Wednesday, July 22, 2015

หมดยุคซิ่งกระดิ่งแมว

สวัสดีครับ,

ผ่านไป 2 สัปดาห์หลังจากที่บทความ “เสียวสันหลัง” ได้ออกไป ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่จะปิดสิ้นเดือนนี้ด้วยระดับที่ต่ำกว่า 1475 ซึ่งเป็นเส้นแนวรับใหญ่ที่ลากมาตั้งแต่ปลายปี 2008 ทำให้ภาพตลาดจากนี้น่าจะเป็นลักษณะวิ่งออกด้านข้างซึมๆ หงอยๆ ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ลดลง กอปรกับแนวโน้มค่าเงินบาทที่ดูอ่อนค่าต่อเนื่อง (ล่าสุด 34.6 ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงลดน้ำหนักหุ้นไทยด้วยเหตุผลที่ว่า เค้าอาจขาดทุนจากค่าเงิน (เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้นในการแลกเงินกลับไป) 



ที่น่าสนใจก็คือหากดูข้อมูลจาก Bloomberg ด้านล่างจะพบครับว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินฝรั่งไหลไปเข้าตลาดอินเดียกับไต้หวันมากที่สุด ในขณะที่ขายญี่ปุ่นค่อนข้างหนัก ซึ่งดูแนวโน้มแล้ว อินเดียดูเหมือนว่าจะเป็นที่รักของฝรั่งมากนะครับเพราะตัวเลขเป็นซื้อสุทธิแทบจะทุกช่วงตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่พี่ไทยดูเหมือนจะถูกทิ้ง (ชั่วคราว?) เพราะเป็นประเทศเดียวที่ฝรั่งขายสุทธิมาตลอด ตรงนี้ก็ชัดเจนครับว่ามันสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอของเรา หลายสำนักเศรษฐกิจมีการปรับตัวเลขประมาณการ GDP ลงหลายครั้ง จนล่าสุดมีข่าวว่าท่านนายกฯ จะปรับทีมเศรษฐกิจใหม่และเร่งโครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 


อย่างไรก็ดี นี่ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีครับ ที่เราจะได้มีเวลามาศึกษากันให้ลึกขึ้นถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและผลประกอบการ เพราะจากนี้ไปผมเชื่อว่าหุ้นซิ่งกระดิ่งแมวที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานดีมาสนับสนุนคงจะยากที่จะขึ้นได้ฉวัดเฉวียนเหมือนเมื่อก่อน (ลองดูรูป PE ของดัชนี MAI เทียบกับ SET ประกอบ) หุ้นที่ผลประกอบการออกมาดีและมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง คงจะ outperform ตลาดได้ในช่วงนี้ เพราะตลาดไทย efficient ขึ้น โดยมีเจ้ามือที่แท้จริงก็คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียนนั่นละครับ



Wednesday, July 8, 2015

เสียวสันหลัง

สวัสดีครับ,

ต้องยอมรับครับว่าตลาดหุ้นทั่วโลกได้เข้าสู่ risk-off mode เป็นที่เรียบร้อย โดยประเด็นที่เป็นกังวลกันก็หนีไม่พ้นเรื่องปัญหาหนี้กรีซ และฟองสบู่ในตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้ทั้งนั้นความกลัวได้สะท้อนมาถึงตลาดหุ้นไทยในรูปของความห่างระหว่างดัชนี SET50 futures กับ SET50 Index ที่เราเรียกว่าค่า basis ด้วยครับ ซึ่งหากดูราคาปิดเมื่อวานจะพบว่าดัชนี SET50 futures ซีรีย์ U มีราคาน้อยกว่า SET50 Index อยู่ถึง 18.93 จุด (เทียบกับในทางทฤษฎีที่ควรห่างเพียงประมาณ 7-8 จุด) ซึ่งถือว่ามากผิดปกติ โดยในวันนี้เปิดตลาดเช้ามาช่วงความห่างก็ยังคงอยู่ที่ระดับนั้น แปลว่าเราต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้นนะครับ



ถ้ายังจำกันได้ในบทความเมื่อเดือนก่อน ผมได้บอกถึงจุดชี้เป็นชี้ตายของตลาดหุ้นไทยในเชิงเทคนิคไปว่าอยู่ที่ 1460 ซึ่งเป็นเส้นแนวรับสำคัญสำหรับภาพระยะกลาง เพราะใช้เส้นลากยาวตั้งแต่ปี 2008  ..ผ่านไป 3 สัปดาห์ จุดชี้เป็นชี้ตายนี้ได้ถูกปรับขึ้นมาเป็น 1475 ครับ แต่นัยตรงนี้ไม่ได้แปลว่าหาก SET Index หลุดระดับ1475 ลงไประหว่างวันแล้วจะจบข่าวนะครับ การแกว่งหลุดระหว่างวันเกิดขึ้นได้หากดัชนีกลับมาปิดสิ้นวัน สิ้นสัปดาห์ หรือสิ้นเดือนได้เกิน 1475 ซึ่งนั่นแปลว่าภาพใหญ่จะยังไม่เปลี่ยน แนวโน้มขาขึ้นในกรอบนี้จะยังคงดำเนินต่อไป และจุด 1475 จะกลายเป็นจุดซื้อที่สำคัญสำหรับนักลงทุนผู้ใจกล้าด้วยครับ



อย่างไรก็ดีมี 2 สัญญาณเตือนในภาพใหญ่ที่น่าติดตามครับ สัญญาณแรกได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว นั่นคือ Negative Divergence (เส้นสีชมพู) ระหว่างดัชนี SET กับ RSI Indicator ซึ่งมันได้บอกเราว่าการขึ้นรอบก่อนนั้นเป็นของปลอม ดัชนีจะไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ซึ่งดัชนีก็ได้ปรับตัวลงมาจริงๆ ส่วนสัญญาณที่ 2 คือการไม่เกิดสัญญาณครับ นัยหมายถึงการที่ทั้งดัชนี SET และ RSI Indicator ทำ lower high เหมือนกัน แปลว่าการลงรอบนี้มีเสียวสันหลังแล้วละ จุดที่วัดกันก็คือจุด 1475 นั่นละครับ หากสิ้นเดือนนี้ยังปิดเหนือกว่าได้ ก็ยังไม่มีอะไรต้องกังวล

สุดท้าย อยากให้จับตาดูค่าเงินบาทเทียบ USD ไว้หน่อยครับ เพราะเฮียแกกำลังทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 6 ปี และกราฟกำลังฟอร์มตัวสวยเชียว แปลว่าโอกาสอ่อนต่อมีสูง ยังไงลองพิจารณาประกอบถึงบริษัทที่ได้รับผลดีผลเสียจากตรงนี้ด้วยนะครับ พึ่งระลึกไว้เสมอว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส แล้วชีวิตการลงทุนท่านจะได้สบายๆ ชิลๆ มากขึ้น โชคดีครับ