Wednesday, November 26, 2014

พร้อมทะยานสู่ฟ้า

สวัสดีครับ,

NOVEMBER 26, 2014


หากจำกันได้ผมได้เขียนสรุปไว้ในบทความ “ทำธุรกิจด้วยกฎ 9 ข้อสไตส์ Buffett” เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนครับว่า หุ้นใน SET50 จะกลับเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป และก็เป็นอย่างที่คาด เพราะเมื่อหุ้นเล็ก-หุ้นจิ๋วโดนมาตรการสกัดความร้อนแรงจากตลาดหลักทรัพย์ (แม้จะมีผลจริงในปีหน้า) ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้นดังส้มหล่นทับ ซึ่งหากดูจากกราฟจะเห็นชัดเจนครับว่า ดัชนี SET50 ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ของปีไปก่อนแล้วเรียบร้อยในขณะที่ดัชนี SET ยัง (ณ เวลา 10.50 วันที่ 26 พ.ย.)



ความจริงอีกข้อก็คือ นักลงทุนไทยยังต้องซื้อ LTF อีกเยอะครับโดยเม็ดเงิน LTF ที่คาดว่าจะเข้ามาในตลาดหุ้นปีนี้ทั้งปีอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท (ปีที่แล้ว 4.3 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจนถึงตอนนี้ผ่านไปเกือบ 11 เดือน คาดว่ามียอดซื้อ LTF รวมเพียงประมาณกึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่รอ เพื่อซื้อในช่วงสุดท้ายของปีโดยหวังว่าหุ้นจะลงแต่จริงๆ ดันไม่ลง (หุ้นขึ้นด่ะตั้งแต่ต้นปี) ดังนั้นเดือนธ.ค.ปีนี้น่าจะมีเฮโลนะครับ ตลาดหุ้นไทยเตรียมพร้อมรับเม็ดเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาทได้เลย

สุดท้าย เพื่อยืนยันกันอีกครั้ง ทางทีม Quantitative Model ของเราก็ได้ทำนายไว้ครับว่า เดี๋ยวเถอะ เดือนหน้านิแหละ จะมี Flows จากทั้งนักลงทุนสถาบันและต่างชาติทยอยกันเข้ามา สังเกตได้จากเจ้า Volume Flow Indicator ที่กำลังฟอร์มตัวสวยพร้อมทะยานสู่ฟากฟ้า ดังนั้น ใครที่เทรด SET50 Index Futures อยู่ด้วยแล้วถือหน้า Short ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นนะครับ

Wednesday, November 12, 2014

ทำธุรกิจด้วยกฎ 9 ข้อสไตส์ Buffett

สวัสดีครับ,

วันนี้มีประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังก่อนกระโดดจะไปสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยครับ จริงอยู่ เรารู้จัก Warren Buffett ในฐานะตำนานนักลงทุนเน้นคุณค่าของโลก แต่ในแง่การทำธุรกิจแล้ว Buffett ก็ถือเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ และนี่ก็คือ กฎ 9 ข้อในการทำธุรกิจของเขา (จากบทความของ Alex Crippen ในเว็บไซต์ CNBC) ซึ่งผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ จึงเรียบเรียงมาให้อ่านดังนี้

กฎข้อแรก เงียบสงบสยบความเคลื่อนไหว อย่าไปตื่นตระหนกกับความผันผวนของกำไร Buffett บอกว่าเค้ายอมให้กำไรของบริษัทผันผวนปรู๊ดปร๊าดแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 15% ดีกว่ากำไรอยู่นิ่งแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 12%

กฎข้อสอง ยาวดีกว่าสั้น Buffett ยกตัวอย่างว่าเค้าไม่เคย split หุ้นบริษัท (Class A) ของเค้าเลย ด้วยเหตุนี้ราคาหุ้น Berkshire จึงสูงถึง USD217,000 หรือ 7 ล้านกว่าบาทต่อหุ้น ที่ทำเช่นนี้เพราะเค้าต้องการให้นักลงทุนถือหุ้นยาวๆ ไม่ซื้อขายสั้นๆ (สังเกตว่าหุ้นที่ราคาต่ำๆ จะมีการซื้อขายหมุนเวียนเพื่อเก็งกำไรบ่อยครั้งกว่าหุ้นที่มีราคาสูงๆ)

กฎข้อสาม เน้นเข้าไว้ บริษัทไม่ว่าจะดีสุดยอดแค่ไหนก็ต้องมีช่วงเวลาที่ซบเซาด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งนั่นอาจทำให้เราเลิกสนใจมันและหันไปสนใจธุรกิจธรรมดาๆ แทน Buffett เลยบอกว่าอย่ากระนั้นเลยให้เน้นของเดิมที่เจ๋งๆ ไว้ดีกว่า อย่าปล่อยให้ของดีหลุดมือไปเพียงเพราะเหตุการณ์ร้ายเพียงชั่วคราว

กฎข้อสี่ ขอถูกๆ Buffett บอกว่าต้นทุนที่ถูกนิแหละที่เป็น Key Success Factor ของ GEICO (บริษัทประกันรถที่ใหญ่อันดับ 2 ในอเมริกา และเป็นบริษัทลูกของ Berkshire) พอต้นทุนถูก ก็ตั้งราคาถูกได้ซึ่งนั่นก็เป็นการรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราได้นาน และเมื่อลูกค้าประทับใจก็จะเกิดการบอกต่อนั่นยิ่งทำให้ต้นทุนถูกลงไปอีก

กฎข้อห้าจ่ายเงินพนักงานด้วยวิธีง่ายๆ Buffett บอกว่าเค้าไม่ชอบจ่ายผลตอบแทนพนักงานด้วยเครื่องมือที่ต้องมานั่งลุ้น (Buffett ใช้คำว่า Lottery ticket) อย่างเช่น Stock options ซึ่งมูลค่าสุดท้ายเป็นได้ตั้งแต่ 0 จนถึงสูงมาก แถมเค้ายังไม่สามารถควบคุมได้ (ว่าพนักงานจะใช้สิทธิ์เมื่อไหร่) ความจริงก็คือหลักการจ่ายมันควรเป็นไปตามผลประกอบการของธุรกิจ วัดได้ง่าย และเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่พนักงานปฏิบัติ

กฎข้อหก อยู่ไกลๆ กับปัญหา Buffett บอกว่าเค้าชอบ “วางแผนกลับด้าน” (Reverse engineer) หมายถึง ถ้าเรารู้ว่าทำอะไรลงไปแล้วผลลัพธ์ที่จะเกิดเราไม่สามารถรับได้ ก็อย่าคิดแม้จะไปเริ่มทำมัน เหมือนอย่างที่คู่หูเค้า Charlie Munger ชอบบอกว่า “ถ้ารู้ว่าไปที่ไหนแล้วผมต้องจะตาย ผมก็จะไม่ไปที่นั่น แค่นั้น”
 
กฎข้อเจ็ด ถ้าหุ้นคุณถูก.. เก็บมันไว้เอง พูดง่ายๆ เมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นบริษัทของคุณในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ให้ซื้อมันเก็บไว้เองเลย! (ซื้อหุ้นคืน) Buffett ถึงกับกร้าวว่าในช่วงเวลานั้น แม้จะเจอธุรกิจที่สุดยอดที่ราคาสมน้ำสมเนื้อ เค้าก็ไม่เอา
 
กฎข้อแปด เล็กเข้าไว้ Buffett เชื่อว่าองค์กรยิ่งใหญ่ ยิ่งเยอะ ยิ่งทำให้คิดช้า ทำงานยาก จึงเป็นสาเหตุให้สำนักงานใหญ่ของ Berkshire มีจำนวนพนักงานแค่หยิบมือ และงานในการบริหารจัดการส่วนใหญ่ไปอยู่ในมือผู้จัดการส่วน ซึ่งผู้จัดการส่วนเหล่านั้นก็ทำงานทุ่มเทเสมือนกับว่าเค้าเป็นเจ้าของบริษัทยังไงหยั่งงั้นเลย
 
กฎข้อเก้า รักษาชื่อเสียงยิ่งชีพ กฎข้อนี้สำคัญที่สุด*** Buffett เคยถึงกับพูดกับพนักงานบริษัทของเค้าว่า “หากคุณทำบริษัทเสียเงิน ผมจะยอมเข้าใจ แต่หากทำบริษัทเสียชื่อเสียง แม้เพียงเล็กน้อย ผมก็จะไม่ปรานี” เหมือนกับที่เค้าเคยย้ำอยู่เสมอครับว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีสร้างขึ้นมา แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีทำลายมัน”
 
ดูเหมือนผมจะไม่มีพื้นที่เหลือให้สรุปภาพรวมตลาดมากนัก แต่ก็หวังว่า 9 ข้อที่นำมาฝากจะหนำใจคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนไหวของหุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัว เช่น กลุ่ม PTT, CPALL, ADVANC ซึ่งผมเชื่อว่าอาจจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนถึงสิ้นปี ในช่วงที่พลังเม็ดเงิน LTF และ RMF เข้าสู้ตลาดหุ้นผ่านทางนักลงทุนสถาบันในประเทศ และหุ้นใน SET50 ก็น่าจะเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป

Monday, November 10, 2014

พี่ Mark พระโขนง !?

8 พ.ย. 2557


โพสต์เรื่องพี่ Mark (พระโขนง?... ไม่ใช่!) เมื่อวานได้รับความสนใจมากทีเดียวครับ วันนี้เลยขอเก็บตกอีกประเด็นที่น่าสนใจ นำมาฝากกัน

มีคนถามพี่ Mark ต่อว่า "แล้ว Facebook ตอนนี้ดูขาดสีสัน หรือ เริ่มขาดความน่าสนใจแล้วรึป่าวครัช ?"

พี่ Mark ตอบว่า..

"บ่องตง เป้าหมายของพี่ไม่เคยคิดที่จะทำให้ Facebook ดูเฟี้ยวครับน้อง พี่เองก็ไม่ใช่คนเฟี้ยว (Cool) และไม่เคยพยายามที่จะทำให้ตัวเองดูเฟี้ยว"

"เป้าหมาย (ในการทำธุรกิจของพี่) ไม่จำเป็นจะต้องทำให้สินค้าหรือบริการดูเฟี้ยวฟ้าวน่าตื่นเต้นที่จะใช้ เพียงแค่เราทำให้ให้มันมีประโยชน์ที่จะใช้.. ก็พอ (คำนี้ขีดเส้นใต้เลยนะครับ)"

พี่ Mark เปรียบเทียบการใช้ Social network กับการใช้ไฟฟ้าหรือน้ำประปาครับ เค้าบอกว่า เราคงไม่แบบกลับถึงบ้านปุ๊ปเปิดไฟแล้วร้อง wow อะไรแบบนี้ เพียงแต่มันจำเป็นต้องเปิดต้องใช้ แม้จะไม่ wow ก็ตาม ซึ่งประเด็นนี้ผมว่าสำคัญเลย จึงขอสรุปเป็นคำพูดของตัวเองง่ายๆ ครับว่า

"ในการทำธุรกิจให้สุดยอด คุณต้องเปลี่ยนความรู้สึกลูกค้าต่อสินค้าและบริการของคุณจาก 'ใช้หรือไม่ใช้ก็ได้' ให้เป็น 'ไม่ใช้ไม่ได้' เท่านี้แหละ เฟี้ยวที่สุดแล้น!"


Friday, November 7, 2014

Mark Zuckerberg: First public Q&A

7 พ.ย. 2557



พี่ Mark Zuckerberg ได้จัด first public Q&A บน Facebook (เรียกพี่เพราะอายุมากกว่าผม 3 ปี แต่เกิดเดือนเดียวกัน) โดยให้คนเข้าไปคอมเม้นถามอะไรก็ได้ หรือไป vote คำถามที่ชอบโดยการกด Like แล้วเค้าจะมาตอบแบบสดๆ

มีอยู่คำถามนึงผมชอบมากครับ มีคนถามพี่ Mark ว่า “Why do you wear the same T-shirt every day?”

ไอคนฟังก็คิดว่า เอ๊ะ เฮียจะหยอดมุกอะไรกลับมานะ.. แต่ป่าวครับ พี่ Mark ตอบแบบซีเรียสกลับมาว่า (ขออนุญาตแปลเอง)

“เอิ่ม คือมันมีทฤษฎีทางจิตวิทยาบอกไว้อะนะว่าไอการตัดสินใจจุกจิกหยุมหยิม เช่น วันนี้จะใส่ชุดอะไรดี หรือจะกินข้าวเช้าอะไรดีนะ พวกนี้ มันทำให้เราเสียเวลา เสียพลังงานไปมาก ผมไม่อยากจะไปเสียเวลากับการคิดอะไรพวกนี้”

“บอกตรง ผมโชคดีแค่ไหนที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ได้ตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วแบบว่าได้ดูแลคนมากกว่าพันล้านคนบนโลกออนไลน์แห่งนี้ ดังนั้น ผมจึงอยากจัดการชีวิตของผมให้มันแบบมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจน้อยที่สุด โดยเฉพาะเรื่องโง่ๆ หรือเรื่องที่ไม่สำคัญในชีวิต บ่องตง เรื่องเดียวตอนนี้ที่ผมแคร์ คือ How to best serve this community (Facebook) !!”

“ผมว่าอย่าง Steve Jobs หรือ Barack Obama เองก็ใช้ทฤษฎีเดียวกับผม ถ้าสังเกตส่วนใหญ่ทุกวันเค้าก็ใส่เสื้อรูปแบบเดิมๆ นั่นละ ยิ่ง Jobs เนี่ยนะ เค้าบอกเลยว่าอยากให้ทุกคนใน Apple ใส่เสื้อตัวเดียวกันด้วยซ้ำ กระต๊ากก!!”

“สุดท้าย ผมอยากบอกว่าผมมีเสื้อสีเทานี้หลายตัว ไม่ได้ใส่ซ้ำนะคร้าบบ 55+”

ที่มาเล่า เพราะผมเองก็มีแนวคิดเรื่องนี้คล้ายๆ พี่ Mark ครับ ผมมักจะกินข้าวเช้าร้านเดิมๆ เพราะขี้เกียจมาเสียเวลาคิดว่าจะกินอะไร การแต่งตัวผมแต่ละวันก็เพลนๆ ใส่ชุดรูปแบบเดิมๆ นิละไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง

ส่วนใครอยากดูคลิปที่เฮียพูด ตามลิ้งค์ล่างนี้เลยครับ นาทีที่ 42 นะ https://www.facebook.com/video.php?v=828790510512059&set=vb.823440467713730&type=2&theater