆ 30% แบบนี้ไปอีกซักพักก็เป็นได้ครับ

ในแง่ของนักลงทุนต่างชาติ จากแผนภูมิด้านล่าง แสดงให้เห็นว่า ฝรั่งได้ขายหุ้นไทยในปีที่แล้วปีเดียวเป็นมูลค่าถึงเกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าที่เค้าซื้อสะสมมาตลอด 4 ปี (2009-2012) เสียอีก สาเหตุนอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นผลจากการลดการอัดฉีดเงิน (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเหตุผลอย่างหลังนี้ น่าจะยังคงหลอกหลอนนักลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยไปอีกตลอดปีนี้ครับ