Wednesday, January 21, 2015

ขอเวลาอีกไม่นาน

สวัสดีครับ,

เริ่มต้นปีได้ไม่ทันใดก็มีข่าว shock โลกเมื่อธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB: Swiss National Bank) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ตัดสินใจยกเลิกเพดานการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนฟรังก์สวิสที่ใช้มากว่า 3 ปี ที่กำหนดไว้ที่ 1.20 ฟรังก์สวิส ต่อ 1 ยูโร พร้อมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกจาก -0.25% เป็น -0.75% (แปลว่าฝากเงินต้องเสียค่าธรรมเนียม) ซึ่งหลังจากประกาศค่าเงินฟรังก์สวิสก็แข็งค่าทันทีถึง 41% เทียบกับค่าเงินยูโร และแข็งค่ามากกว่า 15% เทียบกับอีก 150 สกุลเงินทั่วโลก (ข้อมูลโดย Bloomberg) ถึงขนาดที่ Roger Federer นักเทนนิสที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์โลกชาวสวิสฯ และเป็นมือ 2 ของโลกในปัจจุบัน ต้องออกมากล่าวว่า “แบบนี้ผมก็ยิ่งต้องชนะมากขึ้นนะสิ (ถ้ายังอยากได้เงินรางวัลเท่าเดิม)” เพราะเวลา Federer เดินสายแข่งทั่วโลกเค้าได้เงินรางวัลเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นๆ หรือดอลลาร์สหรัฐฯ เวลาแลกกลับเป็นฟรังก์สวิสซึ่งเป็นสกุลเงินบ้านเกิดจะต้องใช้เงินมากขึ้น



ผมเชื่อว่านัยที่ SNB ต้องการจะสื่อถึงก็คือ เค้าไม่ต้องการเอาค่าเงินของเค้าไปเสี่ยงกับค่าเงินยูโรอีกต่อไป ด้วยเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรที่มีความไม่แน่นอนสูง ในขณะที่เศรษฐกิจของสวิสเซอร์แลนด์นั้นแข็งแกร่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กอปรกับถ้าเกิดธนาคารกลางยุโรป (ECB: European Central Bank) ออก QE ชุดใหญ่ในการประชุมวันที่ 22 ม.ค.นี้ขึ้นมา SNB จะยิ่งต้องใช้เงินทุนสำรองจำนวนมากในการสู้เพื่อรักษาระดับค่าเงินไว้ที่ 1.20 ฟรังก์สวิส ต่อ 1 ยูโร (เพราะนักเก็งกำไรค่าเงินจะต้องยิ่งขายยูโรซื้อฟรังก์สวิสอย่างหนัก) ฉะนั้นรีบยกเลิกก่อนดีกว่า (ขืนถ้าสู้ SNB จะต้องซื้อยูโรแล้วขายฟรังก์สวิสสวน แล้วเกิด ECB ออก QE จริง ค่าเงินยูโรก็จะยิ่งอ่อน ทำให้ SNB ยิ่งขาดทุนหนักจากเงินยูโรที่มีในพอร์ต)
  
ความจริงแม้ว่าผลกระทบของ QE จากยุโรป (ถ้าออก) จะมีผลมากต่อค่าเงินยูโร แต่อาจจะมีผลจำกัดต่อตลาดหุ้นก็เป็นได้ครับ ECB อาจใช้วิธีให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศในกลุ่มยูโร (NCBs: National Central Banks) ช่วยซื้อตราสารหนี้ของประเทศตัวเอง แทนที่ ECB จะเป็นผู้ซื้อเองทั้งหมด (ด้วยความต่างของขนาดเศรษฐกิจ กฎเกณฑ์ และนโยบายต่างๆ) ซึ่งการซื้อตรงนี้สุดท้ายแล้วก็เพื่อเป็นการส่งผ่านให้ธนาคารปล่อยกู้ได้มากขึ้น ให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ประชาชนมีความคาดหวังว่าสินค้าจะมีราคาสูงขึ้น จึงเกิดการใช้จ่ายมากขึ้น และต่อเนื่องไปถึงสินทรัพย์ทางการเงินที่อาจมีราคาสูงขึ้น แต่ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่ผมต้องเรียนให้ทราบก็คือ สินทรัพย์ทางการเงินของคนในกลุ่มยูโรคิดเป็น 49% ของความมั่งคั่งสุทธิเท่านั้น ในขณะที่ของอเมริกาและอังกฤษจะมากถึง 82% และ 62% ตามลำดับ (ข้อมูลจาก Forbes) จึงอาจสรุปได้ว่าจากลักษณะการทำ QE ดังกล่าวกอปรกับลักษณะเชิงโครงสร้างของประชากรในกลุ่มยูโร ความมีประสิทธิภาพของ QE ฝั่งยุโรปน่าจะน้อยกว่า QE ฝั่งอเมริกาหรืออังกฤษอย่างเห็นได้ชัดครับ
  
กลับมาพูดถึงตลาดหุ้นไทยซักนิด เมื่อสัปดาห์ก่อนทีมนักวิเคราะห์ของบัวหลวงเราเพิ่งจะหั่นเป้าดัชนี SET ปีนี้ลงไปเหลือ 1670 จากการปรับประมาณการ GDP และกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆ มองว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะโตเท่าไหร่ด้วยครับ เช่น หากคิดว่าจะโตเพียง 10% ด้วยระดับ forward PE ปี 15 ที่ 16 เท่า เป้าดัชนี SET ก็จะเหลือเพียง 1589 เท่านั้น ในขณะที่ Flow จากนักลงทุนต่างชาติก็เป็นขายหุ้นไทยสุทธิแทบทุกวัน หลงจ้งนับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 20 ม.ค. ก็ร่วม 2 หมื่นล้านบาทเข้าไปแล้ว แต่แปลกตรงที่เค้ายัง net long SET50 Futures อยู่ 7,955 สัญญา ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ผมเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะยังซื้อขายอยู่ในกรอบแถวนี้ไปซักพัก แต่ความผันผวนน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากนั้นไม่นานก็น่าจะถึงเวลาที่จะต้องเลือกข้างซักที



Wednesday, January 7, 2015

2014 สะท้านถึง 2015

สวัสดีปีใหม่ครับ,

เราเริ่มปีนี้กันด้วยข่าวเดิมๆ ก็คือเรื่องราคาน้ำมันที่ลงทะลุอเวจีไม่มีหยุดยั้ง แต่เป็นที่น่าสนใจครับว่า ในขณะที่ราคาน้ำมันทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่หุ้นพลังงานตัวหลักในบ้านเราอย่าง PTT และ PTTEP กลับไม่ได้ทำจุดต่ำสุดตาม (ราคา ณ เช้าวันที่ 7 ม.ค.) ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มคุ้นชินกับราคาน้ำมันที่มันลงแบบ non-stop ซะแล้ว บางทีถ้าน้ำมันลงไปมากกว่านี้นักลงทุนอาจจะเฉยๆ ชิลๆ ร้องแล้วไงละ แต่ถ้ามันเด้งเมื่อไหร่ตลาดหุ้นไทยอาจมีเฮก็เป็นได้ครับ



ถัดมา ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ เพราะผมได้เขียนสรุปภาพรวมสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องค่าเงินสกุลหลักๆ นำมาฝากทุกท่านครับ
  
เริ่มที่ค่าเงินดอลลาร์ จากรูปจะเห็นว่า Dollar index (ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ถ่วงด้วยตะกร้าเงิน 6 สกุลหลัก ได้แก่ ยูโร เยน ปอนด์ ดอลล์แคนาดา โครนาสวีเดน และฟรังก์สวิส) แข็งเป๊กครับ สะท้อนถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาที่ดีขึ้นเป็นลำดับ (แทบจะ decouple จากประเทศอื่นๆ เลยก็ว่าได้) แต่คงต้องมาดูกันอีกทีว่าที่ดี มันดีเพราะยาแรงในช่วงที่ผ่านมารึเปล่า แล้วพอหมดยาแรง มันจะเหี่ยวหรือไม่? แต่นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันอ่อนทะลุทรวงในช่วงที่ผ่านมาครับ



ต่อที่ค่าเงินยูโรที่อ่อนยวบ เป็นผลจากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในยูโรโซนจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงต่อเนื่อง แถมประเด็นเรื่องกรีซจะออกไม่ออกจากยูโรโซนยังโดนเอากลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง (ซึ่งหุ้นกรีซก็โดนจัดหนักจริงในช่วงที่ผ่านมา) และ ECB ที่อาจต้องประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินอย่าง QE (ทั้งที่จริงๆ ไม่ค่อยอยากใช้) ในการประชุมช่วงปลายเดือนนี้

ส่วนค่าเงินเยนก็อ่อนเทียบดอลลาร์แบบนี้มาซักพักละครับ เป็นผลจาก Abenomics ลูกศรดอกที่ 2 ที่เพิ่มปริมาณเงินมหาศาลในระบบควบคู่ไปกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำต้องการให้เงินเฟ้อทะลุ 2% ให้จงได้  (ศรดอกแรกคือเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ศรดอกที่สามคือ ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ)
  
ส่วนค่าเงินบาทเรา (ไม่มีรูปให้ดู) ที่ดูเหมือนจะทรงๆ อ่อนนิดๆ มาตลอด แต่จริงๆ เราแข็งมากนะครับ เพราะถ้าเทียบกับดอลลาร์ตลอดทั้งปี 2014 ค่าเงินบาทเราอ่อนเพียง 0.5% เท่านั้น (เจ๋งสุดในอาเซียนแล้ว) แปลว่าช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมาที่เงินดอลลาร์แข็งโป๊กนั้น ค่าเงินบาทเราก็แข็งไปกับเค้าด้วยนั่นละ ตัวเลขส่งออกไทยก็เลยเป๋อย่างที่เห็น
  
ในขณะที่ทอง (บางช่วงก็ถูกมองว่าเป็น Safe haven บางช่วงก็เป็น Risky asset) แท้จริงก็เปรียบได้เหมือนเงินสกุลหนึ่งของโลกนั่นละครับ จากรูปจะเห็นว่ามันอ่อนยั่วเยี้ยมาพักใหญ่ละ และยิ่งในช่วงนี้ที่เป็นยุคดอลลาร์แข็งโฮก ยิ่งน่าจะยากที่ทองจะกลับมาเป็นขาขึ้นยาวๆ แบบเก่า และผมต้องบอกว่า QE จากอเมริกานี่แข็งแกร่งที่สุดละครับ Impact QE จากที่อื่นอย่างไรก็ไม่น่าจะมีผลเท่า (เป็นเพราะจุดประสงค์ในการออกมันต่างกันตั้งแต่ต้น) เพราะงั้นพอหมด QE เมกา ทองมันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนั่นแล
  
เรื่องสุดท้ายที่เป็นประเด็นเสียวในช่วงที่ผ่านคงหนีไม่พ้นเรื่องค่าเงินรูเบิลของรัสเซียครับ จริงๆ จะเรียกว่าพังเละเทะเลยก็ว่าได้ (ผมถึงกับต้องแยกกราฟมาให้ดูเลยทีเดียว) สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะประเทศเค้ามีรายได้จากน้ำมันเยอะ (ส่งออกน้ำมันเป็นอันดับ 2 ของโลก) พอน้ำมันลงแรง รายได้ก็หด แล้วมันก็สะท้านทรวงแบบนี้แหละ แถมปีนี้รัสเซียมีครบกำหนดชำระหนี้กับหลายประเทศในยุโรปเยอะอีก ทุนสำรองมีเท่าไหร่คงต้องโกยมากองให้พร้อมละครับ เพราะค่าเงินเค้าอ่อนไปกว่าเท่าตัวจากต้นปี 2014 เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ แปลว่าก็ต้องใช้เงินเยอะขึ้นในการชำระหนี้ด้วย



สรุป จะเห็นว่าในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ท้าทายพอสมควรครับ และผมเชื่อว่าปีนี้ก็จะท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะงั้นผมขอปิดท้ายด้วยการแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบเข้าใจง่ายเป็นภาษาอังกฤษที่ว่า Investing only in stuffs that you truly understand and trying not to get rich quick would be the key to me for this year. Cheers.