Wednesday, December 30, 2015

สุดท้ายก็ใบเดียวกัน

สวัสดีครับ

วันนี้เป็นวันซื้อขายหุ้นวันสุดท้ายของปี 2558 ครับ ซึ่ง SET Index (ณ เวลาที่ผมเขียนบทความ) กำลังจะปิดปีนี้ลงด้วยผลตอบแทน -13.7% โดย 3 กลุ่มหลักอย่างธนาคาร -28% พลังงาน -20% และสื่อสาร -38% ลบหนักกันถ้วนหน้า ในขณะที่ MAI Index กำลังจะปิดลงด้วยผลตอบแทน -25% ตัวเลขเหล่านี้กำลังจะบอกเราครับว่า การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (blue chip) ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป หากผลประกอบการของบริษัทหรือแนวโน้มในอนาคตไม่ดีแล้ว ราคาหุ้นก็พร้อมจะดิ่งเหวสะท้านปฐพีได้ทุกเมื่อ ในขณะที่การลงทุนในหุ้นขนาดเล็กนั้นก็ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะเรามักจะคาดหวังผลตอบแทนที่สูงจากหุ้นขนาดเล็กจนลืมไปว่าความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังที่ได้เห็นแล้วในปีนี้


ทั้งนี้ปี 2558 ผมถือว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายมากครับ โดยผมได้สังเกตถึงสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในรอบปีที่ผ่านมา จะลองยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟังซักเล็กน้อยเป็นน้ำจิ้มครับ เรื่องแรก ผมรู้สึกว่าคนไทยยอมรับและเข้าใจในธุรกิจประกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยหรือประกันชีวิต เราเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ มากขึ้น และการประกันก็เป็นวิธีการปิดความเสี่ยงที่ดีวิธีนึง เรื่องที่สอง ผมรู้สึกว่าเทรนด์การซื้อสินค้าออนไลน์เริ่มมาแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยรุ่น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดเลยว่ามันจะไปได้ เรื่องที่สาม เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจสื่อสารซึ่งกูรูบางท่านถึงกับบอกว่านี่เป็นยุคใหม่ของมันเลย ด้วยการแข่งขันที่มากขึ้น operator บางรายหันมาแจกมือถือให้กับลูกค้าฟรีๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและคงรายได้จากการให้บริการ เรื่องที่สี่ เราเริ่มเห็นการล้มหายตายจากของผู้ประกอบการสื่อทีวีดิจิตอลบางเจ้า และนั่นก็เป็นผลลัพธ์ของการแข่งขันในตลาด Red ocean ซึ่งผมเชื่อว่าธุรกิจนี้กำลังจะเข้าสู่จุดสมดุลในไม่ช้านี้ครับ และเรื่องสุดท้าย คือเรื่องของธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะน้ำมัน ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ความต้องการที่ลดลง ราคาน้ำมันกำลังเข้าสู่จุดสมดุลใหม่และอาจจะมีพลังงานประเภทใหม่ขึ้นมาทดแทน และเราคงได้เห็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของธุรกิจพลังงานประเภทน้ำมันในเร็วๆ นี้

ถ้าลองสังเกตให้ดี จะทราบว่าข้อ 1-4 ที่ผมยกมาเล่านั้น เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศพัฒนาแล้วเมื่อซัก 5-10 ปีก่อนแล้วทั้งนั้นครับแต่เพิ่งจะมาเกิดกับไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ตรงนี้ก็ตอกย้ำถึงความเชื่อที่ผมเชื่อเสมอมาครับว่า โลกเราสุดท้ายก็ใบเดียวกัน (Globalization) สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศพัฒนาแล้ว สุดท้ายก็ไม่แคล้วที่จะเกิดกับประเทศกำลังพัฒนา เหมือนกับที่มีนักลงทุนหลายท่านที่ได้หันเหความสนใจไปยังประเทศเวียดนาม เพราะเชื่อว่าเวียดนามตอนนี้กำลังเหมือนกับไทยเมื่อ 10-15 ปีก่อน วิธีการลงทุนที่เคยใช้แล้วประสบความสำเร็จในไทย ก็อาจนำไปประยุกต์ใช้ในเวียดนามได้

สุดท้ายนี้ ผมขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกช่วยดลบันดาลให้คุณผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ มีสุขภาพที่แข็งแรง ร่ำรวยจากการลงทุนตลอดปีใหม่ 2559 นี้และตลอดไป แล้วพบกับการอัพเดทภาพตลาดได้ใหม่ในบทความหน้า ปีหน้าครับ


Wednesday, December 16, 2015

ปรับตัวปรับใจ

สวัสดีครับ,

เหมือนกับว่าเราได้ไปเที่ยวนั่งรถไฟเหาะตีลังกาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพราะไหนๆ เราก็ใกล้สิ้นปีละครับ เมื่อวันจันทร์ดัชนี SET ลงไปทำจุดต่ำสุดของปีที่ 1252 หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อช่วงท้ายตลาดดันดัชนีกลับขึ้นมาปิดที่ 1268 และแล้วปาฏิหารย์ก็บังเกิด เพราะวันถัดมา (วันอังคาร) ดัชนี SET กลับมาบวกพรวดเดียว 33 จุด ขึ้นมาปิดที่ 1300 คิดเป็น +2.6%

ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมเองยังไม่ได้เห็นปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญอะไรครับ แต่เชื่อว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเรากำลังเข้าใกล้การตัดสินครั้งสำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตามองนั่นก็คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดจริงหรือไม่ ทางทีมนักวิเคราะห์บัวหลวงเราได้ทำข้อมูลเปรียบเทียบครับและพบว่าหาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จริง ผลกระทบต่อตลาดจะคล้ายๆ กับช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปี 2004 นั่นคือตลาดจะผันผวนหนักช่วงก่อน Fed จะประกาศขึ้นดอกเบี้ย แต่หลังจากที่ประกาศแล้ว ตลาดก็จะสามารถซิกแซกขึ้นต่อได้ครับ


ตรงนี้พอมาดูข้อมูลในเชิง quant ประกอบ ก็พบว่าค่าความผันผวน (EGARCH) ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วละครับ (เส้นสีเขียวรูปซ้าย) แล้วพอมาดูค่า forecast ก็ยืนยันว่าค่าความผันผวนกำลังลดลงจริง ในขณะที่ Indicators อื่นๆ ก็ส่งสัญญาณว่าตลาดอยู่ในโซนขายมากเกินไป ตรงนี้ก็พอจะสรุปได้คร่าวๆ ละครับว่าจุดต่ำสุดของปีน่าจะได้ผ่านไปแล้วเมื่อวันจันทร์ และตลาดน่าจะกลับมาดูดีอีกครั้งอย่างน้อยก็จนถึงสิ้นปีนี้  


อย่างไรก็ดี เพื่อความไม่ประมาท ทางทีมนักวิเคราะห์ก็ได้ปรับเป้า SET Index สำหรับปีหน้าลงมาเล็กน้อยครับ จาก 1623 เป็น 1550 โดยอิงกับค่า PE ที่เดิม แต่หั่น EPS ปีหน้าลงมาจาก 104 เหลือ 100 สาเหตุหลักๆ ก็เป็นเพราะเราปรับสมมติฐานน้ำมันลดลงและ conservative มากขึ้นเท่านั้นละครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ