Thursday, August 4, 2016

เพิ่มความระมัดระวัง

สวัสดีครับ…

ภาพรวมของตลาดหุ้นนับจากนี้ผมคิดว่าจะมีความเสี่ยงมากขึ้นจากปัจจัยทางการเมืองครับ แม้ กูรูหลายสำนักจะเชื่อว่าผลลัพธ์จากการลงประชามติในวันที่ 7 สิงหานี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อตลาดมากนัก แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วหากผลออกมาในทิศทางที่บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนมากขึ้น เมื่อนั้นตลาดก็อาจมีการปรับฐานต่อได้ครับ…

ในแง่ของมูลค่าพื้นฐานนั้น ด้วยราคาปิดเมื่อวันที่ 2 สิงหา ตลาดหุ้นไทยซื้อขายด้วย forward PER ที่ 16.4 เท่า ซึ่งถ้าเทียบกับค่าเฉลี่ยในระยะยาวที่ 12.4 เท่าแล้วก็จัดว่าสูงพอสมควร ในขณะที่ในแง่ของส่วนลด PER ของตลาดหุ้นไทยต่อตลาดหุ้นในอาเซียนก็ถอยลงมาอยู่ที่เพียง 4% เทียบกับค่าในอดีตที่อยู่ในช่วง 4%-25% ตรงนี้แปลว่า ณ ระดับปัจจุบันตลาดหุ้นไทยขึ้นมามากทีเดียวเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่ผมดูแลลูกค้าในส่วนของตลาด TFEX เป็นหลัก จึงอยากจะยกสัญญาณที่ผมสังเกตได้จากตลาดนี้มาเล่าเสริมด้วยครับ เรื่องของเรื่องก็คือหากย้อนไปดูช่วง 4 เดือนแรกของปี สังเกตได้ว่านักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาซื้อสุทธิใน SET50 futures เป็นจำนวนมาก เฉลี่ยถึงเกือบ 4 หมื่นสัญญาต่อเดือน ในขณะที่ 3 เดือนถัดจากนั้น (พ.ค.-ก.ค.) ตัวเลขซื้อขายกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเดือนแล้ว ฝรั่งกลับพลิกเป็นขายสุทธิประมาณพันกว่าสัญญาต่อเดือนในช่วงเวลาดังกล่าว แถมด้วยการขายสุทธิใน 2 วันทำการแรกของเดือนสิงหาถึง 4 พันกว่าสัญญา

03081

ทั้งนี้กลุ่มที่ผมคิดว่ามีความเสี่ยงที่จะปรับลดลงมากกว่ากลุ่มอื่นหากตลาดมีการปรับฐานจริงๆ อาจจะเป็นกลุ่มพลังงานครับ เพราะหากลองไปดู performance ย้อนหลังตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิ.ย. จนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่ากลุ่มพลังงานบ้านเรา +1% ในขณะที่น้ำมัน Brent ลงถึง 14%  นัยของผมคือ หากภาพตลาดดูไม่ดีและน้ำมันลงต่อ มีโอกาสที่หุ้นในกลุ่มพลังงาน (ที่อิงกับราคาน้ำมัน) จะลงได้มากกว่าตลาด ในขณะที่หากน้ำมันกลับมาเด้งได้ upside ของกลุ่มนี้ก็อาจจะมีไม่ได้มากครับ.. โชคดีในการลงทุนทุกท่านนะครับ

03082

Fintech กับสาขา (ธนาคาร) ที่หายไป


ปีนี้เป็นปีแรกที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับคำขออนุญาตปิดสาขาธนาคารพาณิชย์มากกว่าขออนุญาตเปิดสาขา อันนี้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสถาบันการเงินที่พยายามจะลดต้นทุนการให้บริการ และแน่นอน เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


ผมเริ่มบทความนี้ด้วยคำกล่าวจาก ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในงานสัมมนา “Positioning Thailand’s FinTech Ecosystem” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 สิ่งที่ผมฉุกคิดได้จากคำกล่าวนี้คือ ระบบสถาบันการเงินไทยน่าจะกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ และหากสถาบันการเงินใดยังไม่ได้ตระหนักถึงความเป็นไปข้อนี้ ก็อาจได้ต่อแถวรายชื่อกับบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่ของโลกอย่าง Kodak Nokia หรือ BlackBerry ที่ต้องถอยหลังลงคลองเพราะปรับตัวช้าเกินไป

ธนาคารในบ้านเรานั้น มีอยู่ 3 แห่งที่เปิดตัวแล้วครับว่ากำลังลงทุนในเรื่องของฟินเทคอย่างจริงจัง ได้แก่ KBANK SCB และ BAY โดยแต่ละแห่งก็มีโมเดลการปรับตัวที่แตกต่างกันไป เช่น การเป็นผู้บ่มเพาะให้ความรู้ (Incubator) จัดหาสถานที่ให้พร้อมทั้งร่วมหุ้นในฟินเทค การร่วมลงทุนในฟินเทคที่มีศักยภาพ (Venture Fund) และให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ หรือ การตั้งบริษัทลูกแยกออกมา (forming Fintech subsidiaries) เพื่อคิดค้นบริการฟินเทคด้วยตนเอง ซึ่งผมเชื่อว่าอีกไม่นานจากนี้แทบทุกธนาคารในบ้านเราจะมีการเปิดตัวในเรื่องนี้ครับ โดยอาจจะเป็นในรูปแบบนี้หรือรูปแบบอื่น เช่น การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับฟินเทค (Business Partnership) หรือซื้อกิจการแล้วควบรวมฟินเทคไปเลย (M&A)

ถึงบรรทัดนี้เพื่อนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงการเงินอาจสงสัยว่าแท้จริงแล้วฟินเทคคืออะไร? มีผลกระทบอย่างมากหรือไงต่อระบบสถาบันการเงินไทยผมถึงต้องนำมาเล่า? ความจริงแล้ว Fintech เป็นคำย่อมาจาก Financial + Technology ครับ ความหมายก็คือเป็นกลุ่มธุรกิจเกิดใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำธุรกรรมทางการเงิน คิดค่าธรรมเนียมต่ำกว่าสถาบันการเงิน และดูเหมือนจะให้บริการได้สะดวกรวดเร็วกว่า รูปแบบของฟินเทคนั้นมีมากมายหลายประเภท แต่ที่ดูเหมือนจะแพร่หลายและมีคนทำมากที่สุดในประเทศก็คือที่เกี่ยวข้องกับ การชำระเงิน ซึ่งตรงนี้ไปเกี่ยวโยงถึงแผนงาน National e-Payment ของภาครัฐด้วยครับ (PromptPay ที่เราได้ยินกันก็เป็นหนึ่งในนั้น) โดยกระทรวงการคลังได้ประเมินไว้ว่าหากแผนงานนี้สำเร็จด้วยดีจะสามารถช่วยประหยัดต้นทุนของระบบเศรษฐกิจได้ถึง 7.5 หมื่นล้านบาทต่อปี (ลดต้นทุนการพิมพ์ธนบัตรและใบกำกับภาษี ลดค่าเสียโอกาสในการสำรองเงินสด ฯลฯ) ซึ่งตรงนี้ก็เป็นโจทย์ใหญ่ของสถาบันการเงินครับว่าจะบริหารจัดการกับเทคโนโลยีใหม่นี้ที่กำลังเป็นทั้งภัยคุกคามและโอกาสไปด้วยกันได้อย่างไร

ในด้านของตลาดทุนเองนั้น  บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสถาบันการเงินหลักที่ให้บริการเกี่ยวกับการลงทุนก็คงได้รับผลกระทบเช่นกันครับ เห็นได้จากปัจจุบันมีฟินเทคมากมายที่สร้าง App ให้ความรู้ในการลงทุน รวมถึงจัดหาข้อมูลและวิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยเทคนิคเพื่อสนองต่อนักลงทุนรายย่อย แม้ว่าธุรกิจหลักทรัพย์ในบ้านเรานั้นยังถูกควบคุมค่อนข้างมากทำให้การบริการหลายอย่างฟินเทคยังไม่สามารถแข่งขันได้โดยตรงได้ แต่ในอนาคตเมื่อทางการเห็นว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนก็อาจมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ได้ เพราะฉะนั้นบริษัทหลักทรัพย์เองก็ไม่ควรชะล่าใจครับ

ในแง่ของการลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราควรนำปัจจัยเรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาคิดด้วย เพราะการเกิดขึ้นของฟินเทคนั้น ที่สุดแล้วจะทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ  ที่ธนาคารเคยได้รับเป็นกอบเป็นกำลดลง เช่น ในเรื่องของการโอนเงิน  การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ การให้บริการด้านสินเชื่อและบัตรเครดิต ส่วนตัวผมคิดว่าเราควรจะประเมินให้ชัดว่าหุ้นของสถาบันการเงินที่จะลงทุนนั้นผู้บริหารได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้และมีวิธีในการปรับตัวหรือไม่อย่างไร เพราะขนาดบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง Mckinsey ยังเคยประเมินไว้ว่าธนาคารมีโอกาสที่จะสูญเสียกำไรให้กับฟินเทคถึง 60% และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ การที่จะทำให้ผู้ออมเงินได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็เป็นอีกโจทย์ที่ยาก (คนส่วนใหญ่ของประเทศยังสบายใจกับการฝากเงินในธนาคาร) วิธีช่วยทางหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นที่ธนาคารจะต้องหันมาลดต้นทุนการให้บริการทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของค่าใช้จ่ายการตลาด โฆษณา หรือแม้แต่การปิดสาขาที่ไม่จำเป็นลง ก็ขอเอาใจช่วยทุกฝ่ายนะครับ