Wednesday, February 24, 2016

วิลิศมาหรา

สวัสดีครับ,

หากจำกันได้ในบทความครั้งก่อนผมได้ทำนายเล่นๆ ไว้ครับว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยในไม่ช้าจากสัญญาณที่เห็นเค้า long สุทธิใน SET50 futures ค่อนข้างเยอะ และค่าเงินบาทที่แข็งมาค่อนข้างดีจากต้นปี และแล้วเค้าก็กลับมาจริงๆ ครับ โดยฝรั่งกลับมาเป็นซื้อสุทธิถึง 6 วันติด (นับจนถึงวันที่ 23 ก.พ.) เป็นยอดรวม 7.1 พันล้านบาท ถามว่าตัวเลขนี้เยอะมั้ย? ก็ยังไม่ได้เยอะมาก แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่เค้ากลับมาแบบนี้ครับ


ทีนี้ถามว่าแล้วยังไงต่อ? ฝรั่งกลับมาแล้วแล้วยังไง? หุ้นไทยจะบินได้ไหม? คือก็ตอบยากครับ แต่ผมอยากให้เห็นภาพเดียวกันแบบนี้ก่อนว่าฝรั่งได้ขายสุทธิหุ้นไทยมาตลอด ซึ่งหากดูตั้งแต่ต้นปี 2013 จนถึงปัจจุบันเค้าได้ขายหุ้นสุทธิไทยเกือบ 4 แสนล้านบาท ซึ่งนับว่าเยอะนะครับหากเทียบกับมูลค่าที่เค้าถืออยู่ (ไม่นับที่เป็น strategic holdings) ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิมาตลอด ประเด็นของผมก็คือว่า ฝรั่งอาจจะไม่ได้เป็นตัวจี๊ดที่เราจะพูดเหมือนเมื่อก่อนได้แล้วครับว่า ถ้าฝรั่งซื้อ หุ้นไทยจะขึ้น คำพูดที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบันน่าจะเป็น ถ้านักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อ หุ้นไทยจะ resilient” มากกว่า เพราะขนาดฝรั่งขายหนักขนาดนั้น SET Index ยังติดลบเพียง 5.8% นับจากต้นปี 2013 เท่านั้นครับ 

                 

มาถึงบรรทัดนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่าแล้วตกลงจะเอาอย่างไร? ฝรั่งกลับมาซื้อสุทธิเนี่ยจะให้ดีใจหรือเสียใจกันแน่? ผมอยากให้ตีความอย่างนี้ครับ คือถ้าฝรั่งซื้อและนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อด้วย อันนี้คือ best case แปลว่า flows กลับมา แถมนักลงทุนผู้ support ตลาดหุ้นไทยมาตลอดยังคง support ต่อไป แสดงว่าดีจริง แต่ถ้าฝรั่งซื้อแล้วนักลงทุนสถาบันในประเทศกลับมาขาย อันนี้อาจจะ neutral เพราะแม้ flows จะกลับมา แต่นักลงทุนสถาบันในประเทศซึ่งกลายเป็นผู้มีบทบาทสูงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากลับมาขาย ทำให้ต้องระวัง ทั้งนี้จากสัญญาณที่เห็นในปัจจุบันคือฝรั่งเริ่มกลับมาซื้อสุทธิ และนักลงทุนสถาบันในประเทศก็ไม่ได้ขายสุทธิหนักอะไรครับ


ท้ายสุด (อันนี้แถม) บางทีเราอาจจะสนใจแต่หุ้นจนลืมไปว่ามีอีกหลายสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้และผลตอบแทนก็ไม่ขี้เหร่อย่างเช่น ทอง เงิน แพลทินัม หรือแม้แต่ค่าเงินเยน ที่ผลตอบแทน YTD นิวิลิศมาหรามาก... ก็ลองดูนะ โชคดีครับผม


Wednesday, February 10, 2016

ฝรั่งมังค่ากลับมาได้รึเปล่า

สวัสดีครับ,

ปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายเพราะตั้งแต่เปิดต้นปีมาค่าเงินบาทก็แข็งค่ามาเรื่อยๆ โดยล่าสุดแข็งเป็นอันดับ 3 ในเอเซีย รองจากริงกิตของมาเลเซียและเยนของญี่ปุ่น เรื่องของค่าเงินเยนนั้นผมอยากให้มองแยกออกไปครับเพราะค่าเงินนี้ถูกจัดเป็นเหมือน safe haven แต่พอลองมาดูอันดับ 2-5 จะเห็นว่าค่าเงินเหล่านั้นเป็นของภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด ไม่แน่นี่อาจเป็นสัญญาณบอกเรากลายๆ ก็ได้นะครับว่าเงินกำลังไหลกลับเข้ามาอาเซียนหลังจากที่ทั้งตลาดหุ้นและค่าเงินในภูมิภาคนี้ underperform ทั่วโลกมานาน


ทั้งนี้ผมมีอีกรูปมาให้ดูครับ โดยดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่ดีที่สุดในโลกนับตั้งแต่ต้นปี จะเห็นว่ามีถึง 2 เจ้าจากอาเซียนซึ่งก็คือ อินโดฯ และไทยที่ติดอันดับ Top 10 (ใช้ได้เลย) โดยสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยช่วงนี้น่าจะมี downside ที่จำกัดต่อเนื่องก็เพราะเรามีกลุ่มพลังงานเป็นสัดส่วนถึง 1/5 ของ market cap โดยราคาน้ำมัน ณ ปัจจุบันน่าจะเหลือ downside ไม่มากแล้วจากการที่เราเห็นบริษัทน้ำมันต่างๆ ทั่วโลกเริ่มทยอยประกาศผลขาดทุนหนักหรือถึงขั้นปิดตัว ซึ่งตรงนี้สุดท้ายแล้วก็จะไปกดดัน supply ทำให้ปริมาณน้ำมันที่ผลิตออกมาขายมีลดลง ทำให้ราคาน้ำมันน่าจะกลับมาสู่จุดดุลยภาพได้ในไม่ช้าครับ และถ้าน้ำมันกลับมาเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่ SET Index ก็น่าจะได้รับอานิสงส์ไปบ้างไม่มากก็น้อยละ


ในอีกมุมนึงถ้าไปดูตลาดอนุพันธ์จะพบว่า นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสะสมสุทธิใน SET50 Index Futures เป็นจำนวนถึง 84,961 สัญญา นับตั้งแต่ต้นปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ขายสุทธิในตลาดหุ้นไป 1.1 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน แม้จะยังขายสุทธิในตลาดหุ้น แต่ด้วยสัญญาณที่ดีจากตลาดอนุพันธ์ และตลาดค่าเงิน เป็นไปได้ว่าฝรั่งอาจจะกลับมาซื้อสุทธิหุ้นในไม่ช้านี้ครับ สาเหตุหนึ่งก็เพราะว่าหากค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าต่อเนื่องแบบนี้ (จากความคาดหวังที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ค่อยๆ ถูกเลื่อนออกไป บ้างก็ว่าอาจถึงขั้นใช้ negative interest rate ตามญี่ปุ่นเลย กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาอ่อนค่า) การที่ฝรั่งนำเงินมาลงทุนในหุ้นไทยอาจทำให้เค้าได้กำไร 2 ต่อ คือจากหุ้นและจากค่าเงิน ด้วยเหตุนี้แล้วผมจึงคิดว่าการลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้ แม้จะมีความเสี่ยงจาก external factors มากกว่าในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็น่าจะน้อยกว่าที่การลงทุนหุ้นในภูมิภาคอื่นนะครับ