Tuesday, April 26, 2016

ดอกเบี้ยนโยบาย (For Intania 89 #2)

สวัสดีครับ,

ในบทความเมื่อเดือนก่อนผมได้กล่าวถึงเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก ส่งผลให้สภาพคล่องยังมีอยู่มากและช่วยให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นยังคงดูน่าสนใจอยู่บ้างแม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอาจไม่ได้หวือหวาหรือโตมากมายอะไร (ก็เศรษฐกิจไทยดันโตไม่เยอะนิครับ) ในบทความนี้ผมจะเล่าต่อเนื่องในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยครับ ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญและใช้การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายประกอบในการตัดสินใจลงทุน

ก่อนไปถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายขอเล่าที่มาที่ไปซักเล็กน้อยครับ เรื่องมีอยู่ว่า เครื่องมือที่ในการดูแลเศรษฐกิจของประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ 1) นโยบายการคลัง (Fiscal policy) เช่น การเพิ่มหรือลดภาษี การใช้งบประมาณเกินดุลหรือขาดดุล โดยรัฐบาลในส่วนของกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดูแลตรงนี้ 2) นโยบายการเงิน (Monetary policy) ได้แก่ การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (Reserve requirements) การดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (Open market operations) และการใช้หน้าต่างตั้งรับ (Standing facilities) ในส่วนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเป็นผู้ดูแลเพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กำหนด

แล้วดอกเบี้ยนโยบาย (Policy rate) คืออะไร? ปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกกำหนดให้เท่ากับอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี (Bilateral repurchase rate) ระยะ 1 วันครับ กล่าวคือ ในกรณีที่สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเหลือก็จะนำเงินไปให้ธปท.กู้ยืมเป็นระยะเวลา 1 วัน โดยธปท.จะโอนพันธบัตรภาครัฐให้กับสถาบันการเงินเหล่านั้นเพื่อเป็นหลักประกันพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะรับซื้อคืนพันธบัตรคืนและจ่ายดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลา 1 วันให้ เจ้าดอกเบี้ยนี้ละครับที่ถูกกำหนดให้เท่ากับดอกเบี้ยนโยบาย (แม้ในทางปฏิบัติอาจไม่เท่ากันเป๊ะก็ตาม)

แล้วมันมีความสำคัญอย่างไรละ? ประมาณทุก 6 สัปดาห์ (ปีละ 8 ครั้ง) กนง.จะประชุมร่วมกันเพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจและการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะมีผลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพื่อพิจารณากำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสมครับ ซึ่งหลังจากการประชุมทุกครั้งก็จะมีการประกาศว่าจะคง เพิ่ม หรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มี.ค. กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5%)  ซึ่งโดยปกติแล้วหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี และเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ กนง.จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครับ เผลอๆ อาจจะลดด้วยซ้ำ เพราะการคงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนและภาคเอกชนสามารถกู้เงินไปลงทุนได้โดยมีต้นทุนที่ถูก (อัตราดอกเบี้ยต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์ถูกกำหนดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดอกเบี้ยนโยบาย) ในขณะที่ถ้าเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวและเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น กนง.ก็อาจปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น เพื่อป้องกันความร้อนแรงไม่ให้เงินเฟ้อขยายตัวเร็วเกินไป เป็นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจครับ

                     

กล่าวโดยสรุปคือ หากมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย นักลงทุนจะตีความว่าธปท.กำลังใช้นโยบายการเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมักจะเป็นผลดีสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น (แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังหากคงดอกเบี้ยไว้ต่ำเกินไปนานๆ อาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่างๆ ได้) แต่หากมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย นักลงทุนจะตีความว่าธปท.กำลังลดความร้อนแรงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจลง เพราะเป็นการทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น และมักจะส่งผลลบต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น อย่างไรก็ดี ในการวิเคราะห์เราไม่สามารถดูอัตราดอกเบี้ยในบ้านเราอย่างเดียวแล้วใช้ตัดสินใจลงทุนเลยได้นะครับ ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีก เช่น การมองดอกเบี้ยนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกเช่น สหรัฐฯ หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนว่าไปในทิศทางใด (วิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบ) รวมถึงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ ซึ่งถ้ามีโอกาสคงจะได้กล่าวถึงในคราวถัดไปครับ 
                                                                    

No comments:

Post a Comment