สวัสดีครับ,
ปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายเพราะตั้งแต่เปิดต้นปีมาค่าเงินบาทก็แข็งค่ามาเรื่อยๆ โดยล่าสุดแข็งเป็นอันดับ 3 ในเอเซีย รองจากริงกิตของมาเลเซียและเยนของญี่ปุ่น เรื่องของค่าเงินเยนนั้นผมอยากให้มองแยกออกไปครับเพราะค่าเงินนี้ถูกจัดเป็นเหมือน safe haven แต่พอลองมาดูอันดับ 2-5 จะเห็นว่าค่าเงินเหล่านั้นเป็นของภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด ไม่แน่นี่อาจเป็นสัญญาณบอกเรากลายๆ ก็ได้นะครับว่าเงินกำลังไหลกลับเข้ามาอาเซียนหลังจากที่ทั้งตลาดหุ้นและค่าเงินในภูมิภาคนี้ underperform ทั่วโลกมานาน
ทั้งนี้ผมมีอีกรูปมาให้ดูครับ
โดยดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่ดีที่สุดในโลกนับตั้งแต่ต้นปี จะเห็นว่ามีถึง 2
เจ้าจากอาเซียนซึ่งก็คือ อินโดฯ และไทยที่ติดอันดับ Top 10
(ใช้ได้เลย) โดยสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยช่วงนี้น่าจะมี downside
ที่จำกัดต่อเนื่องก็เพราะเรามีกลุ่มพลังงานเป็นสัดส่วนถึง
1/5 ของ market cap โดยราคาน้ำมัน ณ ปัจจุบันน่าจะเหลือ downside ไม่มากแล้วจากการที่เราเห็นบริษัทน้ำมันต่างๆ
ทั่วโลกเริ่มทยอยประกาศผลขาดทุนหนักหรือถึงขั้นปิดตัว
ซึ่งตรงนี้สุดท้ายแล้วก็จะไปกดดัน supply ทำให้ปริมาณน้ำมันที่ผลิตออกมาขายมีลดลง
ทำให้ราคาน้ำมันน่าจะกลับมาสู่จุดดุลยภาพได้ในไม่ช้าครับ และถ้าน้ำมันกลับมาเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่
SET Index ก็น่าจะได้รับอานิสงส์ไปบ้างไม่มากก็น้อยละ
ในอีกมุมนึงถ้าไปดูตลาดอนุพันธ์จะพบว่า
นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสะสมสุทธิใน SET50 Index Futures เป็นจำนวนถึง
84,961 สัญญา นับตั้งแต่ต้นปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ขายสุทธิในตลาดหุ้นไป
1.1 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน แม้จะยังขายสุทธิในตลาดหุ้น
แต่ด้วยสัญญาณที่ดีจากตลาดอนุพันธ์ และตลาดค่าเงิน
เป็นไปได้ว่าฝรั่งอาจจะกลับมาซื้อสุทธิหุ้นในไม่ช้านี้ครับ
สาเหตุหนึ่งก็เพราะว่าหากค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าต่อเนื่องแบบนี้ (จากความคาดหวังที่
Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ค่อยๆ ถูกเลื่อนออกไป บ้างก็ว่าอาจถึงขั้นใช้ negative
interest rate ตามญี่ปุ่นเลย กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาอ่อนค่า)
การที่ฝรั่งนำเงินมาลงทุนในหุ้นไทยอาจทำให้เค้าได้กำไร 2 ต่อ
คือจากหุ้นและจากค่าเงิน ด้วยเหตุนี้แล้วผมจึงคิดว่าการลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้
แม้จะมีความเสี่ยงจาก external factors มากกว่าในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็น่าจะน้อยกว่าที่การลงทุนหุ้นในภูมิภาคอื่นนะครับ
No comments:
Post a Comment