สวัสดีครับ,
ช่วงวันหยุดยาว ผมชอบอ่านหนังสือและท่องเน็ตหาข้อมูลต่างๆ ไปเรื่อย แล้วก็เหลือบไปเห็นกราฟหุ้นญี่ปุ่นช่วงสิ้นปี 1989 ครับ ที่ดัชนี Nikkei ขึ้นไปถึง 39,000 จุด ดูแล้วก็ทำให้คิดถึงดัชนี SET บ้านเราในบางมุม
ช่วงนั้นค่า PE ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากกว่า 50 เท่า แต่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็แย้งว่ายังไม่แพง โดยให้เหตุผลว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น "ไม่เหมือนที่อื่น" เพราะหุ้นส่วนใหญ่ถือโดยนักลงทุนสถาบันหรือบริษัท ซึ่งคงไม่ขาย (ปัจจุบันหุ้นไทยก็ถือโดยสถาบันในประเทศ และบริษัทประกันเยอะ ซึ่งหลายท่านก็เชื่อว่าคงไม่ขายหนักเช่นกัน เพราะแนวทางการลงทุนที่เป็นแบบ VI) เหนือสิ่งอื่นใดอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นตอนนั้นต่ำมาก เพียง 1-2% ต่อปีเท่านั้น (ไทยเราตอนนี้ก็ 1.50% ครับ และก็มักจะมีคำกล่าวที่บอกว่า หุ้นยังไงก็ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ก็ดอกเบี้ยมันต่ำซะขนาดนี้ จะให้ไปลงทุนอะไรละ!?) ดังนั้นการลงทุนในหุ้น PE 50 เท่าไม่ถือว่าแพง เพราะมีผลตอบแทนกำไรปีละ 2% เท่าๆ กัน (ไทยเราดีกว่า PE ปัจจุบัน 21 เท่า, ปันผล 2.86%)
แต่นั่นเป็นจุดจบของตลาดหุ้นญี่ปุ่นครับ เพียงไม่ถึงหนึ่งปีทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่น ทั้งราคาที่ดินลงเละ ซึ่งจากกราฟจะเห็นว่า "นรกอเวจี" มีจริง (บนดินนี่ละครับ) โดยมันไปสิ้นสุดที่ปี 2003 ที่ดัชนี Nikkei ลงไปถึง 8,000 จุด รวมแล้วลดลงประมาณ 80% จากยอดเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ "ทศวรรษที่หายไป" ของประเทศญี่ปุ่น
สาเหตุนั้นมีงานวิจัยหลายที่ให้ไว้ครับ แต่ข้อสรุปก็คือเป็นเพราะการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ยืดเยื้อยาวนานเกินไป ซึ่งความจริงแล้ว BoJ ได้ส่งสัญญาณจะ Tightening Monetary policy ตั้งแต่ปี 1987 แล้ว เพราะเศรษฐกิจเริ่มขยายตัว แต่ก็ได้ยืดออกไป ยืดออกไป เพราะความไม่แน่นอนต่างๆ (ส่วนหนึ่งเพราะผลจากค่าเงินเยนที่แข็งขึ้นหลังจากเหตุการณ์ Plaza Accord ในปี 1985 ด้วย) ตรงนี้ละครับเลยทำให้ราคา Asset รวมถึงหุ้น มันปูดขึ้นเรื่อยๆ ปูดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นฟองสบู่ เพราะนักลงทุนเชื่อมั่นเหลือเกินว่ายังไง BoJ ก็จะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป (คล้ายๆ กับ Fed ในยุคนี้ไหมครับ? ยืดเอาๆ) ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าราคาหุ้นหรือ Asset นั้นมันเข้าสู่จุด "New Normal" แล้ว จะเอาไปเปรียบเทียบกับในอดีตหรือที่อื่นไม่ได้ แต่แล้วในที่สุดมันก็แตกโพละ
จนถึงบรรทัดนี้ผมไม่อยากจะเขียนต่อละครับ (เดี๋ยวจะยาวไปละไม่มีคนอ่าน อิอิ) ข้อสรุปของผมก็คือ ความมั่นใจที่มากเกินไปของคนส่วนใหญ่นิละที่น่ากลัว ความจริงผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นไทยในตอนนี้จะเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นญี่ปุ่นในตอนนั้นได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็ชอบศึกษาประวัติศาสตร์และนำมาคิดต่อครับ เพราะถึงมันจะไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่ก็พอจะมีเค้าลางอยู่บ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่า แม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำติดดินยังไง แต่หุ้นก็ยังลงเละได้ แต่นั่นก็อาจจะเอามาใช้กับยุคนี้ไม่ได้นะครับ เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างมัน "ไม่เหมือนกัน"