Wednesday, September 24, 2014

แก๊งค์ขาซิ่ง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2557

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านจะเห็นขาใหญ่แต่ละกลุ่มที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาช่วยพยุงตลาด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงานนำโดยพี่ใหญ่ PTT กลุ่มธนาคารนำโดยแบงค์ดอกบัว BBL และล่าสุดก็กลุ่ม ICT นำซิ่งโดย 3 โจ๋ ADVANC DTAC INTUCH
  
โดยเฉพาะกลุ่ม ICT และ พลังงานที่ยัง underperform ดัชนี SETอยู่ราว 4% และ 9% ตามลำดับหากนับจากต้นปีจนถึงปิดเช้าวันที่ 24 ก.ย. (กลุ่มธนาคารปล่อยไปเหอะเพราะ outperform แต่ยังช่วยพยุงอีก)



แม้ท่านกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯได้ออกมาเตือนแล้วว่าให้ดูดีๆนะ หุ้นบางตัวที่ PE หลายร้อยเท่าราคามันอาจไม่สมเหตุสมผลต้องระวัง ต้องวิเคราะห์ให้ดีก่อนลงทุน แต่หากมองในภาพรวมแล้ว ก็นั่นละครับ หุ้นในกลุ่มใหญ่ยังช่วยพยุงตลาดไว้อยู่ดี
  
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เมื่อเร็วๆ นี้ท่านนายกฯประยุทธ์ได้บัญชาให้จัดหนักจัดเต็มกับเงินงบประมาณเริ่มในไตรมาสสี่ปีนี้ครับ มูลค่าก็ไม่มากไม่น้อย 1.1 ล้านล้านบาทเท่านั้น.. หลักๆ ที่จะไปลงก็คือการลงทุนในประเทศนั่นละ ซึ่งถ้าคิดบวกลบคูณหารแบบง่ายๆ โดยให้ GDP ประเทศไทยเรา 14 ล้านล้านบาท แปลว่ามูลค่าตกประมาณ3 ล้านล้านบาทต่อ 1 ไตรมาส ท่านนายกฯให้จัด 1.1 ล้านล้านบาท นั่นหมายถึง 37%ของ GDP เลยเชียวนะ! เพราะงั้นไม่แน่ GDP ไตรมาส 4 ปีนี้อาจจะโตถึง 2 หลักก็เป็นได้ โฮะๆๆ
  
เอาละท้ายสุด ก็อยากฝากไว้ครับว่า หากท่านยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้จริงจังก็อย่าไปลงทุนในหุ้น PE หลักร้อยเลยครับ เสี่ยงไป ยังมีหุ้นดีๆ อีกหลายตัวที่พร้อมให้ท่านสอย หรือหากยังไม่เจอจริงก็ถือเงินสดไว้ก่อนก็ได้ไม่ต้องรีบ ตำนานนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ยังเคยบอกไว้เลยครับว่า “จริงๆ แล้วการถือเงินสดก็เหมือนกับการถืออนุพันธ์ประเภทหนึ่งที่ไม่มีวันหมดอายุ เพราะเราสามารถที่จะเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินชนิดใดและเมื่อไหร่ก็ได้” นั่นละครับไม่พร้อมก็รอ พร้อมเมื่อไหร่ ค่อยจัดหนักจัดเต็มไปเลย!

Wednesday, September 17, 2014

PTT และผองเพื่อน

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 17 กันยายน 2557

ในที่สุดเราก็ได้เห็นธนาคารชาติจีน (PBOC) จัดหนักจัดเต็ม ด้วยการอัดฉีดเงิน 5 แสนล้านหยวน (ราว 2.6 ล้านล้านบาท) เข้าสู่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของเค้า 5 แห่ง (ตกธนาคารละ 1 แสนล้านหยวน) ผ่านโปรแกรมที่เรียกว่า Standing Lending Facility เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากตัวเลข Factory output และ Retail sales ของเค้าเมื่อเดือนก่อนประกาศออกมาโหลยโท่ย นักวิเคราะห์ต่างพากันคำนวณครับว่าการอัดฉีดครั้งนี้เทียบเท่ากับการลดอัตรากันสำรองของธนาคาร (RRR) ลงถึง 50 basis point เลยทีเดียวเชียว แต่ตลาดหุ้นจีนก็ไม่ได้ตอบสนองต่อข่าวนี้มากนัก เนื่องจากได้มีการคาดการณ์มาก่อนบ้างแล้ว อย่างไรก็ดี ผมมองว่าการลงไม้ลงมือของธนาคารแห่งชาติจีนครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าเค้าพร้อมจัดหนักจัดเต็มนะหากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งมันช่างคล้ายกับการจัดหนักจัดเต็มของธนาคารแห่งชาติอเมริกา (Fed) ยุโรป (ECB) ญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึงอังกฤษ (BOE) ในช่วงที่ผ่านมาซะเหลือเกิน
  
ส่วนบ้านเรา ก็ไม่รู้ซินะ พอเห็นเรื่องการปฏิรูปราคาพลังงานในไทยแล้วก็พลันไปนึกถึงเหตุการณ์ปฏิรูปพลังงานที่เกิดขึ้นในประเทศจีนและอินเดียในช่วงปี 2008-14 ซะอย่างนั้น Morgan Stanley เค้าได้ประเมินไว้ครับว่า หากยึดหุ้นพลังงานอย่าง PetroChina, Sinopec, BPCL, และ ONGC เป็นหลักในการคำนวณ หุ้นกลุ่มพลังงานของจีนและอินเดียในช่วงนั้นได้ถูก Re-rate P/E ขึ้น จาก 8-9 เท่า เป็น 11-12 เท่าเลยเชียวละ โอ้วว แล้วบ้านเราละ.. เอากะเค้าบ้างไหม?



พอเป็นซะแบบนี้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานในบ้านเรามีขนาดใหญ่ถึง 1/5 ของมูลค่าตลาดหุ้นไทย ผมก็เลยคิดว่าโอกาสที่ตลาดจะลงแรงๆ แบบเทกระจาดในช่วงนี้น่าจะ ‘ยากส์’ เพราะข่าวเรื่องการปฏิรูปราคาพลังงานนี้คงทำให้หุ้นอย่าง PTT และผองเพื่อนช่วยกันพยุงตลาดเอาไว้อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง อย่างดีตลาดหุ้นไทยก็อาจลงมาพักฐานแถวเป้า Base-case ปีนี้ของหลักทรัพย์บัวหลวงที่ 1530 เว้นซะเสียว่ารัฐบาลจะมีเซอร์ไพรส์ออกนโยบายใหม่ในทางตรงกันข้ามกับที่ตลาดคาดการณ์หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ แย่งเซอร์ไพรส์ก่อนด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้นั่นละครับ 



Wednesday, September 10, 2014

ยุ่นปี่

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 กันยายน 2557

ผมเคยเขียนถึงการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในบทความเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เชียร์ให้ซื้อ แต่ก็แอบดีใจว่าตลาดหุ้นจีนก็ได้ขึ้นมาราว 6%จากวันนั้นถึงวันนี้.. คราวนี้เลยจะพาคุณผู้อ่านไปเที่ยวประเทศอื่นในแถบเอเชียเหนืออีกดูบ้าง ประเทศนั้นคือประเทศยุ่นปี่ ญี่ปุ่นครัช
  
Morgan Stanley ยักษ์ใหญ่การเงินชื่อดังของโลกได้ออกบทวิเคราะห์สะท้านทรวงเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาครับว่า ตอนนี้เค้าชอบหุ้นญี่ปุ่นที่ซู้ดด เหตุผลก็เพราะว่าการส่งออกของญี่ปุ่นจะค่อยๆ ดีขึ้นจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดี แม้ว่าการบริโภคในประเทศจะยังอ่อนแอ แต่นั่นจะทำให้ธนาคารกลางของเค้า (BOJ) ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก (ลุ้นผลประชุมปลายเดือนตุลาฯ) เอ้า งี้เยนก็ยิ่งอ่อน ส่งออกก็ยิ่งดีนะซิ!



ยิ่งไปกว่านั้น หันไปดูในแง่ผลประกอบการบ้าง Morgan Stanley บอกว่าบริษัทในญี่ปุ่นอ่ะประกาศผลกำไรมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ถึง 7 ไตรมาสติดกันแล้วนะ แม้กระนั้น PE ก็ยังถูกอยู่เลย.. ทีมวิเคราะห์เค้าเลยคาดการณ์กันว่า ROE ของบริษัทจะโตอีก 50 bps ในปีปฏิทิน 2015 เลยเชียวละ (อ๊ะๆ เหลือบไปดู upside จาก Target price เฮียเค้าให้ไว้ถึง 15% เลย)



หันกลับมาบ้านเรา ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ควรจะมีการปรับตัวบ้างเล็กน้อยเช่นเดียวกันกับตลาดอนุพันธ์ละครับ หลังจากเกิดสัญญาณ Bearish Divergence บนตัวเจ้า SET50 Futures ในภาพรายวันเมื่อสิ้นวันที่ 9 ก.ย. ที่ระดับ RSI เข้าใกล้เขตซื้อมาก (ใกล้ 70) อย่างไรก็ดีผมคิดว่าการปรับตัวรอบนี้จะไม่ได้รุนแรงอะไร (ไม่น่าหลุดกรอบขาขึ้น) แนะนำให้ลองดู RSI ประกอบ ถ้าถอยลงมามากเท่าใดดีกรีการปรับตัวน่าจะค่อยๆเบาลงมากเท่านั้นครับ


แล้วพบกันใหม่บทความหน้าครับ : )

Wednesday, September 3, 2014

10 ปีที่ผ่านมา

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2557

ผมรู้สึกว่าประเทศไทยเรากำลังวิ่งเข้าหาประเทศตะวันตกหรือประเทศพัฒนาแล้วในหลายๆ เรื่องครับ ลองนึกย้อนไปเมื่อซัก 10 กว่าปีก่อน ไม่ค่อยเห็นหรอกที่คนหนุ่มสาวหรือเด็กในวัยเรียนจะแยกจากพ่อแม่มาอยู่เอง ในขณะที่การทำแบบนั้นเป็นเรื่องปกติของฝรั่งมาช้านานแล้ว หันกลับมาดูปัจจุบัน การเดินทางในกรุงเทพฯ เริ่มสะดวกมากขึ้น มีคอนโดฯ ผุดขึ้นเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่รถไฟฟ้าผ่าน เราเริ่มจะรู้สึกว่าไม่แปลกแฮะที่เด็กสมัยนี้จะย้ายมาอยู่คอนโดฯ เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ในขณะที่ผู้ปกครองก็อาจมองว่าเป็นการฝึกให้ลูกๆ ได้รู้จักใช้ชีวิต และยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง มีการซื้อคอนโดฯ ไว้เพื่อเป็นแหล่งพักพิงแหล่งที่ 2 หรือบ้างก็ไว้เก็งกำไร.. ลองคิดเล่นๆ ครับว่าหากอนาคต 10-20 ปีข้างหน้ามีการเดินทางสะดวกสบายทั่วประเทศ พฤติกรรมคนต่างจังหวัดก็ต้องเปลี่ยน สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ต้องผุดตาม แล้วใครบ้างละที่ได้ประโยชน์?



อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเปลี่ยนไปค่อนข้างชัดก็คือ “ความรู้สึกคนไทยกับการทำประกัน” ผมว่า 10 ปีที่ผ่านมานี้ภาพลักษณ์ธุรกิจประกันดูดีขึ้นนะ คนไทยเริ่มเห็นว่าการทำประกันไม่ว่าจะประกันชีวิตหรือประกันภัยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันช่วย “ปิดความเสี่ยง” ในขณะที่แท้จริงแล้วถ้ามองย้อนไปชาวตะวันตกเค้ารู้สึกแบบนี้มาช้านานแล้ว (ปัจจุบันคนอเมริกาถือประกันเฉลี่ยคนละ 5-6 ฉบับ คนไทยถือเฉลี่ยคนละไม่ถึง 1 ฉบับ!) ซึ่งแนวโน้มนี้ผมคิดว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตเพียงแต่อัตราเร่งจะมากจะน้อยก็ขึ้นกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ลองนึกดูว่าในอดีตจากที่คนเบือนหน้าหนีเลยเวลาใครมาเสนอขายประกัน อาจจะเปลี่ยนเป็นฟังซักหน่อยก่อนแล้วค่อยหนี หรือฟังนานขึ้นหน่อยแล้วหยวนๆ ซื้อ.. ไม่แน่ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนเป็นเราที่ต้องวิ่งเข้าหาคนขายประกันก็เป็นได้ครับ

สรุป หากลองนึกๆ ดีก็จะพบครับว่าพฤติกรรมคนไทยที่กำลังเปลี่ยนไปนั้น ได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนนานแล้วในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สาเหตุก็ง่ายๆ “เพราะมนุษย์เรามียีนเดียวกัน” ยังไงพฤติกรรมพื้นฐานควรจะต้องไม่ต่างกัน.. ความจริงมีอีกหลายเรื่องที่ผมรู้สึกว่าเปลี่ยนไปในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ไว้จะทยอยเล่าให้ฟังนะครับ (ใครนึกออกอีกก็แชร์กันก่อนได้) ส่วนภาพตลาดในสัปดาห์นี้ต้องบอกว่าเหนียวแน่นหนึบ มาจากความเชื่อมั่นที่มากขึ้นจากการที่ได้เห็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ผมมองว่าข้อดีอีกข้อหนึ่งของการที่เรามีรัฐบาลทหารก็คือสามารถลดขั้นตอนในการอนุมัติโครงการต่างๆ ออกไปได้ พูดง่ายๆ นโยบายใดที่ดีในรัฐบาลก่อนๆ ที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับการอนุมัติ น่าจะได้นำมาใช้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในรัฐบาลนี้ด้วยครับ