สวัสดีครับ,
ในบทความเมื่อเดือนก่อนผมได้กล่าวถึงเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก
ส่งผลให้สภาพคล่องยังมีอยู่มากและช่วยให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นยังคงดูน่าสนใจอยู่บ้างแม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอาจไม่ได้หวือหวาหรือโตมากมายอะไร
(ก็เศรษฐกิจไทยดันโตไม่เยอะนิครับ)
ในบทความนี้ผมจะเล่าต่อเนื่องในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยครับ ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญและใช้การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายประกอบในการตัดสินใจลงทุน
ก่อนไปถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายขอเล่าที่มาที่ไปซักเล็กน้อยครับ เรื่องมีอยู่ว่า
เครื่องมือที่ในการดูแลเศรษฐกิจของประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ
ด้วยกัน ได้แก่ 1) นโยบายการคลัง (Fiscal policy) เช่น การเพิ่มหรือลดภาษี การใช้งบประมาณเกินดุลหรือขาดดุล
โดยรัฐบาลในส่วนของกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดูแลตรงนี้ 2) นโยบายการเงิน (Monetary policy) ได้แก่ การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (Reserve requirements)
การดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (Open market operations) และการใช้หน้าต่างตั้งรับ (Standing facilities) ในส่วนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) จะเป็นผู้ดูแลเพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) กำหนด
แล้วดอกเบี้ยนโยบาย (Policy rate) คืออะไร? ปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกกำหนดให้เท่ากับอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี (Bilateral repurchase rate) ระยะ 1
วันครับ
กล่าวคือ ในกรณีที่สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเหลือก็จะนำเงินไปให้ธปท.กู้ยืมเป็นระยะเวลา
1 วัน โดยธปท.จะโอนพันธบัตรภาครัฐให้กับสถาบันการเงินเหล่านั้นเพื่อเป็นหลักประกันพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะรับซื้อคืนพันธบัตรคืนและจ่ายดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลา
1 วันให้ เจ้าดอกเบี้ยนี้ละครับที่ถูกกำหนดให้เท่ากับดอกเบี้ยนโยบาย
(แม้ในทางปฏิบัติอาจไม่เท่ากันเป๊ะก็ตาม)
แล้วมันมีความสำคัญอย่างไรละ? ประมาณทุก 6 สัปดาห์ (ปีละ 8 ครั้ง)
กนง.จะประชุมร่วมกันเพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจและการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
ที่จะมีผลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพื่อพิจารณากำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสมครับ
ซึ่งหลังจากการประชุมทุกครั้งก็จะมีการประกาศว่าจะคง เพิ่ม หรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มี.ค.
กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5%) ซึ่งโดยปกติแล้วหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี
และเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ กนง.จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครับ เผลอๆ อาจจะลดด้วยซ้ำ
เพราะการคงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทำให้ประชาชนและภาคเอกชนสามารถกู้เงินไปลงทุนได้โดยมีต้นทุนที่ถูก (อัตราดอกเบี้ยต่างๆ
ของธนาคารพาณิชย์ถูกกำหนดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดอกเบี้ยนโยบาย)
ในขณะที่ถ้าเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวและเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น
กนง.ก็อาจปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น
เพื่อป้องกันความร้อนแรงไม่ให้เงินเฟ้อขยายตัวเร็วเกินไป เป็นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจครับ

กล่าวโดยสรุปคือ หากมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย นักลงทุนจะตีความว่าธปท.กำลังใช้นโยบายการเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ซึ่งมักจะเป็นผลดีสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น (แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังหากคงดอกเบี้ยไว้ต่ำเกินไปนานๆ
อาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่างๆ ได้) แต่หากมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
นักลงทุนจะตีความว่าธปท.กำลังลดความร้อนแรงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจลง เพราะเป็นการทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น
และมักจะส่งผลลบต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น อย่างไรก็ดี ในการวิเคราะห์เราไม่สามารถดูอัตราดอกเบี้ยในบ้านเราอย่างเดียวแล้วใช้ตัดสินใจลงทุนเลยได้นะครับ
ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีก เช่น
การมองดอกเบี้ยนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกเช่น สหรัฐฯ
หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนว่าไปในทิศทางใด
(วิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบ) รวมถึงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ ซึ่งถ้ามีโอกาสคงจะได้กล่าวถึงในคราวถัดไปครับ
No comments:
Post a Comment