Wednesday, August 22, 2012

รอสอย Weather Derivatives

สวัสดาคิบ อ้ะ! สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 22 สิงหาคม 2555


จำได้ว่าช่วงครั้งแรกๆ ผมได้เล่าถึงตลาดอนุพันธ์ที่สำคัญหลายแห่งของโลก... หนึ่งในนั้นก็คือตลาด CME Group อันโด่งดังในอเมริกา (ใครยังไม่ได้อ่านก็ copy link นี้ไปแปะแล้วส่องดูนะครับ http://nakkanaayok.blogspot.com/2012/06/blog-post.html) ระหว่างนั่งดูข้อมูลอื่นไปเรื่อยๆ ผมก็สะดุดกับสิ่งนึงที่น่าสนใจเข้า... พี่น้องครับ เคยทราบกันมั้ยครับว่า บนโลกนี้ มีตราสารอนุพันธ์ที่มีสินค้าอ้างอิงเป็นสภาพดินฟ้าอากาศด้วย
จริงๆแล้ว ตราสารอนุพันธ์มีจุดกำเนิดมาจากสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ซึ่งราคาสินค้าโภคภัณฑ์มักจะได้รับอิทธิพลจากสภาพดินฟ้าอากาศอยู่มากโข...  จึงเกิดแนวคิดแบบโจ๋ๆ ที่ว่าตราสารอนุพันธ์ก็น่าจะนำไปอ้างอิงกับดินฟ้าอากาศได้นะจ๊ะ... อีกทั้ง จากข้อมูลในเว็บไซด์ Chicago Mercantile Exchange เค้าบอกว่า หนึ่งในสามของธุรกิจบนโลกนี้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาพดินฟ้าอากาศครับ... เพราะฉะนั้นตราสารอนุพันธ์ต่อไปนี้จึงถูกคิดค้นขึ้น เพื่อช่วยควบคุมความเสี่ยง หรือเพิ่มโอกาสในการเก็งกำไร (ก็ยังได้)... ตราสารอนุพันธ์ชนิดที่ว่านี้ มีชื่อว่า Weather derivatives มีสินค้าอ้างอิงดังต่อไปนี้ครับ: 
1.     อุณหภูมิ (Temperatures) เช่น US Cooling Monthly, Canada Heating Seasonal, Asia-Pacific Monthly, Australia Heating Seasonal, Europe CAT Monthly
2.     หิมะ (Snowfall) ได้แก่ Snowfall monthly, Snowfall seasonal
3.     น้ำค้างแข็ง (Frost) ได้แก่ Frost monthly, Frost seasonal
4.     พายุ (Hurricanes) ได้แก่ Hurricane, Hurricane seasonal, Hurricane seasonal maximum
5.     ฝน (Rainfall) ได้แก่ Rainfall monthly, Rainfall seasonal 
จะว่าไปช่วงนี้บ้านเราฝนตกทุกวันเลย... ก็เสียวๆอยู่ครับว่าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่แบบปีที่แล้วอีกรึป่าว... แม้ใจลึกๆ ผมคิดว่าไม่ เพราะประวัติศาสตร์ไม่น่าซ้ำรอยติดกัน... จริงๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว หลังจากน้องน้ำกลับถิ่น ก็มีการพูดกันครับว่า น่าจะมีตราสารอนุพันธ์อ้างอิงปริมาณน้ำฝน (Rainfall Derivatives) ในบ้านเราซะทีดีมั้ย... ขนาดอเมริกาเอง ตอนที่โดนพายุเฮอริเคนกระหน่ำ ยังคิดค้นเฮอริเคนฟิวเจอร์สขึ้นมาได้เลย... ไม่แปลกหรอกครับ น้ำท่วมใหญ่ในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ... ในประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้... คนเสียชีวิตร่วม 800 คน... โรงงานจมน้ำกว่า 1,500 แห่ง... รวมแล้วความเสียหายเหนาะๆที่ธนาคารโลกประเมินไว้ก็ 1.44 ล้านล้านบาท (ซี๊สสเลยนะ)... หน่วยงานต่างๆก็ต้องหาแนวทางเพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นธรรมดา ไม่เว้นแม้แต่พี่ตอ (กลต.) ที่ออกมาเว้าว่า กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของตราสารอนุพันธ์น้ำนะ เพื่อจะได้ช่วยปกป้องเกษตรกรจากผลกระทบของปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งด้วยละ... ดีครับ ผมรอสอยอยู่

Wednesday, August 15, 2012

ตำนานรักดอกเหมย (梅花) ตอน : Options ... ฉันรักเธอ

สวัสดีครับ,,,,
เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2555


เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผมได้พาทุกท่านบุกตะลุยไปยังสำนักหน้าหยก เพื่อฉก... (ฉกอะไรคลิกอ่านย้อนหลังที่นี่ครับ http://nakkanaayok.blogspot.com/2012/07/4.html) ซึ่งตอนนี้ผมก็เชื่อว่าเคล็ดวิชาตราสารอนุพันธ์ได้อยู่ในมือทุกท่านเรียบร้อยแล้ว... แต่! สิ่งที่ยากกว่านั้น คือ การรักษาและนำตำราเล่มนั้นกลับถิ่น เพื่อให้ลูกหลานได้ศึกษา... หนทางไกลหมื่นลี้ ต้องเริ่มด้วยก้าวแรก”…ระหว่างเดินทางกลับ ท่านต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายครับ... อะฮ้า! ในที่สุด... เราก็มาถึงดงดอกเหมย... สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่พำนักของศิษย์คนที่สาม สวัสดีพ่อหนุ่มและแม่นางทั้งหลาย... ข้า มีนามว่า Options”
Options หมายถึง ตราสารสิทธิที่ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อหรือผู้ที่ถือ options ในการซื้อหรือขายสินค้าอ้างอิง ณ ราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าหรือที่เรียกกันว่า ราคาใช้สิทธิ (Exercise Price หรือ Strike price) ครับโดยผู้ซื้อ (Long) หรือผู้ถือ Options จะได้สิทธิในวันนี้ในการซื้อหรือขายสินค้าอ้างอิงในอนาคต... ซึ่งหากไม่อยากใช้สิทธิ ก็แค่ปล่อยให้ Options นั้นหมดอายุไป... สำหรับผู้ที่ขาย (Short) Options นั้น แน่นอนครับว่า ท่านโดนของเข้าให้แล้ว (แต่อาจจะเป็นของดีก็ได้นะ)... เพราะท่านต้องขายหรือซื้อสินค้าอ้างอิงในอนาคตตามที่ผู้ถือ Options ต้องการ เรียกว่า มีภาระผูกพัน นั่นเอง... อ่าวแล้วงี้ผู้ขาย Options ก็เสียเปรียบซิ? ไม่หรอกครับ... เพราะผู้ขายจะได้รับค่าใช้สิทธิ (premium) จากผู้ซื้อเป็นการชดเชย (พูดง่ายๆ ก็คือ ผู้ซื้อ Options ต้องจ่ายค่า premium ให้กับผู้ขาย Options นั่นเอง)
นอกจากนี้ หากท่านเป็นผู้ซื้อ Options นั่นหมายถึง ท่านมีสิทธิเลือกถูกมั้ยครับ... เพราะฉะนั้น แน่นอนครับว่า ท่านจะเลือกใช้สิทธิก็ต่อเมื่อตัวท่านได้ประโยชน์... หรือพูดอีกนัยนึงว่า ผู้ขาย Options ต้องเป็นผู้เสียประโยชน์หากมีการใช้สิทธิเกิดขึ้น... ด้วยเหตุนี้ เพื่อป้องกันจากชิ่งวิ่งหนีของผู้ขาย Options… ตลาดหลักทรัพย์จึงกำหนดให้ผู้ขาย Options ต้องมีการวางเงินหลักประกัน (Margin) เพื่อเป็นค่ามัดจำด้วยครับ
Options มีจุดเด่นที่สามารถใช้สร้างกลยุทธ์ ทำกำไรได้ในทุกสภาวะตลาด... อีกทั้งยังสามารถนำมาผสมผสานกับ Futures หรือหุ้นเพื่อออกแบบกลยุทธ์ลงทุน รับมือกับตลาด ทั้งในภาวะขาขึ้น ขาลง หรือตลาดคงตัวด้วยครับ... Options นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการให้สิทธิ (Right) แก่ผู้ถือ Options… ได้แก่:
1.     Call Options หมายถึง ตราสารสิทธิที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือ (ซื้อ) ในการซื้อสินค้าอ้างอิง ตามราคา ปริมาณ และภายในเวลาที่กำหนด เช่น ถ้าหุ้น BANPU มีราคาตลาดอยู่ที่ 450 บาท แล้วผมมี Call Options ที่มีราคาใช้สิทธิซื้อหุ้น BANPU ที่ราคา 400 บาท... แน่นอนครับ ผมใช้สิทธิ เพราะผมสามารถซื้อหุ้น BANPU ได้ในราคา 400 บาท ซึ่งถูกกว่าซื้อในตลาดที่ราคา 450 บาท
2.     Put Options หมายถึง ตราสารสิทธิที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือ (ซื้อ) ในการขายสินค้าอ้างอิง ตามราคา ปริมาณ และภายในเวลาที่กำหนด เช่น ถ้าหุ้น BBL มีราคาตลาดอยู่ที่ 195 บาท แล้วผมมี Put Options ที่มีราคาใช้สิทธิขายหุ้น BBL ที่ราคา 220 บาท... แน่นอนครับ ผมใช้สิทธิ เพราะผมสามารถขายหุ้น BBL ได้ในราคา 220 บาท ซึ่งสูงว่าขายในตลาดที่ราคา 195 บาท
เสริม: จริงๆแล้ว ใบจองรถ หรือใบจองคอนโด ที่เราคุ้นเคย ก็จัดเป็น Options ประเภทหนึ่งครับ... ลองทายซิว่าเป็นประเภทไหน? อิอิ เฉลยเลยละกัน... เป็น Call options ครับ! เพราะอะไร? เพราะใบจองก็คือสิทธิในการซื้อ ที่เราสามารถเลือกที่จะซื้อรถหรือคอนโดนั้น หรือไม่ก็ได้... ถ้าราคาคอนโดสูงขึ้น, เป็นที่ต้องการมากขึ้น แน่นอนครับว่าราคาใบจองก็ต้องสูงขึ้น... ซึ่งผู้ถือ (ซึ่งถือใบจองตั้งแต่ตอนราคาคอนโดยังไม่ขึ้น) ก็สามารถนำไปจองนั้นไปขายในตลาด เพื่อรับส่วนต่างกำไร (Capital gains) โดยไม่ต้องถือรอใช้สิทธิก็ได้ หรือจะถือรอจนหมดอายุเพื่อใช้สิทธิซื้อก็ได้... จะเห็นได้ว่า คอนโด หรือรถ ก็คือสินค้าอ้างอิงของ Options นั่นเอง... ฉันใด ฉันนั้น ในตลาดอนุพันธ์บ้านเรา (TFEX) Options ก็มีสินค้าอ้างอิงเช่นเดียวกันครับ นั่นก็คือ SET50 Index (ยังไม่มีแบบหุ้นรายตัวนะ) เมื่อรวมตัวกัน เลยชื่อเรียกสุดเท่ห์ว่า SET50 Index Options!
และแล้ว... ตำนานรักที่ดงดอกเหมย (梅花) ก็จบลง... ขอฝากข้อคิดไว้นิดครับว่า... แม้ดอกเหมยจะงดงามเพียงใด แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นดอกไม้ที่อ่อนน้อม ถ่อมตัว... เพราะเป็นดอกไม้เพียงชนิดเดียวที่บานสู้หิมะในฤดูหนาว และจะไม่บานแข่งกับดอกไม้อื่นที่มักจะบานในฤดูร้อน... ฉันใด ฉันนั้น... ไม่ว่าบุคคลจะเก่ง ฉลาดเพียงใด ก็ควรรู้จักอ่อนน้อม สงบเสงี่ยม และไม่อวดตัว... เช่นนี้แล้ว ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ

Wednesday, August 8, 2012

ว่าด้วยเรื่องธนาคาร และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของหุ้นธนาคาร

สวัสดีแฟนคลับทุกท่านครับ,,,
เขียนเมื่อ 8 สิงหาคม 2555


ใกล้เข้ามาแล้ว กับอีกวันสำคัญของคนไทยทุกคน วันแม่แห่งชาติ”… ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของลูกทุกคน ที่ต้องทำให้ทั้งคุณแม่และคุณพ่อมีความสุข... ไม่ใช่เฉพาะวันนี้แต่เป็นทุกวันที่มี... ในขณะที่ ชาวไทยอีกก๊วนหนึ่งก็กำลังทำหน้าที่ตัวแทนประเทศในฐานะนักกีฬาโอลิมปิกอยู่ที่อังกฤษ... ลุ้นครับ ขออีกซักเหรียญสามเหรียญ... ผมเชื่อว่าครับว่าคนไทยทำอะไร ถ้าตั้งใจ ไม่แพ้ชาติใดในโลก! เอาละ... กลับมาที่เรื่องของเรา... ทุกท่านทราบไหมครับว่าในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) นอกจากพระเอกอย่าง SET50 Index Futures แล้ว พระรองที่มีชื่อว่า “Single Stock Futures” หรือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงราคาหุ้นรายตัว ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน... ข้อต่างหลักๆ มีเพียง สินค้าอ้างอิง ที่ไม่ใช่ SET50 Index แต่เป็นหุ้นรายตัวเท่านั้นครับ... ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย ผมขออนุญาตไม่เล่า เพราะคิดว่าทุกท่านสามารถหาข้อมูลได้ไม่ยาก... ลองคลิกนี่ดูครับ http://www.tfex.co.th/th/products/stock-spec.html ส่วนวิธีการลงทุน... ผมก็ไม่เล่าอีกนั่นแหละ... เพราะก็ไม่ต่างจากการลงทุนใน SET50 Index Futures เท่าใดนัก (ลองค้นบทความนักค้าหน้าหยกย้อนหลังดู)... อ่าว แล้วงี้จะเล่าไรละ!? (เสียงตะโกนแทรกพร้อมกับข้าวของเตรียมปา) ใจเย็นๆครับ... วันนี้ผมจะมาเล่าถึงภาพรวมของธุรกิจธนาคารไทย และแนะนำถึง Single Stock Futures ที่มีสินค้าอ้างอิงเป็นหุ้นธนาคารรายตัว
เริ่มที่:  ธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงการคลัง ได้กำหนดรูปของธนาคารพาณิชย์ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Sector Master Plan) ออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกันครับ คือ 1) ธนาคารพาณิชย์ 2) ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย 3) ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ และ 4) สาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ... ซึ่งกฎเกณฑ์ในการจัดตั้งธนาคารแต่ละประเภทค่อนข้างต่างกันพอสมควร... โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ เช่น ธนาคารพาณิชย์ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท... ตรงนี้ ถ้าจำกันได้ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) ก็เพิ่งได้ปรับฐานะจากธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยขึ้นมาเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มตัวเมื่อไม่นานมานี้เองครับ... ซึ่งทำให้ธนาคารสามารถประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้อย่างเต็มรูปแบบ  และให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น 
ว่าต่อ:  อุตสาหกรรมธนาคารไทยนั้นจัดได้ว่าอยู่ในตลาดที่ผู้เล่นน้อยรายครับ (oligopoly market) โดยผู้เล่นรายใหม่จะเข้าสู่ตลาดได้ยาก เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยมีกฎเกณฑ์ในการจัดตั้งที่เข้มงวด, มี Protection สูง (เพราะธุรกิจธนาคารในบ้านเราถือว่าค่อนข้างใหม่ถ้าเทียบกับประเทศอื่น) มีกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่ครองความเป็นผู้นำในตลาด และมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า (family relationship-based) เช่น ถ้าครอบครัวท่านใช้ผู้จัดการธนาคารคนนี้ ท่านก็อาจจะใช้ด้วย... อีกทั้งโดยมากนิสัยคนไทยจะค่อนข้างติด Brand ไม่ค่อยเปลี่ยนธนาคารถ้าไม่จำเป็น... ตรงนี้ ทำให้ยากสำหรับธนาคารขนาดเล็กที่จะเข้าไปตีตลาด หรือดึงลูกค้ามาครับ...  ซึ่งจะเห็นได้ว่าระยะหลังมานี้ ธนาคารขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางมีการปรับตัวค่อนข้างมาก เพื่อให้สามารถแข่งขันกับธนาคารขนาดใหญ่ได้อย่างไม่เป็นรอง... รวมทั้งเตรียมพร้อมต่อ The Upcoming AEC. 
ก่อนส่งท้าย:  แคบลงมาอีกนิด (ชิดๆเข้ามาอีกหน่อย)... ในหมู่นักวิเคราะห์เอง ก็มีการจัดกลุ่มเฉพาะของธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์และเปรียบเทียบผลการดำเนินงานครับ... โดยแบ่งตามขนาดสินทรัพย์ (Asset) ออกได้เป็น 3 กลุ่ม (Tier) ด้วยกัน ได้แก่:
1.     First Tier หรือ ธนาคารขนาดใหญ่ ประกอบด้วย BBL, SCB, KBANK, KTB
2.     Second Tier หรือ ธนาคารขนาดกลาง ประกอบด้วย BAY, TMB, TCAP
3.     Third Tier หรือ ธนาคารขนาดเล็ก ประกอบด้วย KK, TISCO, LHBANK, CIMBT, SCBT, UOBT, ICBCT (3 ชื่อหลังไม่ได้ list ในตลาดหลักทรัพย์แล้วนะครับ)
ซึ่งทางตลาดอนุพันธ์ก็ได้เลือกหุ้นธนาคารใน 2 กลุ่มแรก มาใช้เป็นสินค้าอ้างอิงในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Single Stock Futures) นั่นเองครับ... มีทั้งหมด 7 ตัว... แต่ละตัวก็มีความน่ารักจิ้มลิ่มต่างกันออกไป... แต่สำหรับมือใหม่ผมแนะนำให้เริ่มศึกษาที่ KTB Futures ก่อนละกัน เพราะตัวนี้สภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย สบายมือ... อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้เสมอครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน
บ๊ายบาย:  ข้อมูลบางส่วนของบทความในวันนี้ อ้างอิงมาจากบทสัมภาษณ์ที่ผมได้ไปพบท่านผู้บริหาร (CFO) ของธนาคารขนาดเล็กแห่งหนึ่งในฐานะนักศึกษาปริญญาโท ต้องขอขอบคุณท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ... ในครั้งหน้า ผมจะมานำเสนอวิธีการวิเคราะห์ภาพรวมกลุ่มธนาคารแบบง่ายๆ และแถมด้วยประเด็นเด็ดจากที่ผมได้เข้าพบท่านผู้บริหารสูงสุด (President) ของธนาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง... ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งกับการลงทุนในหุ้น และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงราคาหุ้นธนาคาร... ห้ามพลาดครับ!