Wednesday, April 22, 2015

คนหนุ่มสาว

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานำโดยกลุ่มพลังงานเนื่องจากราคาน้ำมันที่เหมือนจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง (อย่างน้อยก็ในระยะสั้น) ซึ่งพอไปดูตัวเลขแล้วก็พบว่าน่าจะเป็นนักลงทุนต่างชาตินิแหละครับที่ช่วยกันถีบหุ้นพลังงานขึ้นมากันยกใหญ่ เพราะตัวเลขเป็น Net buy ในตลาดหุ้นไทยถึง 9.8 พันล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว



แต่หากไปดูตัวเลขทั้งเดือนเมษา (MTD) จะพบว่าพวกเราเองนิละครับที่ขายเอาๆ เพราะนักลงทุนรายย่อยเป็นยอด Net sell ถึงกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ผู้ที่เป็น Net buy เกลี่ยๆ กันไปคนละ 8 พันกว่าล้านบาท ระหว่างนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบันและพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ ที่ต้องระวังก็คือพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์นิละครับที่กลับมาซื้อกว่า 8 พันล้านบาทในเดือนนี้ (เป็นยอด Net buy ทุกวัน!) แต่นั่นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาขายหนักในเดือนที่แล้วเกือบ 9 พันล้านบาท (กุมภา -1,631.09 ล้านบาท; มกรา +8,260.48 ล้านบาท) ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่าเค้าอาจจะกลับมาขายอีกครั้งในเร็วๆ นี้เพราะพวกเค้าไม่ค่อยชอบที่จะถือหุ้นนานนักหรอก



จะว่าไปแล้วเหมือนผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับตลาดในช่วงนี้เท่าไหร่นักครับ (และก็ยังไม่เชื่อว่าราคาน้ำมันจะขึ้นต่อได้แรงติดจรวดในเร็ววันนี้) ความจริงก็เพราะว่าดัชนี SET ได้ขึ้นมาพอสมควรแล้วจากจุดต่ำสุดที่ 1485 เมื่อสิ้นเดือนมี.ค.จนถึง ณ ระดับปัจจุบันที่ 1567 ก็ราว 5% กว่าในขณะที่ยังไม่มีพัฒนาการของกำไรบริษัทจดทะเบียนมากเท่าใดนัก พอดีกับที่เริ่มเห็นนักลงทุนไทยบางส่วนเริ่มที่จะหาช่องทางกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น (เงินบางส่วนอาจไหลออก) ตีความได้นัยหนึ่งว่าเค้าคงเริ่มเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้น่าดึงดูดเท่าในอดีตแล้ว อีกทั้งการที่เทรนด์คนวัยทำงานอายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ (Gen Y) ที่เริ่มลาออกจากงานมีมากขึ้นเพื่อมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว ผมเลยค่อนข้างสงสัยว่าหากภาคธุรกิจจริงคนหนุ่มสาวทำงานน้อยลงเพราะหันไปหวังรวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นมากขึ้นแล้ว ผลิตภาพที่แท้จริง (Productivity) คือหมายถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียน จะโตได้แรงและยั่งยืนได้อย่างไร (ยิ่งบ้านเรามีปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่ด้วย) ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้ากำไรของบริษัทจดทะเบียน (ซึ่งเป็นเจ้ามือที่แท้จริงของหุ้น) ไม่ไปไหน ราคาหุ้นในระยะยาวก็คงขึ้นได้ยาก เพราะลำพังสภาพคล่องเพียงอย่างเดียวก็คงหนุนหุ้นได้ไม่นาน และสุดท้ายต้องมีวันหมด แล้วพวกที่ลาออกจากงานดังกล่าวสุดท้ายก็อาจต้องกลับมาทำงานใหม่ เป็นวงจร ก็เป็นได้ครับ

Wednesday, April 8, 2015

ความผันผวนมีสาเหตุ

สวัสดีครับ,

ผมนั่งตรึกตรองอยู่นานว่าจะหาประเด็นอะไรมากล่าวถึงนอกเหนือไปจากเรื่องสภาวะตลาดที่ต้องอัพเดทให้อ่านกันเป็นประจำ ว่าแล้วก็นึกว่าถึงเรื่องของความผันผวนของตลาดในช่วงที่ผ่านมาที่ทำให้หุ้นบางตัวต้องลงหนัก พอดีกับที่ผมได้เหลือบไปเห็นข้อมูลที่ส่งต่อๆ กันทางไลน์ ที่บอกว่าสาเหตุนั้นเกิดจากแรงขายหุ้นของผู้ออก DW หลายเจ้าผสมโรงกับแรงขายปกติที่เกิดตามกลไกตลาด ผมเลยอยากจะอธิบายหลักการคร่าวๆ ว่ามันเป็นจริงอย่างที่กล่าวหรือไม่ตามความเข้าใจของผมนะครับ



ก่อนอื่นเลยต้องขอให้รู้จักอักษรกรีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Delta (Δ, δ) ค่านี้เป็นค่าหนึ่งที่ market maker หรือผู้ที่ออก Derivative Warrants (DW) ให้ความสำคัญพอสมควร เพราะมันบ่งบอกถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา DW เมื่อราคาหุ้นอ้างอิงเปลี่ยนไป เช่น ถ้า DW ประเภท call ของหุ้น BBL มีค่า Delta เท่ากับ 0.5 นั่นหมายถึงถ้า BBL ปรับตัวขึ้นไป 1 บาท ราคา DW ก็ควรจะปรับขึ้นไป 0.5 บาท (และในทางกลับกันถ้าปรับตัวลดลง) โดยอีกคอนเซ็ปต์หนึ่งที่ต้องทราบก็คือเมื่อผู้ออกออก DW ประเภท call เค้าจะต้องซื้อหุ้นอ้างอิงนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง ในขณะที่ถ้าเค้าออก DW ประเภท put เค้าก็จะต้องขายหุ้นอ้างอิงนั้นล่วงหน้าเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงเช่นกัน

ทีนี้คำถามคือแล้วผู้ออก DW จะต้องซื้อหุ้นหรือขายหุ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นจำนวนเท่าใด? เท่ากับจำนวน DW ที่ออกเลยไหม? คำตอบคือไม่ครับ ตรงนี้แหละที่ค่า Delta จะถูกนำมาใช้ในการคำนวณ เช่น ถ้าผู้ออกต้องการออก DW ประเภท call ของ BBL จำนวน 10,000 หน่วย ซึ่งมีค่า Delta เท่ากับ 0.5 และมีอัตราการใช้สิทธิต่อหน่วยเท่ากับ 1 ผู้ออกจะต้องซื้อหุ้น BBL เพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นจำนวน 0.5*10,000 ซึ่งเท่ากับ 5,000 หุ้น (ไม่ใช่ 10,000 หุ้นนะครับ)

ไฮไลท์มันอยู่ตรงที่ว่าเจ้าค่า Delta นี้ดันไม่ได้คงที่อะครับ มันแปรเปลี่ยนไปตามราคาหุ้นที่ขึ้นลง เช่นในกรณีของ DW ประเภท call ของ BBL ที่ยกตัวอย่าง ถ้าหุ้น BBL ขึ้น ค่า Delta ก็จะปรับขึ้นตาม หรือถ้าหุ้น BBL ลง ค่า Delta ก็จะปรับลงตาม นั่นแปลว่า market maker หรือผู้ออก DW ต้องคอยทยอยซื้อหุ้นเพิ่มหรือขายหุ้นออกตามราคาที่ขึ้นหรือลงเพื่อป้องกันความเสี่ยงอยู่ตลอด จึงสรุปได้ว่าหากหุ้นตัวใดมีผู้ออก DW ใช้ในการอ้างอิงซะเยอะหุ้นตัวนั้นอาจจะมีความผันผวนมากกว่าปกติครับ ซึ่งตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่างั้นแปลว่า market maker ต้องคอย monitor ราคาหุ้นตลอดเวลาเลยหรอ? คำตอบคือใช่ครับ แต่เค้ามีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยนะ เพราะงั้นสบายมากหายห่วง แต่ต้องบอกเพิ่มเติมว่าการป้องกันความเสี่ยงโดยค่า Delta นี้ก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่าหากราคาหุ้นผันผวนมากๆ market maker ก็อาจบาดเจ็บได้ครับ (เพราะซื้อแพงขายถูก) ดังนั้นก็อาจต้องมีวิธีป้องกันความเสี่ยงด้วยค่าอื่นๆ มาช่วย เช่นค่า Gamma (Γ, γ), Vega 

เอาละ คงพอกระจ่างขึ้นบ้างนะครับ ส่วนภาพตลาดตอนนี้ผมอยากให้จับตาดูราคาน้ำมันเป็นพิเศษ ถ้าน้ำมันสามารถกลับมาเป็นขาขึ้นได้ (หลังจากที่ลดลงมาครึ่งหนึ่งจากปีที่แล้ว) ตลาดหุ้นบ้านเราก็น่าจะแข็งแกร่งได้เลยเหมือนมีคนคอยเสริมพลัง (หุ้นพลังงานมีสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของ market cap ตลาดหุ้นไทย) แต่ถ้ายังยืนแข็งๆ ไม่ได้ ตลาดเราก็คงซึมๆ ขึ้นลงเบาๆ ในกรอบแบบนี้ไปอีกซักพักกระมังครับ