สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2556
สัปดาห์นี้ตลาดดูสวย ขึ้นไม่หยุดยั้ง
อีกทั้งในประเทศเราก็ไม่ค่อยมีข่าวอะไรน่าตื่นเต้ลเท่าไหร่นอกจาก เรื่องเกาเหลาชามเดิมระหว่างคลังกับแบงค์ชาติ (ข่าวรายวันยิ่งกว่า gossip ดารา!).. รอบนี้ท่านรัฐมนตรีคลังจัดเต็มครับ เพราะได้เชิญคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ทั้งคณะมาร่วมประชุมกับตัวแทนภาคธุรกิจทำที่เนียบรัฐบาลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ซึ่งผลการประชุมนะหรอ.. ก็เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์นะ (ผู้ว่าแบงค์ชาติเค้าว่า) แม้จะยังไม่มีมาตรการอะไรออกมาก็ตาม
ผมเองลองมองอีกมุมก็คิดว่าความขัดแย้งครั้งนี้นับว่ามีประโยชน์อยู่ไม่น้อยครับ
เราได้เห็นนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ อดีตผู้ว่าแบงค์ชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายๆท่านออกมาแสดงความคิดเห็น
เขียนบทความ เสนอแนะทางออกกันต่างๆนานา ซึ่งต่างก็มีเหตุและผลที่ดี นอกจากนี้เรายังได้เห็นแบงค์ชาติออกบทความมากมาย
(ลองเข้า (http://www.bot.or.th) เพื่ออธิบายถึงหน้าที่ของธนาคารกลาง
นโยบายการเงิน รวมถึงหลายๆเรื่องที่เกี่ยวข้อง บ่องตง ผู้ชมอย่างเราได้รับความรู้ไปเต็มๆละครับ
เอาละ ทุกคนต่างก็คาดหวังว่าแบงค์ชาติจะทำอะไร
ยังไง ในตอนต่อไป ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงที่ดอกเบี้ยนโยบายจะถูกลดลงมาซัก 0.25% ในการประชุมกนง.วันที่ 29 พ.ค.นี้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือจะมีมาตรการอื่นพ่วงมาด้วยหรือเปล่า? และน่าตกใจมั้ย?
ซึ่งหากดูจาก 4 มาตรการที่แบงค์ชาติได้เสนอคลังแล้ว ถ้าให้เลือก ผมคิดว่ามาตรการห้ามต่างชาติซื้อพันธบัตรระยะสั้นของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจที่มีอายุ
3-6 เดือน น่าจะถูกใช้ก่อน เพราะเบาสุด ผลกระทบจำกัด และแบงค์ชาติสามารถทำได้เลย แต่หากเป็นมาตรการอื่น
ก็ต้องมาดูเนื้อในกันอีกที (ซึ่งความน่าจะเป็นที่จะเป็นมาตรการรุนแรงมีน้อย)
ทีนี้ลองมาดูกราฟกันสนุกๆ (จาก Asian Development Bank) จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2010 จนถึงล่าสุดเมื่อมี.ค. ปีนี้ สัดส่วนของพันธบัตรไทยที่ถือโดยนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวนัก
โอ้แม่เจ้า นิละครับเงินไหลเข้าที่เค้าว่า และนี่ละครับหนึ่งในตัวการหลักที่ทำให้บาทแข็งในช่วงที่ผ่านมา (จริงอยู่ค่าเงินประเทศอื่นที่อ่อนเองก็เกี่ยว) เพราะฉะนั้นหากจะแก้ก็ต้องแก้กันที่ตรงนี้ละครับ
เพราะสัดส่วนเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นยังน้อยกว่ามาก แต่จะแก้ยังไงให้มีประสิทธิผล นักลงทุนไม่ตกใจ
ตลาดหุ้นไม่สั่นไหว.. อันนี้ก็เป็นภารกิจของเหล่า Policy makers แล้วละ อาดิโอส
(ภาพจากโพสต์ทูเดย์)
หมายเหตุ ผมคิดว่าหากมีการลดดอกเบี้ยจริงตามที่คาดที่ 0.25% คงแก้ปัญหาเรื่องเงินไหลเข้าได้บ้าง
แต่คงไม่มากละครับ เนื่องจากยังไม่ตรงจุดเท่าไหร่ เพราะยังมีส่วนต่างอีกตั้ง 2-2.5% กับอัตราดอกเบี้ยในอเมริกาและญี่ปุ่น
แต่หากลดมากกว่านั้นก็เป็นกังวลเรื่องปัญหาฟองสบู่
ดังนั้นถ้าจะลดลงเยอะๆจริงๆอาจจะต้องออกมาตรการอื่นควบคุมไปด้วยซึ่งผมแนะนำ Macro prudential หรือมาตรการคุมให้สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ต้องระมัดระวังมากขึ้น
พูดง่ายๆคือ คุมไม่ให้เกิดการเก็งกำไรหรือการใช้จ่ายที่เกินตัว เช่น
เก็บภาษีการเปลี่ยนมืออสังหา เป็นต้น แต่มันดูจะยุ่งยากขึ้นมั้ยนิ...
อย่างไรก็ดีหากไม่มีมาตรการอะไรออกมาเลยก็คงไม่ดีแน่ครับ
เพราะเงินไหลเข้ามหาศาลในตลาดพันธบัตรคงไม่อยู่นิ่งๆและระเหยไปเองดั่งน้ำ..
เดี๋ยวก็ต้องมีบางบริษัทเข้ามาตักตวงเงินตรงนี้ไปใช้ โดยการออกหุ้นกู้ (ซึ่งแบงค์ชาติคุมไม่ได้) แล้วไปออกโครงการใหม่เรื่อยๆ (เช่น พวกอสังหา) ซึ่งกองทุนรวม
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่างๆก็อาจมาซื้อไป และเงินตรงนั้นก็มาจากนักลงทุนรายย่อยด้วยนิละครับ
ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้นมา.. ฟองสบู่??? มันก็จะลามเป็นลูกโซ่ได้ ต้องระวัง!
ดังนั้นผมจึงค่อนข้างสบายใจที่เห็นผู้กุมนโยบายการเงินและการคลังนั่งคุยกัน แม้จะขัดแย้งกันบ้าง
แต่ก็เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งมันน่าจะพาเราไปสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้ไม่ยากครับ
หวังไว้เช่นนั้น
เป็น block ที่ดีมากครับ
ReplyDeleteขอบคุณครับ :)
Delete