Wednesday, September 30, 2015

เหตุเกิดจากความห่าง

สวัสดีครับ,


วันนี้ผมมีประเด็นที่น่าสนใจในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) มาเล่าให้ฟังเล็กน้อยครับ

เมื่อวานนี้ (29 กันยา) เป็นวันสุดท้ายของ SET50 futures ซีรี่ย์เดือนกันยา หรือ S50U15 ซึ่งหมายความว่านักลงทุนผู้ถือสถานะ S50U15 ทุกท่านจะต้องทำการ Roll over (ปิดสถานะเดิม และเปิดสถานะในสัญญาซีรี่ย์ถัดไป) ไปยังซีรี่ย์เดือนธันวา หรือ S50Z15 ภายในเวลา 16.30น. มิเช่นนั้นสัญญา S50U15 ของท่านจะถูกปิดสถานะโดยอัตโนมัติ (นักลงทุนนิยม roll over ไปยัง S50Z15 มากกว่า S50V15 ซึ่งเป็นซีรี่ย์เดือนตุลา เนื่องจากสภาพคล่องที่ดีกว่ามาก)

ข้อสังเกตของผมก็คือ หากดูตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยาที่ผ่านมา spread ระหว่างเจ้า S50Z15 และ S50U15 ที่นักลงทุนใช้ดูประกอบในการ Roll over ได้ห่างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจาก -5.5 จนลงไปทำจุดต่ำสุดที่ -20.9 เมื่อวันที่ 28 กันยา และกลับมาปิดสุดท้ายที่ -19.4 ในขณะที่ราคาตามทฤษฎีของ spread นั้นอยู่เพียงแถวๆ (บวก) 3 ถึง 5 จุดเท่านั้น


สาเหตุหนึ่งของความห่างอันมโหฬารนี้อาจจะเป็นเพราะตลาด TFEX ของไทยนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพ (efficient) มากพอ (ซึ่งก็เป็นปกติในตลาดของกลุ่มประเทศเกิดใหม่) กอปรกับสภาพคล่องในการ roll over ที่ยังมีไม่เยอะหรือเยอะแค่บางช่วงเวลา จึงทำให้ราคาตลาดของ spread อยู่ห่างจากราคาทางทฤษฎีซะขนาดนั้น แต่อีกมุมหนึ่งก็สามารถตีความได้ครับว่า นักลงทุนกำลังคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดในช่วงไตรมาสหน้า (4Q15) อาจจะดูไม่ค่อยสดใสนัก จึงได้เฮโลไปเปิดสถานะ short ใน S50Z15 มากกว่า S50U15 ซะเยอะ จนทำให้ spread ห่างออกไปมาก ตรงนี้ก็ต้องระมัดระวังครับ

อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทาง TFEX ได้ปรับอัตราหลักประกันของ SET50 Futures ขึ้นถึง 28% (ทั้งของลูกค้ารายย่อยและสถาบัน) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ตุลา นี้เป็นต้นไป จุดประสงค์ก็คือเพื่อลดการเก็งกำไรลง เพราะผู้ที่ลงทุน SET50 Futures ในตลาด TFEX ต้องกันเงินไว้มากขึ้นถึง 28% เพื่อวางหลักประกัน ตรงนี้ผมคิดว่าอาจจะส่งผลกระทบไปถึงตลาดหุ้นได้ ปริมาณการซื้อขายอาจจะลดลง รวมถึงความผันผวนก็อาจลดลงได้บ้างครับ (หมายเหตุ: เนื่องจาก SET50 Futures เป็นสัญญาที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในตลาด TFEX โดยเฉลี่ยมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน การปรับจึงน่าจะส่งผลกระทบมากสุดถ้าเทียบกับสัญญาซื้อขายบนสินค้าอ้างอิงอื่นครับ) 

Wednesday, September 16, 2015

มองไปข้างหน้า

สวัสดีครับ,

ตั้งแต่ต้นเดือนมาตลาดไทยก็วิ่งอยู่ในกรอบ 1360- 1405 ซึ่งถือว่าความผันผวนไม่ได้รุนแรงมากนัก ทั้งๆ ที่เรากำลังเข้าใกล้วันตัดสินเรื่องที่นักลงทุนติดตามกันมาเป็นปีในคืนวันพฤหัสที่ 17 กันยายนนี้ นั่นก็คือเรื่องที่ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยหรือยัง?

ความจริงแล้วถ้าได้ลองอ่านความเห็นของกูรูทางเศรษฐกิจหลายๆ ท่าน จะพบว่าบางท่านเริ่มจะเสียงแตกครับ โดยบอกว่า การไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่างหากที่จะเป็นข่าวร้าย เพราะนั่นจะทำให้ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ แต่หาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยเลยในการประชุมครั้งนี้ ตลาดน่าจะตอบรับในเชิงบวก เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า Fed ได้เริ่มเข้าสู่นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Tight Monetary Policy) ซึ่งตลาดจะชอบกว่าเพราะนั่นคือความแน่นอน

ส่วนตัวผมเชื่อครับว่าแม้ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้จริง ก็จะมีผลกระทบต่อไทยไม่มากถ้าเทียบกับประเทศเกิดใหม่ (EM) อื่นๆ ในเชิงเศรษฐกิจนั้น ประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ 5% (เทียบกับช่วงปี 2006 ที่ขาดดุล 1-5%) มีหนี้ต่างประเทศเพียง 33% ของ GDP (ลดลงจาก 38% ช่วงก่อนหน้านี้) และมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงเพียงพอ ด้วยสถานะการทางพื้นฐานที่จัดว่าดี มีหนี้น้อยลง กอปรกับการที่เรามีธนาคารแห่งประเทศไทยที่บริหารจัดการด้วยความรอบคอบระมัดระวังตลอดมา ผมจึงเชื่อว่าเรามี buffer ที่ดีพอที่จะรองรับแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้น จนทำให้ผมคิดว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอาจจะแทบไม่มีหรือมีน้อยมากเลยก็เป็นได้ (ส่วนหนึ่งเพราะตลาดอาจ price in ไปมากแล้ว)

อย่างไรก็ดีทีมวิเคราะห์ของบัวหลวงเราเมื่อต้นสัปดาห์ได้หั่นเป้าหมายดัชนี SET ลงมาเหลือ 1412 จาก 1505 เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ลดลง ราคาน้ำมันที่ลดลง และ GDP ที่ลดลง แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจไปครับ เพราะเป้าหมายที่หั่นลงนั้นเป็นของปีนี้ ซึ่งผมเชื่อว่านักวิเคราะห์จะเริ่มมองไปข้างหน้ามากขึ้น นัยก็คือจะเริ่มหันไปใช้ประมาณการของกำไรในปี 2016 แทน 2015 มากขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับการที่เราได้ออกเป้าหมายดัชนี SET ใหม่ที่ 1623 ที่เป็นเป้าของปีหน้า ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะครับ เพราะเชื่อว่าผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่เพิ่งออกมากว่า 3.4 แสนล้านบาท (1.36 แสนล้านสำหรับรากหญ้า และ 2 แสนล้านสำหรับ SME) และอาจจะมีอีกหนึ่งก้อนสำหรับกระตุ้น FDI ที่ยังไม่ประกาศเป็นทางการ น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเริ่มตั้งแต่ไตรมาสสี่ปีนี้และไปเห็นผลหนักๆ ในปีหน้า 


ซึ่งทีมวิเคราะห์ของบัวหลวงเราก็ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมไว้ด้วยว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ กลุ่มธนาคารและการเงินนั้นขึ้นดีเหลือเกินครับ ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยรึเปล่า มาลองติดตามกันดูครับ


Wednesday, September 2, 2015

บอกไม่ถูกจุ๊กกรู๊

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าผันผวนมากทีเดียวเพราะดัชนีได้ลงไปเยี่ยมที่ระดับต่ำกว่า 1300 จุด แล้วก็กลับมายื้อแถว 1360 ใหม่ ทั้งนี้ความผันผวนในช่วงที่ผ่านมาผมยกเครดิตให้กับตลาดหุ้นโลกเลยครับ โดยเฉพาะจีนที่พี่แกเล่นบวกลบกันทีสะท้านทรวงกว่าวันละ 3-5% (เล่นเอาตลาดหุ้นไทยจิ๊บๆไปเลย) ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตุว่าดัชนี VIX ที่ใช้เป็นตัวแทนวัดค่าความเสี่ยงและความผันผวนของหุ้นได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อวันที่ 24 สิงหา ที่ผ่านมา ซึ่งก็ตรงกับวันก่อนหน้าที่หุ้นไทยจะหลุด 1300 จุดเพียงแค่วันเดียว



กลับมาที่ภาพใหญ่ครับ ทาง Morgan Stanley (Exclusive partner ของหลักทรัพย์บัวหลวง) เมื่อต้นสัปดาห์ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงมาทั้งปีนี้และปีหน้า (ดูตาราง) โดยมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาใน Emerging markets (EM) ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและเรื่องค่าเงินหยวน ความผิดหวังของตัวเลขเศรษฐกิจใน EM ขนาดใหญ่ เช่น บราซิล เกาหลี ไต้หวัน ตุรกี หรือจะเป็นเรื่องผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในอนาคตที่อาจจะมีผลต่อ EM มากกว่า Developed markets (DM) ทั้งนี้ได้สะท้อนออกมาโดยหุ้นใน EM ได้ underperform หุ้น DM ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาถึง 13.5% (ในขณะที่ Dollar index เป็นขาขึ้น) รวมถึง Earnings ของหุ้นใน EM ก็ถูกปรับลดประมาณการด้วยอัตราเร่งที่มากกว่าใน DM


อย่างไรก็ดี แม้ตรงนี้จะสะท้อนภาพระยะยาวที่ดูไม่ค่อยสดใสนักสำหรับ EM (รวมถึงไทย) แต่ภาพระยะสั้นในตลาดหุ้นไทยเริ่มดูดีขึ้นนะครับ หลังจากนักลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาจนถึง 1 กันยา ได้กลับมาเป็นผู้ long สุทธิใน SET50 futures ถึง 28,609 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยถึง 2 วันติดต่อกัน หลังจากขายมา 4 หมื่นกว่าล้านบาทในช่วงเดือนที่ผ่านมา พอผมเห็นตัวเลขตรงนี้แล้ว ก็เลยรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก จุ๊กกรู๊