Wednesday, May 18, 2016

สองในสิบสอง

สวัสดีครับ,

จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 18 พ.ค. 59 ผลตอบแทนตลาดหุ้นเดือนนี้ยังเป็นบวกอยู่เล็กน้อยครับที่ +0.14% เหมือนกับว่าวลีเด็ด Sell in May and Go Away จะไม่เป็นจริงในปีนี้อย่างนั้นหรือ?


หากย้อนไปดูข้อมูล 10 ปีให้หลังในช่วงปี 2006-2015 ก็จะพบว่ามีอยู่ 2 ใน 12 เดือนเท่านั้นครับที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นรายเดือนเป็นลบมากกว่าบวก นั่นก็คือเดือนม.ค. และเดือนพ.ค. (เป็นลบ 6 ครั้ง เป็นบวก 4 ครั้ง) ซึ่งในกรณีของเดือนพ.ค.นั้น อาจจะไม่น่าสงสัยมาก แต่ที่น่าแปลกก็คือเดือนม.ค. ที่เราจะได้ยินว่าคำว่า January Effect ว่าหุ้นมักจะขึ้นในเดือนม.ค. เพราะนักลงทุนจะกลับมาซื้อหุ้นในเดือนนี้หลังจากขายหุ้นทิ้งในเดือนธ.ค.เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจาก capital gains (ในเมืองนอก) แต่ความจริงก็คือเรื่องหุ้นในเดือนม.ค.กลับลงมากกว่าเดือนอื่น

นักลงทุนบางท่านอาจจะแย้งว่า เอ๊ะ ก็ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เก็บภาษี capital gains เหมือนเมืองนอกนิ จริงครับ แต่ผมก็มักจะได้ยินการเหมารวมอยู่เสมอๆ ในตลาดหุ้นบ้านเรา จนวลี January Effect กลายเป็นความเชื่อไปแล้วว่าหุ้นจะต้องขึ้นในเดือนม.ค.

ข้อสรุปของผมก็คือไม่ว่าจะเป็นวลี Sell in May and Go Away หรือ January Effect มันก็อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ครับ ที่บางทีเรารู้สึกว่ามันน่าจะจริงมากกว่าก็เพราะเราอาจสนใจเฉพาะแต่สิ่งที่เราอยากสนใจมากเกินไป (เป็น bias ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Focusing Effect) จนลืมไปว่าก็มีอีกหลายปีนะที่หุ้นไม่ได้ลงเดือนพ.ค. หรือในกรณีเดือนม.ค.ที่หุ้นดันลงมากกว่าขึ้นด้วยซ้ำ


ส่วนในแง่ของภาพตลาดเองนั้น ผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เราเห็นการปรับตัวการคาดการณ์ GDP ขึ้น หลังจาก GDP ไตรมาส 1 ออกมาดีกว่าคาดที่ +3.2%YoY โดยสภาพัฒน์ปรับคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ขึ้นเป็น 3-3.5% จาก 2.85-3.5% ในขณะที่ประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นบ้านเราก็มีแนวโน้มดูดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ไตรมาสครับ ราคาหุ้นเป็นอย่างไรไว้ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้พื้นฐานโดยรวมเริ่มฟื้นแล้วครับ


Wednesday, May 4, 2016

ซื้อสุทธิหนักมาก

สวัสดีครับ,

เผลอแป๊ปๆ เวลาได้ล่วงเลยมาถึงเดือนที่ 5 แล้วในปีนี้ ผมยังรู้สึกว่าเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่เพิ่งจะผ่านพ้นไปไม่นานเองครับ อย่างไรก็ดี ช่วงที่เราเผลอๆ นิแหละ อาจจะเผลอลืมมองไปด้วยว่านักลงทุนต่างชาติเค้าได้กลับมาซื้อสุทธิในบ้านเราอย่างมีนัยสำคัญพอสมควรเลยนะ โดยเฉพาะในตลาดอนุพันธ์ ที่ฝรั่งได้ซื้อสุทธิในสัญญา SET50 Index Futures เป็นจำนวนเกือบ 1.6 แสนสัญญา (นับจนถึงวันที่ 3 พ.ค.) คิดเป็นมูลค่าคร่าวๆ ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์เลยละครับ



นอกจากนี้ ฝรั่งยังได้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเป็นมูลค่าอีก 1.4 หมื่นล้านบาทนับจากต้นปี หลงจ้งกับตลาดอนุพันธ์ก็คิดเป็นมูลค่าร่วม 4.2 หมื่นล้านบาท ที่มาช่วยพยุง SET Index เรา นิยังไม่นับค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า 2.5% จากต้นปีเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอีกนะครับ หรือสงสัยสถานการณ์จะพลิกผันหรือมีประเด็นอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่ทราบรึเปล่า เพราะถ้าจำกันได้ช่วงต้นปีกูรูส่วนใหญ่จะคาดการณ์ว่าเงินจะไหลออกจากตลาดหุ้นต่อเนื่องและค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าไปแถวๆ 38 บาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ เหตุผลก็เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ แต่สิ่งที่เราเห็นกับตรงกันข้าม


เหตุผลที่แท้จริงอีกไม่นานก็น่าจะได้รู้กันละครับ แต่ก็มีความจริงที่ท่านผู้ว่าแบงค์ชาติได้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวและคาดว่าจะดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง โครงสร้างการเงินแข็งแกร่ง ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดวิกฤตเหมือนปี 2540 ไม่มี และถึง Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจริงก็จะกระทบไม่มาก เพราะเรามีกันชนที่ดีในเรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึง 3 เท่า ขณะที่การพึ่งพิงเงินตราต่างประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนก็อยู่ในระดับต่ำ เห็นได้จากพันธบัตรรัฐบาลและแบงค์ชาติมีฝรั่งถือครองเพียง 8-9% เทียบกับเพื่อนบ้านบางประเทศที่ต่างชาติถือถึง 30-40% อีกทั้งตลาดหุ้น ฝรั่งก็ถือหุ้นลดลงไปมาก โดยสัดส่วนเหลือเพียง 27-30% เทียบกับ 35-37% เมื่อ 3-4 ปีก่อน หรือบางทีสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ไทยกลับมาเป็นที่สนใจของฝรั่งอีกครั้งในยามที่ผลตอบแทนจากการลงทุนหาได้ยากในโลกยุคดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ก็เป็นได้ครับ