Wednesday, March 23, 2016

ตื่นเต้นที่สุด

สวัสดีครับ,

เรื่องที่ตื่นเต้นที่สุดในตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีผมคิดว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องที่พวกเราลุ้นกันว่า JAS จะสามารถหาเงินมาชำระค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz งวดแรกทันภายใน 16.30 เมื่อ 21 มี.ค.ที่ผ่านมาได้หรือไม่ ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่ทราบกันครับ ซึ่งผลกระทบนั้นเกิดในวงกว้าง ในมุมของตลาดหุ้นเองนั้น เนื่องด้วยกลุ่ม ICT คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดหุ้นไทย การที่ไม่มีผู้เล่นรายที่ 4 เข้ามาย่อมทำให้ภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมดูเบาลง ราคาหุ้น 2 ตัวที่ประมูลใบอนุญาตไม่ได้ในคราวก่อนจึงเด้งกลับค่อนข้างใช้ได้ (ลองดูผลการเด้งของกลุ่ม ICT มีผลต่อ SET Index ถึง +7.1 จุด ในวันที่ 22 มี.ค.) แต่อย่าลืมนะครับว่าสถานการณ์การแข่งขันนั้นได้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2015 แล้ว สังเกตจาก operator แต่ละรายต่างก็ทยอยออก campaign ใหม่ๆ มากมาย เพราะฉะนั้นภาพอุตสาหกรรมจากนี้ไปคงยากที่จะกลับไปเหมือนเมื่อก่อนมีการประมูลใบอนุญาต 4G แล้วละครับ


อย่างไรก็ตามหากมองภาพตลาดโดยรวมแล้วก็ต้องใช้คำว่าไม่ได้แย่เท่าใดนักครับ ดัชนี SET ย้ำไม่ไปไหนแถวๆ ใกล้ๆ 1400 มาเป็นเวลา 2 สัปดาห์แม้จะยังไม่ได้ทะลุทะลวงผ่านไปได้อย่างมีนัยสำคัญก็ตามที ในขณะที่เหลือบไปมองตัวเลขสัดส่วนการซื้อขายแล้ว เป็นที่น่าตกใจครับว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสะสมหุ้นไทยในเดือนมี.ค.เป็นยอดรวมเกือบ 1.6 หมื่นล้านบาท (นับถึง 22 มี.ค.) ซึ่งถือว่าสูงมากในรอบหลายเดือนเลยทีเดียว


ในขณะที่ด้านตลาด currency เอง ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมาก จาก 35.6 เมื่อต้นเดือนมาอยู่ที่ราว 35 บาทเทียบ USD ณ ปัจจุบัน (แข็งค่าราว 1.7%) แปลว่าเงินได้ไหลเข้ามาซื้อค่าเงินบาทด้วย ก็ต้องมาติดตามกันต่อไปครับว่าเงินต่างชาติจะไหลเข้ามาแบบนี้อีกนานแค่ไหน และพลังนี้จะช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยบินฉวัดเฉวียนขึ้นยืนเหนือ 1400 ได้อย่างงดงามได้หรือไม่ มาลุ้นกันครับ

Wednesday, March 9, 2016

ระมัดระวัง

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาขึ้นมาได้ดีแทบจะเกือบทั้งโลก แต่เป็นตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียนอย่างไทยและอินโดนิเซียที่ขึ้นมาได้ดีกว่าใครเพื่อน โดยผลตอบแทนเราทั้งคู่ติดอันดับตลาดหุ้นที่ผลตอบแทนดีที่สุด 10 อันดับแรกของโลกนับจากต้นปีครับ ทั้งนี้สาเหตุน่าจะไม่ใช่เพราะภาพพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นเรื่องของ Fund flows ที่ไหลกลับเข้ามาในภูมิภาคนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมากกว่า


ค่าเงินบาทเองก็แข็งค่าขึ้นมาค่อนข้างมากเทียบกับ USD โดยล่าสุดอยู่ที่ 35.35 เทียบกับเมื่อต้นปียังอยู่ที่ 36 อยู่เลย ถือว่าแข็งเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียเลยละครับ


ถึงจุดนี้นักลงทุนหลายท่านคงเริ่มตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเงินไหลกลับเข้ามาในอาเซียนรวมถึงบ้านเราอย่างมีนัยสำคัญทั้งๆ ที่ภาพปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากมาย? ผมคิดว่าแบบนี้ครับ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ที่บางประเทศถึงขนาดกดดอกเบี้ยลงไปติดลบอีก ทำให้สุดท้ายเงินก็ต้องมีที่ไป (เหมือนสายน้ำ เปิดก๊อกกักไว้ในโอ่งนานๆ เดี๋ยวก็ต้องล้น) ด้วยที่ตลาดหุ้นไทย underperform หุ้นโลกมาก่อนหน้านี้หลายปี รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5แม้จะต่ำแต่ก็ยังสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ (ถ้าไปดูผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยล่าสุดอยู่ที่ 1.9ซึ่งถือว่าต่ำมาก ไม่เคยเห็นต่ำขนาดนี้มาก่อน แปลว่าเงินไหลเข้ามาซื้อเยอะจริงๆ) เหตุผลเหล่านี้น่าจะพอดึงดูดให้เงินไหลกลับเข้ามาเก็งกำไรได้บ้างแม้อาจจะเป็นเพียงระยะสั้นก็ตามครับ 


อย่างไรก็ดี ด้วยปัจจัยพื้นฐานและภาพเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ (แถมอาจถูกปรับประมาณการลงด้วยซ้ำ จากที่ท่านผู้ว่าแบงค์ชาติให้สัมภาษณ์เรื่อง GDP growth ล่าสุด) สุดท้ายแล้วนักลงทุนต่างชาติก็จะเริ่มตระหนักครับว่าเก็งกำไรมากไปกว่านี้อาจจะเจ็บตัวได้ กำไรก็ได้มาระดับนึงแล้วเริ่ม unwind positions บ้างดีไหม? (อาจจะไม่ถึงขนาด short หนักเลยทีเดียวเว้นแต่จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น) อีกทั้งภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะหลังจากจีนประกาศตัวเลขส่งออก -25.4%YoY ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนับว่าแย่ที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2009 สรุปเลยก็คือผมคิดว่าควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้นในช่วงนี้ครับ