Tuesday, January 31, 2017

สรุป 2016 เดินหน้าต่อ 2017

สวัสดีครับ,

ห่างหายกันไปหลายเดือนเนื่องด้วยช่วงที่ผ่านมาผู้เขียนติดภารกิจหลายอย่าง กลับมาครั้งนี้เลยอยากจะขอสรุปภาพรวมการลงทุนในปี 2016 และเล่าถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2017 ครับ

ในปี 2016 นั้น ต้องบอกว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยนะครับ เพราะบวกไปถึงเกือบ 20% ในรูปเงินบาท ซึ่งหากมองในรูปค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ผลตอบแทนก็แทบจะไม่ต่างกันครับเนื่องจากค่าเงินบาทนั้นปิดสิ้นปีในระดับที่ใกล้เคียงกับเมื่อต้นปีที่แถว 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ (แม้จะเคยแข็งค่าไปถึง 34.487 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเดือนสิงหาคม) สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หุ้นไทยขึ้นมาได้ดีนั้น เชื่อว่าเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นและกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยทั้งปีเกือบ 8 หมื่นล้านบาท (และซื้อสุทธิใน SET50 index futures อีกกว่า 2 แสนสัญญา) รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่โตได้ดีขึ้นมากหลังจากถดถอยมา 2 ปีติด

จริงๆ แล้วตัวเลขซื้อสุทธิ หมื่นล้านบาทนั้นเหมือนจะดูเยอะนะครับ แต่หากเราย้อนไปดูช่วงปี 2013-2015 พบว่านักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิหุ้นไทยถึงเกือบ แสนล้านบาท (สาเหตุหลักที่เค้าขายตอนนั้นเป็นเพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศลดการใช้มาตรการ QE จนยกเลิกไปในที่สุด) ฉะนั้นการที่เค้ากลับมาซื้อสุทธิในปี 2016 เพียงส่วนหนึ่ง ไม่ได้การันตีว่าเค้าจะต้องซื้อต่อเนื่องในปี 2017 เพราะในภาพใหญ่นั้นยังเป็นการขายสุทธิอยู่ อีกทั้งหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2017 โอกาสที่เงินจะไหลกลับมาในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยนั้นก็ยิ่งลดลง

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2017 นั้นมีแนวโน้มที่น่าจะดีขึ้นได้ต่อเนื่องครับ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลักของโลกอย่างสหรัฐฯ (จากการที่เค้าได้ประธานาธิบดีใหม่ไฟแรงที่ชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เป็นนักธุรกิจผู้ช่ำชองและเคยล้มเหลวมาก่อน) รวมถึงยุโรปและญี่ปุ่นที่กำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ น่าจะช่วยให้การค้าโลกดีขึ้นและส่งผลไปถึงการส่งออกที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-70% ของ GDP ไทย ให้ดีขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ หรือที่ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า มาตรการทางการคลัง (Fiscal policy) กำลังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อม (Ripple effect) ให้ภาคเอกชนกลับมาขยายการลงทุน ในขณะที่แบงก์ชาติเองน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.5% ไปอย่างน้อยจนถึงไตรมาส ปี 2017 ทั้งนี้ เพื่อให้นโยบายการเงินอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายต่อเนื่องและช่วยสนับสนุนให้นโยบายการคลังที่ดำเนินโดยภาครัฐเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ เป้าสุดท้ายที่พวกเราทุกคนอยากเห็นก็คือ เศรษฐกิจไทยในปี 2017 สามารถกลับมาเติบโตได้ที่ระดับ 4% อีกครั้ง

ในด้านความเสี่ยงนั้น หากเปรียบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นดังกองหน้าทีมฟุตบอลที่คอยจ้องยิงประตู การตระหนักถึงความเสี่ยงและเฝ้าระวังก็เปรียบดังกองหลังที่คอยปัดป้องไม่ให้ทีมถูกยิงประตู ความเสี่ยงหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกกังวลก็คือหนี้ครัวเรือนในบ้านเราที่อยู่ในระดับสูงกว่า 80% ของ GDP มาซักพัก จริงอยู่ที่วิกฤตเศรษฐกิจโลกส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์มักมีที่มาจากปัญหาสถาบันการเงิน แต่หากมองให้ลึก รากเหง้าของวิกฤตทั้งหลายก็มาจาก หนี้” ทั้งนั้น ที่ยังสบายใจได้ก็คือสถาบันการเงินในบ้านเรานั้นมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งพอสมควรเลยละครับ แต่การที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงนี้กำลังสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่กำลังใช้จ่ายเกินตัว ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมาในภายหลังได้ โดยจากการศึกษาของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements: BIS) ในปี 2554 พบว่าหนี้ครัวเรือนที่ระดับ 85% ของ GDP อาจก่อให้เกิดผลลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนตามนิยามของธนาคารแห่งประเทศไทย หมายถึง เงินให้กู้ยืมที่สถาบันการเงินให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ ไม่รวมหนี้นอกระบบ แปลว่าตัวเลขการเป็นหนี้ของคนไทยแท้จริงแล้วคงจะอยู่สูงกว่านี้อีกครับ

กล่าวโดยสรุป การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 2017 นั้นคงจะเป็นอีกปีที่ท้าทาย เพราะเศรษฐกิจไทยแม้มีโอกาสสูงที่จะเติบโตได้ดีกว่าปี 2016 แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวัง (ผู้เขียนยังไม่ได้กล่าวถึงความเสี่ยงจากวิกฤตค่าเงินริงกิตของมาเลเซีย หากมีโอกาสจะกล่าวถึงในคราวถัดไป) อีกทั้งหุ้นไทยก็ได้ขึ้นมามากแล้วในปี 2016 โอกาสที่จะขึ้นต่อแรงในปี 2017 นั้นจึงไม่ง่าย หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้เติบโตขึ้นตามหรือแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาอีกครั้ง ทั้งนี้ ทิศทางราคาน้ำมันก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ควรติดตามครับ โดยกลุ่ม ปตท. คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2017 อยู่ที่ 50-55 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และคาดว่าความต้องการน้ำมันดิบโลกจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว

ท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขในการลงทุน สุขภาพแข็งแรง และร่ำรวยยิ่งๆขึ้นไป ในศุภมงคลสมัยขึ้นปีใหม่ 2560 นี้ครับ

31 ธค 2559

Wednesday, January 4, 2017

บรรยากาศเอื้ออำนวย

สวัสดีปีใหม่ครับ :) 
ตลาดหุ้นไทยในปี 2559 ถือว่าให้ผลตอบแทนได้ดีทีเดียวโดยบวกไปถึง 19.8% โดยฝรั่งเป็นผู้ซื้อสุทธิในหุ้นถึง 7.8 หมื่นล้านบาท และใน SET50 Futures ถึง 214,365 สัญญา โดยค่าเงินบาทปิดระดับสิ้นปีไปได้ใกล้เคียงกับระดับต้นปีที่แถว 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ


ในปี 2560 นี้ มีโอกาสสูงที่เงินที่ไหลเข้ามาในปี 2559 นั้น อาจมีบางส่วนไหลกลับไปยังประเทศพัฒนาแล้วได้ครับ โดยเฉพาะในสหรัฐฯหลังจากที่เค้าได้ประธานาธิบดีคนใหม่ที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายอย่างที่อาจส่งเสริมให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าต่อเนื่อง รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตาม นอกจากนี้เศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นก็อยู่ในระยะกำลังฟื้นตัว

อย่างไรก็ดี ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวงประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.5-0.75% ไปอย่างน้อยจนถึงช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้ หลังจากเพิ่งขึ้นไป 1 ครั้ง เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วครับ ด้วยเหตุนี้บรรยากาศการลงทุนน่าจะยังเอื้ออำนวยต่อตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยหากไม่มีการเซอร์ไพรส์ในทางลบใดๆ เกิดขึ้น ทีมวิจัยเราได้ให้เป้าหมาย SET Index ที่สิ้นปี 2560 ที่ 1670 จุด คิดเป็นค่าพีอีที่ 15.5 เท่า บนประมาณการกำไรต่อหุ้นที่ 107.6 บาท ทั้งนี้ ค่าพีอีดังกล่าวอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 12.4 เท่า อยู่ 1.3 SD ครับ


สุดท้าย ในศุภมงคลสมัยขึ้นปีใหม่นี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านมีสติในการลงทุน ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป (ดังจะเห็นได้จากปีที่ผ่านมาที่มีโอกาสให้เข้าซื้อหุ้นได้หลายครั้งจากความตื่นตระหนกของเพื่อนนักลงทุน) และไม่มั่นใจจนเกิดเหตุ ทั้งนี้ให้ศึกษาหาข้อมูลด้วยตนเองเป็นหลัก อย่าได้เชื่อกูรูคนใดคนหนึ่งไปตลอด เพราะขนาดนักเศรษฐศาสตร์ในตำนานของโลกอย่าง John Maynard Keynes ยังเคยพูดไว้ว่า “When the facts change, I change my mind.” ตีความได้ว่า เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน คำแนะนำของเหล่ากูรูก็เปลี่ยน เพราะฉะนั้นเชื่อตนเองดีที่สุดครับ… โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ…