Wednesday, May 20, 2015

ทรงยังดี

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นไทยกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนอีกครั้ง โดยรอบนี้มาพร้อมกับ 2 สัญญาณทางเทคนิค คือ 1. Positive divergence และ 2. Double bottom พอเห็นแบบนี้แล้วเลยพอจะเดาได้ครับว่าดัชนี SET น่าจะมี downside ในรอบนี้แถวๆ 1480 จุด ซึ่งเป็น low ที่ได้ทำไว้เมื่อ 12 พฤษภาคม ในขณะที่ upside ระยะสั้นน่าจะอยู่แถว 1540 ซึ่งเป็น Gap ที่เปิดไว้เมื่อ 16 เมษายน



ในมุมของตราสารอนุพันธ์ จะเห็นว่าในช่วงนี้เจ้า SET50 futures ตัวล่าสุดเทรด discount ดัชนี SET50 อยู่เพียงไม่กี่จุด หรือบางครั้งก็ขึ้นมาเป็น premium ด้วยซ้ำ แบบนี้มองมุมหนึ่งก็สบายใจได้เปราะหนึ่งครับว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าตลาดไม่ได้เป็นขาลง (เพราะโดยปกติแล้ว SET50 futures จะ discount ดัชนี SET50 อยู่ถึง 5-7 จุด)

ทีนี้ในแง่ของผลประกอบการ ก็ทราบกันไปแล้วครับว่าไตรมาสหนึ่งปีนี้กำไรของบริษัทจดทะเบียนโต 2%YoY และ 235%QoQ ซึ่งรวมๆ แล้วก็ถือว่าดีกว่าคาดนะครับ แต่หลักๆ ก็เป็นเพราะจากฐานที่ต่ำนั่นละ แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่กำไรผิดคาดไปถึง 38.8% รอบนี้ที่ดีกว่าคาดที่ 6.5% ก็ถือว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยกลับมาอยู่ในระดับที่ใช้ได้นะ โดยทีมวิเคราะห์ของบัวหลวงเราก็ยังคงเป้า SET สิ้นปีที่ 1670 อิง PE ที่ 16.5x และกำไรปี 2015 โดยระยะสั้นคีย์สำคัญที่จะผลักดันดัชนีให้ไปต่อคงขึ้นกับความชัดเจนของโครงการภาครัฐครับ


Wednesday, May 6, 2015

สนามประลองยุทธ์

สวัสดีครับ,

ชาร์จพลังไปเต็มที่หลังจากหยุดยาว 5 วันเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือน กลับมาสู้กันต่อครับ โดยช่วงนี้บอกเลยว่าตลาดหุ้นไทยเปรียบเสมือนสนามประลองยุทธ์ของระหว่างมุมแดงซึ่งก็คือหุ้นในกลุ่มพลังงาน (สัดส่วน 1/5 ของ SET market cap) และมุมน้ำเงินซึ่งก็คือหุ้นในกลุ่มธนาคาร (สัดส่วน 1/6 ของ SET market cap) ใครจะชนะยังไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือตลาดหุ้นไทยคงไม่ลงแรงง่ายๆ แน่หากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับนี้ (Brent 68 เหรียญต่อบาร์เรล) และคงไม่ขึ้นง่ายๆ จนกว่าจะเห็นแนวโน้มโครงการลงทุนภาครัฐที่ชัดเจนที่จะช่วยส่งผลดีต่อภาพรวมโดยเฉพาะหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ยังไงลองจับตาดู GDP ไตรมาส 1 ปีนี้ที่จะประกาศในวันที่ 18 พ.ค.นี้ประกอบด้วยก็ดีครับ



เอาละ ปลีกหนีจากสภาพตลาดที่ทำนายยาก มาดูรูปที่สีสันสวยงามกันครับ ช่องบนที่มีเส้นสีขาวและสีเหลืองหมายถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและของสหรัฐฯ ตามลำดับ จะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ล่าสุดเหลือ 1.50% นั้นคือระดับที่เกือบต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ (เคยต่ำสุดที่ 1.25%) และต่ำที่สุดในอาเซียนตอนนี้แล้ว แปลว่าโอกาสที่ดอกเบี้ยจะลงกว่านี้ถ้ามีก็เหลือไม่มากแล้วครับ กอปรกับที่ล่าสุดท่านรัฐมนตรีคลังฯ สมหมาย ภาษี ได้ออกมายืนยันว่าระดับอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% นั้นเหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันแล้ว เพราะงั้นผมก็เชื่อว่าเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในเชิงนโยบายการเงินนั้นน่าจะเหลือไม่มากละ ที่เหลือก็คือปล่อยให้มันทำงานไปแล้วรอดูผลลัพธ์ แต่ที่น่ากังวลก็คือเมื่อใดก็ตามที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย (หลังจากคงไว้ที่ระดับเกือบศูนย์มา 6 ปีกว่า) นั่นจะทำให้ gap ระหว่างดอกเบี้ยไทยกับดอกเบี้ยสหรัฐฯ แคบลงไปอีก นั่นหมายถึงเงินที่จะไหลเข้ามาตลาดการเงินในประเทศเรานั้นมีแต่จะน้อยลง

ผลกระทบแน่นอนครับ ถ้าเงินไม่เข้า ก็คือออก แล้วก็น่าจะยิ่งออกมากขึ้นเพราะแบงค์ชาติเองเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ได้ผ่อนคลายมาตรการทุนเคลื่อนย้ายให้คนในประเทศสามารถนำเงินออกนอกประเทศได้มากขึ้น (ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนถึง 2.2% นับจากการประชุมกนง.เมื่อสัปดาห์ก่อน) ตรงนี้มองในมุมหนึ่งก็คือเป็นการช่วยเศรษฐกิจไทยในระยะกลาง-ยาว เพราะการที่ค่าเงินบาทอ่อน จะช่วยส่งออก (65% ของ GDP) ท่องเที่ยว (10% ของ GDP) และแก้ปัญหาเงินฝืดได้ (3 เรื่องที่รุมเร้าเศรษฐกิจไทยอยู่ในขณะนี้) แต่ในระยะสั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าค่าเงินบาทที่อ่อนจะเหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าเงินกำลังไหลออกนอกประเทศนะ และอาจทำให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินออกจากตลาดหุ้นไทยไปด้วยได้ แต่ก็อย่าได้กังวลมากไปครับ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ค่าเงินบาทอ่อนได้ที่และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยจริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกครั้งอย่างแน่นอน

Saturday, May 2, 2015

ดอกเบี้ยต่ำ ค้ำจุนหุ้น ?

สวัสดีครับ,

ช่วงวันหยุดยาว ผมชอบอ่านหนังสือและท่องเน็ตหาข้อมูลต่างๆ ไปเรื่อย แล้วก็เหลือบไปเห็นกราฟหุ้นญี่ปุ่นช่วงสิ้นปี 1989 ครับ ที่ดัชนี Nikkei ขึ้นไปถึง 39,000 จุด ดูแล้วก็ทำให้คิดถึงดัชนี SET บ้านเราในบางมุม








































ช่วงนั้นค่า PE ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากกว่า 50 เท่า แต่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็แย้งว่ายังไม่แพง โดยให้เหตุผลว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น "ไม่เหมือนที่อื่น" เพราะหุ้นส่วนใหญ่ถือโดยนักลงทุนสถาบันหรือบริษัท ซึ่งคงไม่ขาย (ปัจจุบันหุ้นไทยก็ถือโดยสถาบันในประเทศ และบริษัทประกันเยอะ ซึ่งหลายท่านก็เชื่อว่าคงไม่ขายหนักเช่นกัน เพราะแนวทางการลงทุนที่เป็นแบบ VI) เหนือสิ่งอื่นใดอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นตอนนั้นต่ำมาก เพียง 1-2% ต่อปีเท่านั้น (ไทยเราตอนนี้ก็ 1.50% ครับ และก็มักจะมีคำกล่าวที่บอกว่า หุ้นยังไงก็ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ก็ดอกเบี้ยมันต่ำซะขนาดนี้ จะให้ไปลงทุนอะไรละ!?) ดังนั้นการลงทุนในหุ้น PE 50 เท่าไม่ถือว่าแพง เพราะมีผลตอบแทนกำไรปีละ 2% เท่าๆ กัน (ไทยเราดีกว่า PE ปัจจุบัน 21 เท่า, ปันผล 2.86%)

แต่นั่นเป็นจุดจบของตลาดหุ้นญี่ปุ่นครับ เพียงไม่ถึงหนึ่งปีทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่น ทั้งราคาที่ดินลงเละ ซึ่งจากกราฟจะเห็นว่า "นรกอเวจี" มีจริง (บนดินนี่ละครับ) โดยมันไปสิ้นสุดที่ปี 2003 ที่ดัชนี Nikkei ลงไปถึง 8,000 จุด รวมแล้วลดลงประมาณ 80% จากยอดเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ "ทศวรรษที่หายไป" ของประเทศญี่ปุ่น

สาเหตุนั้นมีงานวิจัยหลายที่ให้ไว้ครับ แต่ข้อสรุปก็คือเป็นเพราะการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ยืดเยื้อยาวนานเกินไป ซึ่งความจริงแล้ว BoJ ได้ส่งสัญญาณจะ Tightening Monetary policy ตั้งแต่ปี 1987 แล้ว เพราะเศรษฐกิจเริ่มขยายตัว แต่ก็ได้ยืดออกไป ยืดออกไป เพราะความไม่แน่นอนต่างๆ (ส่วนหนึ่งเพราะผลจากค่าเงินเยนที่แข็งขึ้นหลังจากเหตุการณ์ Plaza Accord ในปี 1985 ด้วย) ตรงนี้ละครับเลยทำให้ราคา Asset รวมถึงหุ้น มันปูดขึ้นเรื่อยๆ ปูดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นฟองสบู่ เพราะนักลงทุนเชื่อมั่นเหลือเกินว่ายังไง BoJ ก็จะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป (คล้ายๆ กับ Fed ในยุคนี้ไหมครับ? ยืดเอาๆ) ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าราคาหุ้นหรือ Asset นั้นมันเข้าสู่จุด "New Normal" แล้ว จะเอาไปเปรียบเทียบกับในอดีตหรือที่อื่นไม่ได้ แต่แล้วในที่สุดมันก็แตกโพละ

จนถึงบรรทัดนี้ผมไม่อยากจะเขียนต่อละครับ (เดี๋ยวจะยาวไปละไม่มีคนอ่าน อิอิ) ข้อสรุปของผมก็คือ ความมั่นใจที่มากเกินไปของคนส่วนใหญ่นิละที่น่ากลัว ความจริงผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นไทยในตอนนี้จะเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นญี่ปุ่นในตอนนั้นได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็ชอบศึกษาประวัติศาสตร์และนำมาคิดต่อครับ เพราะถึงมันจะไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่ก็พอจะมีเค้าลางอยู่บ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่า แม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำติดดินยังไง แต่หุ้นก็ยังลงเละได้ แต่นั่นก็อาจจะเอามาใช้กับยุคนี้ไม่ได้นะครับ เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างมัน "ไม่เหมือนกัน"