Monday, October 3, 2011

รากเหง้าของปัญหา (กรีซ)?

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 3 ตุลาคม 2554

กว่าหนึ่งปีแล้วที่เราได้ยินปัญหาเรื่องหนี้สินในยุโรป โดยเฉพาะกรีซ ซึ่งนับวันมีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นัยคืออะไร ปัญหาเริ่มมาจากอะไร ทำไมถึงยังแก้ไม่ได้ซักที วันนี้ผมจะมาสรุปจากบทความที่ได้อ่านมา ให้ฟังกันครับ

เริ่ม จาก "กรีซ" อดีตศูนย์กลางอาณาจักรกรีกโบราณอันยิ่งใหญ่ ประเทศที่เคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป โดยในระหว่างปี 1929 และ 1980 มีอัตราการเติบโต 5.2% ซึ่งสูงที่สุดในโลกขณะนั้น แต่ ณ วันนี้... สถานการณ์พลิกจากหน้ามือเป็นหลัง... กรีซถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาหลักของโลก จุดเริ่มที่แท้จริงของปัญหามาจากรากเหง้าทางการเมือง โดยย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว รัฐบาลกรีซซึ่งประกอบไปด้วย 2 พรรคใหญ่ นั่นคือ พรรคปาซก (PASOK) และพรรคประชาธิปไตยใหม่ (ND) รัฐบาลของพรรคปาซกในปี 1981 ได้ละทิ้งวินัยทางการคลังทั้งหมด และหันไปใช้นโยบายประชานิยมอย่างสุดขั้วเข้ามาเป็นโยบายนำของชาติ ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นค่าแรง ค่าจ้าง การขยายการจ้างงานในหน่วยงานภาครัฐอย่างไม่จำเป็น พร้อมกับเพิ่มสวัสดิการต่างๆ เช่น จ่ายบำนาญให้กับประชาชนก่อนวัยเกษียณ ด้วยเพราะอยากลดความตึงเครียดของสงครามกลางเมืองในสมัยนั้น  และในที่สุดก็นำไปสู่โครงการ "National Popular Unity" เพื่อสร้างแรงซื้อให้กับประชาชน โดยรายได้เฉลี่ยของประชาชนในยุคนั้นเพิ่มขึ้นถึง 26% ในระยะเวลา 10 ปี  แต่หารู้ไม่ว่าทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้นำไปสู่การสะสมหนี้สาธารณะให้พอก พูน พร้อมๆกับการขาดดุลงบประมาณอย่างหนักหนาสาหัสของรัฐบาลในยุคต่อๆมา 


แม้ว่าหลังจากนั้น พรรคเอนดีได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล และได้เน้นนโยบายเพื่อปลดปล่อยเศรษฐกิจของชาติจากการถูกนำไปใช้เป็นเครื่อง มือของราชการและการเมือง และได้นำนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจมาใช้ เพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนอันเป็นผลพวงมาจากการดำเนินนโยบายประชานิยม การตัดลดรายจ่ายของรัฐบาลอย่างแข็งขัน พร้อมกับปฏิรูปข้าราชการอย่างจริงจัง แต่ในที่สุดกลับถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนชาวกรีซ และในที่สุดรัฐบาลก็พบกับจุดจบ พรรคปาซกได้กลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับนโยบายประชานิยมอันเป็นที่โปรดปราน การนำเศรษฐกิจกรีซเข้าสู่การเป็นสมัยใหม่ (Modernisation) เพื่อจะได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพการเงินแห่งยุโรป (อีเอ็มยู) มีการเพิ่มค่าแรงและค่าจ้าง ทำให้ในที่สุดพรรคเอ็นดีที่เคยมุ่งแก้ปัญหาเรื่องหนี้ ก็ต้องนำนโยบายประชานิยมมาใช้ เพื่อแข่งขันในการเลือกตั้ง ยิ่งทำให้กรีซเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางการคลังเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จาก ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลกรีซเก็บภาษีต่อคนต่อปีได้ที่ 8,300 ยูโร แต่ประชาชนได้รับสวัสดิการสังคมมากถึง 1.06 หมื่นยูโรต่อคนต่อปี

นอกจากเรื่องการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดแล้ว รัฐบาลกรีซยังละเลยการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งนำไปสู่การคอร์รัปชัน และการหลีกหนีภาษี ซึ่งทำให้กรีซต้องสูญรายได้ถึง 2-3 หมื่นล้านต่อปี ยกตัวอย่างเช่น สระว่ายน้ำ ที่เป็นดัชนีวัดความหรูหราของคนกรีซนั้น ในปี 2009 มีผู้เสียภาษีเพียง 364 คน ทั้งๆที่กรุงเอเธนส์มีบ้านถึง 16,974 หลังที่มีสระว่ายน้ำ


จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นได้สะสมนับ สิบๆปี ประชาชนชาวกรีซนั้นเสพติดนโยบายประชานิยมจนเคยชิน ซึ่งปัญหาหลักจริงๆแล้วไม่ได้อยู่ที่เศรษฐกิจ แต่อยู่ที่ "การเมือง" ที่แต่ละพรรคต่างฝ่ายต่างงัดนโยบายประชานิยมมาใช้ เพื่อให้ได้ชนะการเลือกตั้ง และนิสัยของประชาชนที่ใช้จ่ายจนเคยชิน เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะมีการให้เงินช่วยเหลือซักเท่าไร ผมก็เชื่อว่าก็เป็นการแก้ที่ปลายเหตุเท่านั้น บรรเทาความเจ็บปวดได้นิดๆ แต่บาดแผลที่ลึก ไม่มีทางหายง่ายๆ เพราะรากเหง้าที่แท้จริงยังไม่ได้ถูกแก้... แล้วไว้ถ้ามีโอกาส ผมจะมาเล่าต่อถึงสถานะทางการคลังของกรีซ หนทางที่เหลือให้กรีซเดิน และแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่ามีจริงหรือไม่? ติดตามตอนต่อไปครับ จะว่าไป... ผมรู้สึกตงิดๆ ว่าคล้ายๆกับอะไรรึป่าว... ก็ได้แต่หวังว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยครับ เพราะเราได้เห็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว ว่าแต่คุณ... รู้สึกเหมือนกันมั้ย?

No comments:

Post a Comment