Wednesday, August 19, 2015

ราคาของการเก็งกำไร

สวัสดีครับ,

และแล้วยุคซิ่งกระดิ่งแมวที่ได้เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนก่อนก็ (น่าจะ) ได้ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดสะท้านเมืองที่น่าสลดใจเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำไมผมถึงพูดแบบนั้น? เพราะหากเราไปดู PE ของตลาด MAI เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ได้เคยทำจุดสูงสุดไว้ที่ 91 เท่า ณ ปัจจุบันได้ลดลงมาเหลือ 55 เท่า ในขณะที่ตัวดัชนีเองก็ได้ตกมาถึง 30% จากจุดสูงสุด ซึ่งหากลองเทียบกับ PE ของ SET ที่จากต้นปีอยู่ที่ 22 เท่า และลดลงมาเหลือ 18 เท่าในปัจจุบัน โดยที่ตัวดัชนีลงมา 15% นั้น แปลว่าดัชนี MAI ลงมามากกว่าดัชนี SET ถึง 2 เท่าครับ



อย่างไรก็ดี ด้วยผลประกอบการที่เห็นจนถึงตอนนี้ ผมเชื่อว่าการลงหนักของหุ้นซิ่งกระดิ่งแมวในตลาด MAI นั้นไม่ได้เป็นการลงด้วยพื้นฐานครับ เพราะกำไรของบริษัทก็ยังดีอยู่ แต่เป็นการลงเพราะการเก็งกำไรในหุ้นนั้นลดลงมากกว่า นักลงทุนกำลังให้ราคาของการเก็งกำไรลดลง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา และ PE ของหุ้นก็ลดลงตาม ซึ่งหากถามว่าแล้วลงพอแล้วหรือยัง? ตรงนี้ยังตอบไม่ได้ครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนยังเชื่อมั่นในผลประกอบการในอนาคตอยู่หรือไม่ ถ้าเชื่อมั่น ก็โอเค แต่ถ้าไม่ อาจจะมีเสียวต่อ 
  
ในแง่ของภาพใหญ่ หากย้อนกลับไปดูกราฟ SET รายเดือน จะเห็นว่าดัชนีได้ลงมาแกว่งแถวแนวรับสำคัญที่เคยให้ไว้ที่ 1375 พอดีครับ (ระดับ 38.2% ฟิโบนาชี่) ซึ่งผมได้ลองลากเส้น Simple moving average ระยะเวลา 50 เดือน (เส้นสีเหลือง) มาประกอบดูเพื่อพิจารณาว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ก็พบว่าระดับแนวรับใหม่ก็อยู่ไม่ไกลจากแนวรับสำคัญเดิมมาก คือที่ 1360 ครับ ซึ่งแนวนี้น่าจะช่วยค้ำดัชนี SET ให้ยืนเท้งเต้งได้ไปอีกซักระยะหากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเซอร์ไพรส์อะไรออกมาอีก อย่างไรก็ดีด้วยสถานการณ์ในขณะนี้ ผมอยากแนะนำให้นักลงทุนทุกท่านเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ลดการเก็งกำไรที่ไม่จำเป็นลง และมองไปที่ผลประกอบการของบริษัทในระยะยาว.. แล้วเราจะผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ไปด้วยกันครับ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ



Wednesday, August 5, 2015

ขาใหญ่สั่งลุย

สวัสดีครับ,

ในที่สุดดัชนี SET ก็ปิดที่ 1440 เมื่อสิ้นเดือนก.ค. ที่ผ่านมา หลุดกรอบขาขึ้นที่ลากกันมาตั้งแต่สิ้นปี 2008 ที่ 1475 ไปเรียบร้อย อย่างไรก็ดี การปิดหลุดในลักษณะนี้ไม่ได้แปลว่าหุ้นไทยจะเปลี่ยนเป็นขาลงเลยซะทีเดียวครับ แต่น่าจะเป็นในลักษณะการวิ่งออกข้างซะมากกว่า โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1375 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมเมื่อช่วงสิ้นปี 2014 (และบังเอิญตรงกับระดับ 38.2% ฟิโบนาชี่พอดี) และมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1480 ซึ่งตรงกับระดับ 61.8% ฟิโบนาชี่



ในแง่ของตัวเลขการซื้อขาย จะเห็นว่านักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี โดยมียอดสะสม 4 หมื่นกว่าล้านบาทเข้าไปแล้ว ในขณะที่ฝรั่งยังคงเป็นผู้ขายสุทธิอย่างต่อเนื่องครับ


พอเราทราบแล้วว่าใครเป็นขาใหญ่ของตลาดในปีนี้และถือหุ้นไทยอยู่เยอะ (นักลงทุนสถาบันในประเทศนั่นเอง!) ผมเลยนำมุมมองจากผู้บริหารกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาฝากครับ (น่าจะมีผลต่อทิศทางตลาดบ้างไม่มากก็น้อยละ) คุณวิน พรหมแพทย์ หัวหน้ากลุ่มงานลงทุน สำนักงานประกันสังคม ผู้บริหารเงินกว่า 1.2 ล้านล้านบาท ได้เขียนบทความลงบล็อกส่วนตัวเมื่อประมาณสิ้นเดือนก.ค. และได้ถูกสำนักข่าว Bloomberg นำไปแปลและเผยแพร่ทั่วโลก คุณวินสรุปว่าตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังน่าจะมีอาการซึมไปเรื่อยๆ แต่นั่นเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะทยอยเก็บของเมื่อดัชนี SET เข้าใกล้ 1400 จุด (หรือต่ำกว่า) โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่คุณวินแนะนำจะเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และค้าปลีกที่เน้นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันครับ


ในขณะที่หลักทรัพย์บัวหลวงเรา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้มีการหั่นเป้าดัชนี SET ลงอีกครั้ง จาก 1570 เป็น 1505 เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนและ GDP ที่ลดลง ในขณะที่ความเสี่ยงที่เรากังวลก็เป็นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (กันยา หรือ ธันวา) อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าภาพตลาดในตอนนี้จะเหมือนกับการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงปี 2004 ที่ตลาดได้ price in และ bottom ไปก่อนที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจริงแล้ว ไม่เหมือนกับช่วงปี 1994 และ 1999 ที่การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เป็นการ surprise ตลาดและทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลงต่อรุนแรง เพราะงั้นก็น่าจะสบายใจไปได้เปราะหนึ่งละครับ... โชคดีในการลงทุนทุกท่าน