สวัสดีครับ,


วันนี้มีประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังก่อนกระโดดจะไปสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยครับ จริงอยู่ เรารู้จัก Warren Buffett ในฐานะตำนานนักลงทุนเน้นคุณค่าของโลก แต่ในแง่การทำธุรกิจแล้ว Buffett ก็ถือเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ และนี่ก็คือ กฎ 9 ข้อในการทำธุรกิจของเขา (จากบทความของ Alex Crippen ในเว็บไซต์ CNBC) ซึ่งผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ จึงเรียบเรียงมาให้อ่านดังนี้
กฎข้อแรก เงียบสงบสยบความเคลื่อนไหว อย่าไปตื่นตระหนกกับความผันผวนของกำไร Buffett บอกว่าเค้ายอมให้กำไรของบริษัทผันผวนปรู๊ดปร๊าดแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 15% ดีกว่ากำไรอยู่นิ่งแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 12%
กฎข้อสอง ยาวดีกว่าสั้น Buffett ยกตัวอย่างว่าเค้าไม่เคย split หุ้นบริษัท (Class A) ของเค้าเลย ด้วยเหตุนี้ราคาหุ้น Berkshire จึงสูงถึง USD217,000 หรือ 7 ล้านกว่าบาทต่อหุ้น ที่ทำเช่นนี้เพราะเค้าต้องการให้นักลงทุนถือหุ้นยาวๆ ไม่ซื้อขายสั้นๆ (สังเกตว่าหุ้นที่ราคาต่ำๆ จะมีการซื้อขายหมุนเวียนเพื่อเก็งกำไรบ่อยครั้งกว่าหุ้นที่มีราคาสูงๆ)
กฎข้อสาม เน้นเข้าไว้ บริษัทไม่ว่าจะดีสุดยอดแค่ไหนก็ต้องมีช่วงเวลาที่ซบเซาด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งนั่นอาจทำให้เราเลิกสนใจมันและหันไปสนใจธุรกิจธรรมดาๆ แทน Buffett เลยบอกว่าอย่ากระนั้นเลยให้เน้นของเดิมที่เจ๋งๆ ไว้ดีกว่า อย่าปล่อยให้ของดีหลุดมือไปเพียงเพราะเหตุการณ์ร้ายเพียงชั่วคราว
กฎข้อสี่ ขอถูกๆ Buffett บอกว่าต้นทุนที่ถูกนิแหละที่เป็น Key Success Factor ของ GEICO (บริษัทประกันรถที่ใหญ่อันดับ 2 ในอเมริกา และเป็นบริษัทลูกของ Berkshire) พอต้นทุนถูก ก็ตั้งราคาถูกได้ซึ่งนั่นก็เป็นการรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราได้นาน และเมื่อลูกค้าประทับใจก็จะเกิดการบอกต่อนั่นยิ่งทำให้ต้นทุนถูกลงไปอีก
กฎข้อห้าจ่ายเงินพนักงานด้วยวิธีง่ายๆ Buffett บอกว่าเค้าไม่ชอบจ่ายผลตอบแทนพนักงานด้วยเครื่องมือที่ต้องมานั่งลุ้น (Buffett ใช้คำว่า Lottery ticket) อย่างเช่น Stock options ซึ่งมูลค่าสุดท้ายเป็นได้ตั้งแต่ 0 จนถึงสูงมาก แถมเค้ายังไม่สามารถควบคุมได้ (ว่าพนักงานจะใช้สิทธิ์เมื่อไหร่) ความจริงก็คือหลักการจ่ายมันควรเป็นไปตามผลประกอบการของธุรกิจ วัดได้ง่าย และเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่พนักงานปฏิบัติ
กฎข้อหก อยู่ไกลๆ กับปัญหา Buffett บอกว่าเค้าชอบ “วางแผนกลับด้าน” (Reverse engineer) หมายถึง ถ้าเรารู้ว่าทำอะไรลงไปแล้วผลลัพธ์ที่จะเกิดเราไม่สามารถรับได้ ก็อย่าคิดแม้จะไปเริ่มทำมัน เหมือนอย่างที่คู่หูเค้า Charlie Munger ชอบบอกว่า “ถ้ารู้ว่าไปที่ไหนแล้วผมต้องจะตาย ผมก็จะไม่ไปที่นั่น แค่นั้น”
กฎข้อเจ็ด ถ้าหุ้นคุณถูก.. เก็บมันไว้เอง พูดง่ายๆ เมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นบริษัทของคุณในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ให้ซื้อมันเก็บไว้เองเลย! (ซื้อหุ้นคืน) Buffett ถึงกับกร้าวว่าในช่วงเวลานั้น แม้จะเจอธุรกิจที่สุดยอดที่ราคาสมน้ำสมเนื้อ เค้าก็ไม่เอา
กฎข้อแปด เล็กเข้าไว้ Buffett เชื่อว่าองค์กรยิ่งใหญ่ ยิ่งเยอะ ยิ่งทำให้คิดช้า ทำงานยาก จึงเป็นสาเหตุให้สำนักงานใหญ่ของ Berkshire มีจำนวนพนักงานแค่หยิบมือ และงานในการบริหารจัดการส่วนใหญ่ไปอยู่ในมือผู้จัดการส่วน ซึ่งผู้จัดการส่วนเหล่านั้นก็ทำงานทุ่มเทเสมือนกับว่าเค้าเป็นเจ้าของบริษัทยังไงหยั่งงั้นเลย
กฎข้อเก้า รักษาชื่อเสียงยิ่งชีพ กฎข้อนี้สำคัญที่สุด*** Buffett เคยถึงกับพูดกับพนักงานบริษัทของเค้าว่า “หากคุณทำบริษัทเสียเงิน ผมจะยอมเข้าใจ แต่หากทำบริษัทเสียชื่อเสียง แม้เพียงเล็กน้อย ผมก็จะไม่ปรานี” เหมือนกับที่เค้าเคยย้ำอยู่เสมอครับว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีสร้างขึ้นมา แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีทำลายมัน”
ดูเหมือนผมจะไม่มีพื้นที่เหลือให้สรุปภาพรวมตลาดมากนัก แต่ก็หวังว่า 9 ข้อที่นำมาฝากจะหนำใจคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนไหวของหุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัว เช่น กลุ่ม PTT, CPALL, ADVANC ซึ่งผมเชื่อว่าอาจจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนถึงสิ้นปี ในช่วงที่พลังเม็ดเงิน LTF และ RMF เข้าสู้ตลาดหุ้นผ่านทางนักลงทุนสถาบันในประเทศ และหุ้นใน SET50 ก็น่าจะเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป
กฎข้อแรก เงียบสงบสยบความเคลื่อนไหว อย่าไปตื่นตระหนกกับความผันผวนของกำไร Buffett บอกว่าเค้ายอมให้กำไรของบริษัทผันผวนปรู๊ดปร๊าดแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 15% ดีกว่ากำไรอยู่นิ่งแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 12%
กฎข้อสอง ยาวดีกว่าสั้น Buffett ยกตัวอย่างว่าเค้าไม่เคย split หุ้นบริษัท (Class A) ของเค้าเลย ด้วยเหตุนี้ราคาหุ้น Berkshire จึงสูงถึง USD217,000 หรือ 7 ล้านกว่าบาทต่อหุ้น ที่ทำเช่นนี้เพราะเค้าต้องการให้นักลงทุนถือหุ้นยาวๆ ไม่ซื้อขายสั้นๆ (สังเกตว่าหุ้นที่ราคาต่ำๆ จะมีการซื้อขายหมุนเวียนเพื่อเก็งกำไรบ่อยครั้งกว่าหุ้นที่มีราคาสูงๆ)
กฎข้อสาม เน้นเข้าไว้ บริษัทไม่ว่าจะดีสุดยอดแค่ไหนก็ต้องมีช่วงเวลาที่ซบเซาด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งนั่นอาจทำให้เราเลิกสนใจมันและหันไปสนใจธุรกิจธรรมดาๆ แทน Buffett เลยบอกว่าอย่ากระนั้นเลยให้เน้นของเดิมที่เจ๋งๆ ไว้ดีกว่า อย่าปล่อยให้ของดีหลุดมือไปเพียงเพราะเหตุการณ์ร้ายเพียงชั่วคราว
กฎข้อสี่ ขอถูกๆ Buffett บอกว่าต้นทุนที่ถูกนิแหละที่เป็น Key Success Factor ของ GEICO (บริษัทประกันรถที่ใหญ่อันดับ 2 ในอเมริกา และเป็นบริษัทลูกของ Berkshire) พอต้นทุนถูก ก็ตั้งราคาถูกได้ซึ่งนั่นก็เป็นการรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราได้นาน และเมื่อลูกค้าประทับใจก็จะเกิดการบอกต่อนั่นยิ่งทำให้ต้นทุนถูกลงไปอีก
กฎข้อห้าจ่ายเงินพนักงานด้วยวิธีง่ายๆ Buffett บอกว่าเค้าไม่ชอบจ่ายผลตอบแทนพนักงานด้วยเครื่องมือที่ต้องมานั่งลุ้น (Buffett ใช้คำว่า Lottery ticket) อย่างเช่น Stock options ซึ่งมูลค่าสุดท้ายเป็นได้ตั้งแต่ 0 จนถึงสูงมาก แถมเค้ายังไม่สามารถควบคุมได้ (ว่าพนักงานจะใช้สิทธิ์เมื่อไหร่) ความจริงก็คือหลักการจ่ายมันควรเป็นไปตามผลประกอบการของธุรกิจ วัดได้ง่าย และเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่พนักงานปฏิบัติ
กฎข้อหก อยู่ไกลๆ กับปัญหา Buffett บอกว่าเค้าชอบ “วางแผนกลับด้าน” (Reverse engineer) หมายถึง ถ้าเรารู้ว่าทำอะไรลงไปแล้วผลลัพธ์ที่จะเกิดเราไม่สามารถรับได้ ก็อย่าคิดแม้จะไปเริ่มทำมัน เหมือนอย่างที่คู่หูเค้า Charlie Munger ชอบบอกว่า “ถ้ารู้ว่าไปที่ไหนแล้วผมต้องจะตาย ผมก็จะไม่ไปที่นั่น แค่นั้น”
กฎข้อเจ็ด ถ้าหุ้นคุณถูก.. เก็บมันไว้เอง พูดง่ายๆ เมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นบริษัทของคุณในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ให้ซื้อมันเก็บไว้เองเลย! (ซื้อหุ้นคืน) Buffett ถึงกับกร้าวว่าในช่วงเวลานั้น แม้จะเจอธุรกิจที่สุดยอดที่ราคาสมน้ำสมเนื้อ เค้าก็ไม่เอา
กฎข้อแปด เล็กเข้าไว้ Buffett เชื่อว่าองค์กรยิ่งใหญ่ ยิ่งเยอะ ยิ่งทำให้คิดช้า ทำงานยาก จึงเป็นสาเหตุให้สำนักงานใหญ่ของ Berkshire มีจำนวนพนักงานแค่หยิบมือ และงานในการบริหารจัดการส่วนใหญ่ไปอยู่ในมือผู้จัดการส่วน ซึ่งผู้จัดการส่วนเหล่านั้นก็ทำงานทุ่มเทเสมือนกับว่าเค้าเป็นเจ้าของบริษัทยังไงหยั่งงั้นเลย
กฎข้อเก้า รักษาชื่อเสียงยิ่งชีพ กฎข้อนี้สำคัญที่สุด*** Buffett เคยถึงกับพูดกับพนักงานบริษัทของเค้าว่า “หากคุณทำบริษัทเสียเงิน ผมจะยอมเข้าใจ แต่หากทำบริษัทเสียชื่อเสียง แม้เพียงเล็กน้อย ผมก็จะไม่ปรานี” เหมือนกับที่เค้าเคยย้ำอยู่เสมอครับว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีสร้างขึ้นมา แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีทำลายมัน”
ดูเหมือนผมจะไม่มีพื้นที่เหลือให้สรุปภาพรวมตลาดมากนัก แต่ก็หวังว่า 9 ข้อที่นำมาฝากจะหนำใจคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนไหวของหุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัว เช่น กลุ่ม PTT, CPALL, ADVANC ซึ่งผมเชื่อว่าอาจจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนถึงสิ้นปี ในช่วงที่พลังเม็ดเงิน LTF และ RMF เข้าสู้ตลาดหุ้นผ่านทางนักลงทุนสถาบันในประเทศ และหุ้นใน SET50 ก็น่าจะเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป
No comments:
Post a Comment