สวัสดีครับ ช่วงนี้นักลงทุนหลายท่านที่ติดตามสภาพเศรษฐกิจโลก คงได้ยินข่าวเรื่องการปรับเพดานหนี้ของสหรัฐกันหนาหูเชียว แต่รู้กันหรือไม่ว่าจริงๆแล้วเพดานหนี้ของสหรัฐ หรือ US Debt ceiling นั้น เค้ากำหนดไว้เท่าไหร่ และมีรายละเอียดอย่างไร วันนี้จะมาเล่าให้ฟังคร่าวๆกันครับ
USA มีเพดานหนี้ หรือเรียกว่า วงเงินที่สามารถก่อหนี้ได้ (เหมือนวงเงินบัตรเครดิตอะครับ) อยู่ที่ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 443 ล้านล้านบาท พูดง่ายๆว่า USA สามารถก่อหนี้ได้ถึง 50 เท่าของ GDP ประเทศไทยเลยทีเดียว (สูงโฮกๆ) ซึ่งตอนนี้พี่เมกา ก็ใช้เงินเต็มวงเงินแล้วละครับ ซึ่งถ้าสภาคองเกรสไม่ยอมแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มเพดานหนี้ขึ้นไป มันก็คล้ายกับเราใช้วงเงินบัตรเครดิตเต็มแล้ว ไม่มีตังจ่าย แล้วจะทำไงต่อไปละ...
จริงๆแล้ว USA เพิ่มเพดานหนี้มานานแล้วละครับ ตั้งแต่ปี 1980 โดยขึ้นหนักๆในยุคของ เรแกน (17ครั้ง), คลินตัน (4ครั้ง), บุช (7ครั้ง) และล่าสุดถ้าครั้งนี้ขึ้นอีก ก็เป็นครั้งที่ 4 ในสมัยของโอบามาครับ
แล้วทำไมจะต้องมาเถียงกันด้วยว่าเพิ่มไม่เพิ่ม เพราะสุดท้ายแล้วก็ประเทศเดียวกัน?
คืองี้ครับ เรื่องมันก็คล้ายๆกับบ้านเรานั่นแหละ ไม่พ้นเรื่องการเมือง เพราะสองพรรคของเมกาต่างก็จะอยากจะปกป้องฐานเสียงของตัวเองไว้ โดย Democrat ต้องการขึ้นภาษีคนรวย แต่ Republican ไม่ยอมเพราะจะไปกระทบฐานเสียงส่วนใหญ่ของเขาซึ่งก็คือคนรวย เลยบอกว่า ทำไมไม่ไปไปลดเงินเดือน ลดค่าใช้จ่าย ลดสวัสดิการสังคมแทนละ Democrat ก็ไม่ยอมอีกเพราะไปกระทบชนชั้นกลางที่เป็นฐานเสียงใหญ่ของเขา และก็เป็นอย่างนี้มาทุกยุคสมัย ที่ 2 พรรคนี้ต้องต่อรองกันก่อนเพิ่มเพดานหนี้ เพราะถ้าไม่เพิ่มก็จะจ่ายเงินบำนาญไม่ครบ ทั้งเงินเดือนลูกจ้างรัฐ, การจ่ายสวัสดิการทหารผ่านศึก และค่ารักษาพยาบาลก็ลดลง ต้องไปลดงบประมาณ FBI หรือ CIA รวมถึงเลิก Food Stamp และอื่นๆอีกมากมาย
ถ้าเพิ่มเพดานหนี้ได้ แล้วไงต่อละ?
คำตอบคือช่วงแรกบรรยากาศจะดูดีขึ้นครับ เพราะอเมริกาไม่ต้องขึ้นชื่อว่าผิดนัดชำระหนี้ (ลองคิดดูว่าถ้าประเทศที่ Rating สูงที่สุดในโลกอย่างอเมริกายังผิดนัดชำระหนี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับประเทศอื่นละครับ) แต่ในระยะกลางถึงระยะยาวแล้ว ผมเชื่อว่าปัญหายังคงอยู่ ถ้ารัฐสภาสหรัฐยังไม่ปรับปรุงลดรายจ่ายต่างๆ ลง และเพิ่มอัตราภาษีบางอย่างขึ้น มันก็แค่แก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้นครับ เหมือนจ่ายหนี้บัตรเครดิตด้วยการไปเปิดใช้บัตรใหม่แล้วกดเบิกเงินสดล่วงหน้าจากบัตรใหม่เอาไปจ่ายชำระหนี้บัตรเก่า ผ่านไปอีกพักก็จะแย่อีก และยิ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐโตไม่เร็วพอ ซึ่งก็คือไม่สามารถเพิ่มรายได้ได้ทันค่าใช้จ่าย หรือจะแก้เรื่องนี้ ก็ต้องให้ได้ดุลด้วยการลดค่าใช้จ่ายลง 40% (คิดจาก 1 ดอลลาร์ที่สหรัฐใช้ เกิดจากการกู้ 40%) ซึ่งทำอย่างนั้นก็จะกระทบเศรษฐกิจอย่างหนัก เพราะคนจะยิ่งไม่มีเงินไปใช้จ่าย ธุรกิจก็แย่ลง อัตราการว่างงานก็เพิ่มขึ้น ธุรกิจก็ซบเซา คนก็ตกงานเพิ่มขึ้นอีก... วนเวียนกันอยู่อย่างนี้
แล้วขึ้นหรือไม่ขึ้น Debt Ceiling มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไร?
ประเด็นนี้ผมว่าคนพูดเยอะแล้วครับ ไม่พูดถึงดีกว่า ไม่ตื่นเต้น...
No comments:
Post a Comment