สวัสดีครับ,
เริ่มต้นปีได้ไม่ทันใดก็มีข่าว shock โลกเมื่อธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB: Swiss National Bank) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ตัดสินใจยกเลิกเพดานการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนฟรังก์สวิสที่ใช้มากว่า 3 ปี ที่กำหนดไว้ที่ 1.20 ฟรังก์สวิส ต่อ 1 ยูโร พร้อมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกจาก -0.25% เป็น -0.75% (แปลว่าฝากเงินต้องเสียค่าธรรมเนียม) ซึ่งหลังจากประกาศค่าเงินฟรังก์สวิสก็แข็งค่าทันทีถึง 41% เทียบกับค่าเงินยูโร และแข็งค่ามากกว่า 15% เทียบกับอีก 150 สกุลเงินทั่วโลก (ข้อมูลโดย Bloomberg) ถึงขนาดที่ Roger Federer นักเทนนิสที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์โลกชาวสวิสฯ และเป็นมือ 2 ของโลกในปัจจุบัน ต้องออกมากล่าวว่า “แบบนี้ผมก็ยิ่งต้องชนะมากขึ้นนะสิ (ถ้ายังอยากได้เงินรางวัลเท่าเดิม)” เพราะเวลา Federer เดินสายแข่งทั่วโลกเค้าได้เงินรางวัลเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นๆ หรือดอลลาร์สหรัฐฯ เวลาแลกกลับเป็นฟรังก์สวิสซึ่งเป็นสกุลเงินบ้านเกิดจะต้องใช้เงินมากขึ้น

ผมเชื่อว่านัยที่ SNB ต้องการจะสื่อถึงก็คือ เค้าไม่ต้องการเอาค่าเงินของเค้าไปเสี่ยงกับค่าเงินยูโรอีกต่อไป ด้วยเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรที่มีความไม่แน่นอนสูง ในขณะที่เศรษฐกิจของสวิสเซอร์แลนด์นั้นแข็งแกร่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กอปรกับถ้าเกิดธนาคารกลางยุโรป (ECB: European Central Bank) ออก QE ชุดใหญ่ในการประชุมวันที่ 22 ม.ค.นี้ขึ้นมา SNB จะยิ่งต้องใช้เงินทุนสำรองจำนวนมากในการสู้เพื่อรักษาระดับค่าเงินไว้ที่ 1.20 ฟรังก์สวิส ต่อ 1 ยูโร (เพราะนักเก็งกำไรค่าเงินจะต้องยิ่งขายยูโรซื้อฟรังก์สวิสอย่างหนัก) ฉะนั้นรีบยกเลิกก่อนดีกว่า (ขืนถ้าสู้ SNB จะต้องซื้อยูโรแล้วขายฟรังก์สวิสสวน แล้วเกิด ECB ออก QE จริง ค่าเงินยูโรก็จะยิ่งอ่อน ทำให้ SNB ยิ่งขาดทุนหนักจากเงินยูโรที่มีในพอร์ต)
ความจริงแม้ว่าผลกระทบของ QE จากยุโรป (ถ้าออก) จะมีผลมากต่อค่าเงินยูโร แต่อาจจะมีผลจำกัดต่อตลาดหุ้นก็เป็นได้ครับ ECB อาจใช้วิธีให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศในกลุ่มยูโร (NCBs: National Central Banks) ช่วยซื้อตราสารหนี้ของประเทศตัวเอง แทนที่ ECB จะเป็นผู้ซื้อเองทั้งหมด (ด้วยความต่างของขนาดเศรษฐกิจ กฎเกณฑ์ และนโยบายต่างๆ) ซึ่งการซื้อตรงนี้สุดท้ายแล้วก็เพื่อเป็นการส่งผ่านให้ธนาคารปล่อยกู้ได้มากขึ้น ให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ประชาชนมีความคาดหวังว่าสินค้าจะมีราคาสูงขึ้น จึงเกิดการใช้จ่ายมากขึ้น และต่อเนื่องไปถึงสินทรัพย์ทางการเงินที่อาจมีราคาสูงขึ้น แต่ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่ผมต้องเรียนให้ทราบก็คือ สินทรัพย์ทางการเงินของคนในกลุ่มยูโรคิดเป็น 49% ของความมั่งคั่งสุทธิเท่านั้น ในขณะที่ของอเมริกาและอังกฤษจะมากถึง 82% และ 62% ตามลำดับ (ข้อมูลจาก Forbes) จึงอาจสรุปได้ว่าจากลักษณะการทำ QE ดังกล่าวกอปรกับลักษณะเชิงโครงสร้างของประชากรในกลุ่มยูโร ความมีประสิทธิภาพของ QE ฝั่งยุโรปน่าจะน้อยกว่า QE ฝั่งอเมริกาหรืออังกฤษอย่างเห็นได้ชัดครับ
กลับมาพูดถึงตลาดหุ้นไทยซักนิด เมื่อสัปดาห์ก่อนทีมนักวิเคราะห์ของบัวหลวงเราเพิ่งจะหั่นเป้าดัชนี SET ปีนี้ลงไปเหลือ 1670 จากการปรับประมาณการ GDP และกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆ มองว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะโตเท่าไหร่ด้วยครับ เช่น หากคิดว่าจะโตเพียง 10% ด้วยระดับ forward PE ปี 15 ที่ 16 เท่า เป้าดัชนี SET ก็จะเหลือเพียง 1589 เท่านั้น ในขณะที่ Flow จากนักลงทุนต่างชาติก็เป็นขายหุ้นไทยสุทธิแทบทุกวัน หลงจ้งนับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 20 ม.ค. ก็ร่วม 2 หมื่นล้านบาทเข้าไปแล้ว แต่แปลกตรงที่เค้ายัง net long SET50 Futures อยู่ 7,955 สัญญา ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ผมเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะยังซื้อขายอยู่ในกรอบแถวนี้ไปซักพัก แต่ความผันผวนน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากนั้นไม่นานก็น่าจะถึงเวลาที่จะต้องเลือกข้างซักที
