Wednesday, March 25, 2015

โมเดลหลักทรัพย์

สวัสดีครับ,

ก่อนที่ผมจะสรุปภาพรวมตลาดหุ้นและตราสารอนุพันธ์ บทความวันนี้อยากจะขอย้อนมากล่าวถึงเรื่องของประเภทนักลงทุนซักหน่อย เป็นที่ทราบกันดีครับว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน นั่นคือ 1.สถาบันในประเทศ 2.บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 3.นักลงทุนต่างประเทศ และ 4.นักลงทุนทั่วไปในประเทศ แม้ว่าในตลาดอนุพันธ์บ้านเราจะยังไม่ได้จัดนักลงทุนประเภท “บัญชีบริษัทหลักทรัพย์” ออกมาต่างหากเหมือนกับในตลาดหุ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วง 3-4 ปีให้หลังมานี้ นักลงทุนประเภทนี้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทย แต่ก็ได้ความผันผวนที่มากขึ้นเป็นของแถมตามมา ซึ่งความผันผวนนั้นถูกส่งต่อไปถึงตลาดอนุพันธ์ในที่สุด โชคดีเหลือเกินครับที่หนังสือที่ผมเพิ่งได้รับมาที่ชื่อว่า “การเงินปฏิวัติ” เขียนโดย คุณสฤณี อาชวานันทกุล มีพูดถึงการใช้โมเดลในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่นักลงทุนประเภท “บัญชีบริษัทหลักทรัพย์” ในไทยบางแห่งอาจกำลังใช้อยู่พอดี เลยอยากจะนำข้อมูลบางส่วนมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ

หนังสือเล่มนี้อ้างอิงถึงบทความ “The Terminator Comes to Wall Street” ในปี 2009 ที่เขียนโดย Joseph Fuller ผู้ร่วมก่อตั้ง Monitor หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก โดย Fuller กล่าวว่าโมเดลซื้อขายที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี 1997 จนถึงทุกวันนี้นั้นมี “ปัญหาในตัวเอง” 3 ข้อหลักไม่ว่าผู้คิดค้นจะเก่งกาจปานใดก็ตาม ปัญหาแรกก็คือ คนที่สร้างโมเดลนั้นมักจะไม่เข้าใจตลาดการเงินดีพอ เพราะเค้าคือผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็ฟิสิกส์ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ้น ตราสารหนี้ หรือจิตวิทยา อีกทั้งโมเดลนั้นจำลองอดีต ดังนั้นแม้จะมีการ Back-testing กี่ครั้ง แต่นักสร้างก็ไม่สามารถใส่สถานการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้ ปัญหาที่สองคือ ผู้บริการกองทุนควอนท์ (Quantitative fund) บ่อยครั้งไม่เข้าใจคนเขียนโมเดลดีพอ เพราะบางทีโมเดลก็ซับซ้อนมากจนแม้แต่คนเขียนเองก็วิเคราะห์ผลกระทบต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้ไม่ครบ และปัญหาสุดท้ายก็คือ โมเดลเหล่านี้ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เนื่องจากโมเดลแต่ละอันถูกออกแบบมาให้ทำตามกลยุทธ์ของตัวเองเพื่อกำไรสูงสุด ดังนั้นหากเกิดภาวะคับขันโมเดลต่างๆ ก็จะสั่งขายหลักทรัพย์แทบจะพร้อมกันและกอดเงินสดเอาไว้เพื่อหยุดผลขาดทุนของกองทุนโดยไม่คำนึงถึงบทบาทของโมเดลอื่นที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยกัน สุดท้ายแล้วก็จะทำให้ตลาดดิ่งเหว สภาพคล่องเหือดแห้ง ดังที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤตการเงินปี 2008



อย่างไรก็ดี Fuller นั้นไม่ได้พูดแต่ปัญหา แต่เค้าได้เสนอทางแก้ไว้ด้วยครับ แนวคิดหลักของเค้าก็คือ ต้องหาทางลดความผันผวนที่เกิดขึ้นจากโมเดลเหล่านี้ให้ได้ โดยเริ่มจากคณะกรรมการและผู้บริหารสถาบันการเงินควรเข้าใจตรรกะในการสร้างโมเดลให้ดี ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารความเสี่ยงเป็นหลัก รวมถึงเสนอให้เชิญนักค้าหลักทรัพย์หรือผู้จัดการกองทุนที่คร่ำหวอดในวงการมาจับเข่าคุยกับพ่อมดโมเดลอย่างสม่ำเสมอ จะได้เข้าใจตรงกันว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และควรหาวิธีปรับปรุงให้โมเดลเผื่อพื้นที่สำหรับพฤติกรรมที่ทำด้วยอารมณ์ของมนุษย์ด้วย

ในฐานะที่ผมเองพอจะมีประสบการณ์พูดคุยกับนักลงทุนประเภทบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้โมเดลซื้อขายรวมถึงผู้จัดการ Hedge Fund ต่างประเทศอยู่บ้าง ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับแนวคิดของ Fuller ครับ จริงอยู่ที่ตลาดทุนบ้านเรายังไม่ได้พัฒนาถึงขนาดที่มีนักลงทุนสถาบันที่เป็น Quantitative fund ที่ซื้อขายหลักทรัพย์ตามโมเดลคอมพิวเตอร์ที่เขียนโปรแกรมไว้ล่วงหน้าอย่างแพร่หลายเหมือนในประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในเชิงของนักลงทุนประเภทบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ หรือนักลงทุนรายย่อยนั้น ก็เริ่มมีการใช้โปรแกรมในการซื้อขายบ้างแล้ว โดยประโยชน์ของมันนอกจากจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับตลาด ยังช่วยลดต้นทุนการซื้อขายของนักลงทุนลงอย่างมาก ซึ่งก็ถือว่าเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงตลาดการเงินได้มากกว่าในอดีต แต่นั่นก็ต้องมาพร้อมกับความรู้ความเข้าใจในการลงทุนเป็นอย่างดีด้วยนะครับ  

จะเห็นว่าการใช้โมเดลในการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นแม้จะมีความเสี่ยงอยู่พอสมควร แต่หากนักลงทุนรู้จักใช้ให้ถูกวิธีและปิดความเสี่ยงในด้านต่างๆ ก็จะพบว่ามันมีประโยชน์ไม่น้อยเลยละครับ... อ๊ะๆ หน้ากระดาษกำลังจะหมดเสียแล้วผมยังไม่ได้พูดถึงภาพตลาดเลย เอาเป็นว่าผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าจะไปไหนไกลในช่วงนี้ครับ จากตัวเลขต่างๆ ที่มีแต่จะถูกปรับลดลง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจ การส่งออก หรือแม้แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียน แต่ถามว่าแล้วตลาดจะลงไปลึกเลยมั้ย ก็ขอตอบว่ายังไม่น่าลึกมากครับ เหตุผลลองย้อนกลับไปอ่านบทความ “เจ้ามือตัวจริง” ที่ผมเขียนไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนดู โชคดีครับ  

Wednesday, March 11, 2015

เจ้ามือตัวจริง

สวัสดีครับ,

สุดท้ายแล้วแม้ว่าเจ้า SET Index จะยื้ออยู่แถว 1600 อยู่หลายต่อหลายครั้ง จนเหล่ากูรูหลายท่านทนไม่ไหวคิดว่าตลาดคงไม่ลงแล้ว แต่ด้วยผลประกอบการของบริษัทที่ห่อเหี่ยว (วิ่งไม่ทันราคาหุ้นที่วิ่งไปไกล) และในเชิงเทคนิคเองการที่ดัชนีย่ำอยู่ที่เดิมหลายต่อหลายครั้ง แม้จะไม่ลงในทันที แต่นั่นก็เป็นการสร้างแนวต้านสำคัญขึ้นมาแถว 1600-1620 บ่งบอกว่าดัชนีพร้อมจะลง อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น ซึ่งและแล้วมันก็ลงมาจริงๆ ครับ ณ เวลาที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ SET Index อยู่ที่ 1525 จุด



หากจำกันได้ในบทความก่อน (ณ ขณะนั้น SET Index อยู่ที่ 1603 จุด) ผมได้เตือนไปว่าเจ้าเครื่องมือ Volume Flow ของตลาดหุ้นไทยได้ส่งสัญญาณ outflows เป็นครั้งแรกในรอบปีแล้วนะให้ระวังหน่อย ซึ่ง ณ ขณะนี้สัญญาณนั้นก็ยังเป็น outflows อยู่ครับ บ่งบอกว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะยังไม่ได้ฟื้นตัวเร็วนัก โดยในแง่ของ downside ตลาดมีแนวรับแรกอยู่ที่ 1513 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดหุ้นไทยยืนได้หลายครั้งในอดีต และบังเอิญไปตรงกับเลขฟีโบนัชชีที่ 61.8% พอดี แต่ถ้ายังหลุดอีก ก็คงเจอกันแนวรับถัดไปที่ 1480 ครับ

ในแง่ของ valuation การที่ตลาดลงแรงเมื่อวานทำให้ Trailing P/E ของ SET Index ตอนปิดตลาด ลงมาอยู่ที่ 21.20 เท่า จากจุดสูงสุดที่ 22.05 เท่าเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ในขณะที่ Trailing P/E ของ MAI Index ลงมาอยู่ที่ 79.81 เท่า จากจุดสูงสุดที่ 91.39 เท่าเมื่อปลายเดือนก่อน ซึ่งก็นับว่ายังสูงมากอยู่ดีครับ


ที่ต้องจับตาไว้หน่อยก็คือแรงขายจากนักลงทุนสถาบันในประเทศนิละ เพราะหากไปดูตัวเลขในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สถาบันในประเทศนิละครับที่สะสมหุ้นไทยไปถึง 1.8 แสนล้านบาท (ปี 2013 1.1 แสนล้าน และปี 2014 อีก 7 หมื่นล้าน) โดยล่าสุดหากนับจากต้นปี สถาบันในประเทศก็ยังเป็นยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยอยู่ 2.4 พันล้านบาท นั่นแปลว่าเขามีของตรึม และพร้อมที่จะขายออกมาหากเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้อย่างหนึ่งครับว่า ข้อดีของการที่สถาบันในประเทศเป็นผู้ถือหุ้นไทยแทนที่จะเป็นนักลงทุนต่างชาติ (ฝรั่งขายหุ้นไทยไปราว 2.3 แสนล้านบาทนับตั้งแต่ต้นปี 2013) ก็คือ เค้าน่าจะไม่เทกระจาดหุ้นไทยเหมือนกับฝรั่งหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะนักลงทุนสถาบันในประเทศส่วนใหญ่มีทางเลือกให้ลงทุนแค่ในประเทศ ไม่เหมือนฝรั่งที่สามารถลงทุนได้ทั้งภูมิภาค อีกอย่างสถาบันในประเทศเองก็มีความคุ้นเคยกับตลาดหุ้นไทยมากกว่า ซึ่งถ้าไปดูจริงๆ แนวการลงทุนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบเน้นคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น เช่นกองทุนประกันสังคม กบข. หรือบริษัทประกันต่างๆ
  
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ยังแนะนำให้นักลงทุนลงทุนโดยยึดหลักพื้นฐานตามผลประกอบการของบริษัทเป็นหลักนะครับ เพราะในระยะยาวแล้ว เจ้ามือตัวจริงของตลาดไม่ใช่นักลงทุนสถาบันในประเทศ ไม่ใช่ฝรั่ง ไม่ใช่เสี่ย ไม่ใช่ป๋าๆ (ขา) แต่มันคือผลประกอบการของบริษัท (กำไร) นั่นละครับ!