สวัสดีครับ...
เขียนเมื่อ 23 ตุลาคม 2554
บทความครั้งนี้เป็นภาคต่อจาก “รากเหง้าของปัญหา(กรีซ)” ที่ผมได้เขียนไปเมื่อซักสองสัปดาห์ก่อน ผมใช้เวลาอยู่ซักพักในการประดิษฐ์อารมณ์เพื่อที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ที่สะท้อนความเป็นจริงของประเทศเราและ ณ ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ ความวิตกกังวลก็เริ่มเข้ามา สายน้ำที่เชี่ยวกราดจะพัดพาจิตใจที่เข้มแข็งของคนไทยไปจนถึงเมื่อใด บทสุดท้ายของภัยพิบัติครั้งนี้ ใครเล่าที่จะรู้ ผมขอใช้โอกาสนี้พัดพาผู้อ่านทุกท่านไหลทวนกระแสน้ำ ข้ามห้วงเวลา สู่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
เมื่อซักต้นปีที่ผ่านมา ดินแดนทางใต้ที่ไม่รู้จัก หรือ ออสเตรเลีย ได้ประสบกับวิกฤตที่รุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ “ลานินญา” ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ขนาด 7-8 เมตร พัดโหมเข้าท่วมรัฐควีนส์แลนด์อย่างไม่ปราณี ถนนมากกว่า 300 สายถูกปิด เมืองทั้ง 22 เมืองกลายเป็นเมืองบาดาล เมืองหลวง Brisbane ระดับน้ำขึ้นสูงถึง 4.46 เมตร ประชาชนและสัตว์หนีตายกันจ้าละหวั่น แต่ทันทีที่เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ หรือที่เรียกขานกันว่า “สึนามิบนบก” แพร่กระจายออกไป ผู้คนออสเตรเลียกว่า 5 หมื่นชีวิตก็แห่กันมาลงทะเบียนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ ยังมีที่ไม่ได้ลงทะเบียนอีกเป็นจำนวนมาก จูเลีย กิลลาร์ด นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย ถึงกับกล่าวว่านี่คือปรากฎการณ์ Aussie Spirit
รัฐบาลของกิลลาร์ดตระหนักดีว่า หัวใจหลักในการบูรณะพื้นที่ประสบภัย คือ ต้องรีบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง ไฟฟ้า หรือประปา โดยรัฐทุ่มงบประมาณสูงถึง 5,600 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (1.7 แสนล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือประชาชนและบูรณะพื้นที่ประสบภัย เงินเหล่านี้มาจากการตัดงบประมาณอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม งบประมาณการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ และได้ยกเว้นภาษีสำหรับประชาชนในที่ประสบภัยเป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังจัดตั้งหน่วยงาน National Diaster Relief and Recovery Arrangements (NDRRA) เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น และได้เลื่อนการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคของรัฐบาลออกไป เพื่อให้คนงานที่มีฝีมือมุ่งตรงไปยังพื้นที่ประสบภัย มีการออกวีซ่าพิเศษที่เรียกว่า Employer-Sponsored Tempory Visa เพื่อดึงคนงานมีฝีมือต่างชาติเข้ามาช่วยเพิ่มขึ้นอีกทาง
กลับมาสู่ปัจจุบัน ประเทศไทย เรามีหน่วยงานจัดการอุทกภัยในประเทศถึง 8 แห่ง คงไม่ต้องกล่าวว่าระบบการจัดการเป็นเช่นไร สิ่งที่ควรทำหลังจากนี้ ไม่ใช่การกล่าวโทษ พาดพิง ถึงใครอื่น เพราะภัยพิบัติครั้งนี้ยังหาได้สิ้นสุดไม่ หากแต่การร่วมมือร่วมใจเพื่อป้องกันและแก้ไขอย่างถูกวิธีนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่พึงกระทำก่อน อยากจะยกตัวอย่างประเทศที่ได้ชื่อว่า มีระบบการป้องกันอุทกภัยที่ดีที่สุดในโลกอย่างเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์กังหันลมเพื่อใช้สูบน้ำออกจากทะเลสาบและแม่น้ำต่างๆ เพื่อป้องกันน้ำท่วม เค้าทำอย่างไรทั้งๆที่ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มประกอบกับพื้นที่กว่าครึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล จนที่สุดแล้วกังหันลมก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศควบคู่ไปกับรองเท้าไม้ ที่ชาวดัตช์ใช้สวมใส่เพื่อกันไม่ให้เท้าเปียกน้ำ แต่ด้วยเนื้อหาที่เยอะพอควร และตาผู้อ่านก็คงเริ่มแฉะแล้วกระมัง จึงขออนุญาตพัดพาทุกท่านไปสู่บทสรุปสุดท้ายของบทความนี้ครับ
ถ้าจะสวยหรู ผมคงต้องจบบทความนี้ด้วยคำคมทิ้งท้าย สำนวนชวนขบคิด และปิดท้ายด้วยกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยทุกท่าน แต่ด้วยงานวิจัยที่น่าสนใจของมหาวิทยาลัยแอสตัน ในเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ผมมิอาจข้ามไปได้ เค้ากล่าวว่า ผู้นำที่เรียกได้ว่ายอดคนนั้น จะต้องมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่สมส่วน เพราะเชื่อว่า ท่านเหล่านี้จะใช้ความพยายามในการผลักดันศักยภาพของตนเองให้คนอื่นๆเชื่อถือได้มากกว่า อาทิ รัฐบุรุษวินส์ตัน เชอร์ชิล ผู้นำอังกฤษที่นำพาประเทศชนะฮิตเลอร์มาได้ กษัตริย์เฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษที่แยกตัวออกจากศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกของกรุงโรม และกระทั่งสุดยอดประธานาธิบดีสหรัฐ อย่าง อับราฮัม ลินคอร์น ที่ยกเลิกระบบทาสให้หมดไปจากสังคมอเมริกัน... แล้วผู้นำประเทศคุณ... หน้าตาเป็นเช่นไร?
(Saru) 11:49 AM
Oct 23, 2011