สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 พฤษภาคม 2554
เมื่อไม่นานมานี้มีหุ้นตัวหนึ่งซึ่งผมติดตามมาได้ซักพักแล้ว ราคาลงมาจนน่าใจหาย (จนถึง Floor) ภายในเวลาไม่นาน ซึ่งอาการแบบนี้ของหุ้นตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และทุกครั้งที่เกิดก็ได้ทำให้นักลงทุนหลายท่านเจ็บหนักไปตามๆกัน
มาย้อนดูประวัติหุ้นตัวนี้ซักเล็กน้อยครับ พบว่าราคาหุ้นได้ขึ้นมามากกว่า 5-6 เท่าในระยะเวลาเพียงปีเศษๆ นี่ไม่ใช่เฉพาะราคาที่ปรับตัวขึ้น แต่ปริมาณการซื้อขายก็สูงขึ้นเป็นร้อยหรือเป็นพันล้านบาทต่อวันด้วย ทั้งๆที่ไม่ใช่หุ้นขนาดใหญ่ ด้วยเหตุผลที่เชื่อว่า รายได้หลักของบริษัทจากธุรกิจให้บริการอินเตอร์เนตจะเติบโตขึ้นมากใน 4-5 ปีข้างหน้า เพราะหากย้อนไปดูข้อมูลจำนวนผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตในประเทศไทย (Penetration Rate) ก็พบว่าต่ำเพียง 26.3% ซึ่งต่ำกว่าประเทศที่มี GDP per Capita ใกล้เคียงกับเรา เช่น เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ประเทศที่แนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตไม่ต่างกับเรา อย่างไต้หวันหรือมาเลเซียนั้น Penetration Rate ก็อยู่สูงกว่า 60% หรือแม้แต่ในประเทศพัฒนาแล้วก็เฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 70% ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอินเตอร์เนตในระยะยาวนั้น มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นสาธารณูปโภคสำคัญในชีวิตประจำวันของเราเสียแล้วครับ... นอกจากนี้อาจจจะอยู่ที่กลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทก็เป็นได้ หลังจากที่สามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานในเรื่องหนี้สินหรือขาดทุนสะสมเก่า บริษัทก็ได้ดำเนินการวางกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ การเข้าสู่ธุรกิจบรอดแบนด์อินเตอร์เนตนั่นเองครับ ด้วยเห็นว่าธุรกิจนี้จะเป็นโอกาสทองในอนาคต จนกว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีไร้สาย 3G จะเป็นจริง ซึ่งบริษัทก็อาจต้องเพิ่มกลยุทธ์อื่นๆเข้ามาต่อไป ด้วยเหตุผลคร่าวๆ ที่กล่าวมาทำให้นักลงทุนหลายท่านเชื่อว่าบริษัทที่ว่านี้จะมีแนวโน้มเติบโตที่ดีในระยะยาว หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น Growth company แต่อย่าลืมว่าราคาหุ้นอาจจะไม่ได้ถูกแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นหากเราไม่ไ้ด้เข้าใจในธุรกิจหรือบริษัทนั้นอย่างถ่องแท้ ทุกครั้งที่คิดจะซื้อหุ้น อย่างน้อยก็ควรดูค่า P/E, P/BV ไว้บ้าง แล้วเราอาจจะตัดสินใจใหม่ได้ว่าจะซื้อหุ้นตัวนั้นหรือไม่ ถ้าพบว่าบริษัทนี้ดีจริงๆ แต่ราคาหุ้นหรือ P/E สูงไป (สูงหรือไม่ลองเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น หรือเฉลี่ยย้อนหลังซัก 5 ปีของบริษัทก็ได้ครับ) ก็รอครับ ไม่ต้องรีบ ยังมีหุ้นดีๆในตลาดให้เลือกอีกมาก
สุดท้ายนี้ผมยกคำพูดของดร.นิเวศน์ ที่เขียนถึงหุ้นกลุ่มหนึ่งไว้ว่า "หุ้นพวกนั้นเป็นตัวอย่างของการแสดงอยู่บนเวที” นั่นคือราคาหุ้นกำลังดีดตัวถึงขีดสุด กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น ปริมาณการซื้อขายหุ้นติดอันดับสูงสุดสิบอันดับเป็นว่าเล่นทั้งที่ไม่ใช่เป็นหุ้นตัวใหญ่ นักลงทุนหลายคนก็เข้าไปซื้อด้วยมีนักลงทุนรายใหญ่บอกมา และหวังว่าราคาจะขึ้นไปได้อีกไกล อีกทั้งนักวิเคราะห์หลายแห่งก็ปรับเป้าขึ้น(ตามราคาหุ้นที่ขึ้นไปแล้ว)อย่างจ้าละหวั่น ซึ่งเราคงต้องรอดูกันต่อไปครับว่าราคาหุ้นจะเป็นเช่นไรหลังจาก “จบการแสดง”