“ปีนี้เป็นปีแรกที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับคำขออนุญาตปิดสาขาธนาคารพาณิชย์มากกว่าขออนุญาตเปิดสาขา
อันนี้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสถาบันการเงินที่พยายามจะลดต้นทุนการให้บริการ
และแน่นอน เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
ผมเริ่มบทความนี้ด้วยคำกล่าวจาก ดร.วิรไท
สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในงานสัมมนา “Positioning
Thailand’s FinTech Ecosystem” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 สิ่งที่ผมฉุกคิดได้จากคำกล่าวนี้คือ
ระบบสถาบันการเงินไทยน่าจะกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ และหากสถาบันการเงินใดยังไม่ได้ตระหนักถึงความเป็นไปข้อนี้
ก็อาจได้ต่อแถวรายชื่อกับบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่ของโลกอย่าง Kodak Nokia หรือ
BlackBerry ที่ต้องถอยหลังลงคลองเพราะปรับตัวช้าเกินไป
ธนาคารในบ้านเรานั้น มีอยู่ 3 แห่งที่เปิดตัวแล้วครับว่ากำลังลงทุนในเรื่องของฟินเทคอย่างจริงจัง
ได้แก่ KBANK SCB และ
BAY โดยแต่ละแห่งก็มีโมเดลการปรับตัวที่แตกต่างกันไป
เช่น การเป็นผู้บ่มเพาะให้ความรู้ (Incubator) จัดหาสถานที่ให้พร้อมทั้งร่วมหุ้นในฟินเทค การร่วมลงทุนในฟินเทคที่มีศักยภาพ
(Venture Fund) และให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ
หรือ การตั้งบริษัทลูกแยกออกมา (forming
Fintech subsidiaries) เพื่อคิดค้นบริการฟินเทคด้วยตนเอง
ซึ่งผมเชื่อว่าอีกไม่นานจากนี้แทบทุกธนาคารในบ้านเราจะมีการเปิดตัวในเรื่องนี้ครับ
โดยอาจจะเป็นในรูปแบบนี้หรือรูปแบบอื่น เช่น การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับฟินเทค (Business Partnership)
หรือซื้อกิจการแล้วควบรวมฟินเทคไปเลย (M&A)
ถึงบรรทัดนี้เพื่อนๆ
ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงการเงินอาจสงสัยว่าแท้จริงแล้วฟินเทคคืออะไร? มีผลกระทบอย่างมากหรือไงต่อระบบสถาบันการเงินไทยผมถึงต้องนำมาเล่า?
ความจริงแล้ว Fintech เป็นคำย่อมาจาก
Financial + Technology ครับ
ความหมายก็คือเป็นกลุ่มธุรกิจเกิดใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำธุรกรรมทางการเงิน
คิดค่าธรรมเนียมต่ำกว่าสถาบันการเงิน และดูเหมือนจะให้บริการได้สะดวกรวดเร็วกว่า
รูปแบบของฟินเทคนั้นมีมากมายหลายประเภท แต่ที่ดูเหมือนจะแพร่หลายและมีคนทำมากที่สุดในประเทศก็คือที่เกี่ยวข้องกับ
“การชำระเงิน”
ซึ่งตรงนี้ไปเกี่ยวโยงถึงแผนงาน National
e-Payment ของภาครัฐด้วยครับ (PromptPay ที่เราได้ยินกันก็เป็นหนึ่งในนั้น)
โดยกระทรวงการคลังได้ประเมินไว้ว่าหากแผนงานนี้สำเร็จด้วยดีจะสามารถช่วยประหยัดต้นทุนของระบบเศรษฐกิจได้ถึง
7.5 หมื่นล้านบาทต่อปี
(ลดต้นทุนการพิมพ์ธนบัตรและใบกำกับภาษี ลดค่าเสียโอกาสในการสำรองเงินสด ฯลฯ) ซึ่งตรงนี้ก็เป็นโจทย์ใหญ่ของสถาบันการเงินครับว่าจะบริหารจัดการกับเทคโนโลยีใหม่นี้ที่กำลังเป็นทั้งภัยคุกคามและโอกาสไปด้วยกันได้อย่างไร
ในด้านของตลาดทุนเองนั้น บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสถาบันการเงินหลักที่ให้บริการเกี่ยวกับการลงทุนก็คงได้รับผลกระทบเช่นกันครับ
เห็นได้จากปัจจุบันมีฟินเทคมากมายที่สร้าง App ให้ความรู้ในการลงทุน รวมถึงจัดหาข้อมูลและวิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยเทคนิคเพื่อสนองต่อนักลงทุนรายย่อย
แม้ว่าธุรกิจหลักทรัพย์ในบ้านเรานั้นยังถูกควบคุมค่อนข้างมากทำให้การบริการหลายอย่างฟินเทคยังไม่สามารถแข่งขันได้โดยตรงได้
แต่ในอนาคตเมื่อทางการเห็นว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนก็อาจมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ได้
เพราะฉะนั้นบริษัทหลักทรัพย์เองก็ไม่ควรชะล่าใจครับ
ในแง่ของการลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินนั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราควรนำปัจจัยเรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาคิดด้วย เพราะการเกิดขึ้นของฟินเทคนั้น
ที่สุดแล้วจะทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ธนาคารเคยได้รับเป็นกอบเป็นกำลดลง เช่น ในเรื่องของการโอนเงิน การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ การให้บริการด้านสินเชื่อและบัตรเครดิต
ส่วนตัวผมคิดว่าเราควรจะประเมินให้ชัดว่าหุ้นของสถาบันการเงินที่จะลงทุนนั้นผู้บริหารได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้และมีวิธีในการปรับตัวหรือไม่อย่างไร
เพราะขนาดบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง Mckinsey ยังเคยประเมินไว้ว่าธนาคารมีโอกาสที่จะสูญเสียกำไรให้กับฟินเทคถึง
60% และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้
การที่จะทำให้ผู้ออมเงินได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็เป็นอีกโจทย์ที่ยาก
(คนส่วนใหญ่ของประเทศยังสบายใจกับการฝากเงินในธนาคาร) วิธีช่วยทางหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นที่ธนาคารจะต้องหันมาลดต้นทุนการให้บริการทางการเงิน
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของค่าใช้จ่ายการตลาด โฆษณา
หรือแม้แต่การปิดสาขาที่ไม่จำเป็นลง ก็ขอเอาใจช่วยทุกฝ่ายนะครับ