เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2555
เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
ผมได้พาทุกท่านบุกตะลุยไปยังสำนักหน้าหยก เพื่อฉก...
(ฉกอะไรคลิกอ่านย้อนหลังที่นี่ครับ http://nakkanaayok.blogspot.com/2012/07/4.html)
ซึ่งตอนนี้ผมก็เชื่อว่าเคล็ดวิชาตราสารอนุพันธ์ได้อยู่ในมือทุกท่านเรียบร้อยแล้ว...
แต่! สิ่งที่ยากกว่านั้น คือ การรักษาและนำตำราเล่มนั้นกลับถิ่น
เพื่อให้ลูกหลานได้ศึกษา... “หนทางไกลหมื่นลี้
ต้องเริ่มด้วยก้าวแรก”…ระหว่างเดินทางกลับ
ท่านต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายครับ... อะฮ้า! ในที่สุด... เราก็มาถึงดงดอกเหมย...
สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่พำนักของศิษย์คนที่สาม “สวัสดีพ่อหนุ่มและแม่นางทั้งหลาย...
ข้า มีนามว่า Options”
Options หมายถึง
ตราสารสิทธิที่ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อหรือผู้ที่ถือ options
ในการซื้อหรือขายสินค้าอ้างอิง ณ ราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าหรือที่เรียกกันว่า
ราคาใช้สิทธิ (Exercise Price หรือ Strike price) ครับ… โดยผู้ซื้อ (Long)
หรือผู้ถือ Options จะได้สิทธิในวันนี้ในการซื้อหรือขายสินค้าอ้างอิงในอนาคต...
ซึ่งหากไม่อยากใช้สิทธิ ก็แค่ปล่อยให้ Options นั้นหมดอายุไป...
สำหรับผู้ที่ขาย (Short) Options นั้น แน่นอนครับว่า
ท่านโดนของเข้าให้แล้ว (แต่อาจจะเป็นของดีก็ได้นะ)...
เพราะท่านต้องขายหรือซื้อสินค้าอ้างอิงในอนาคตตามที่ผู้ถือ Options ต้องการ เรียกว่า มีภาระผูกพัน นั่นเอง... อ่าวแล้วงี้ผู้ขาย Options
ก็เสียเปรียบซิ? ไม่หรอกครับ...
เพราะผู้ขายจะได้รับค่าใช้สิทธิ (premium) จากผู้ซื้อเป็นการชดเชย
(พูดง่ายๆ ก็คือ ผู้ซื้อ Options ต้องจ่ายค่า premium
ให้กับผู้ขาย Options นั่นเอง)
นอกจากนี้ หากท่านเป็นผู้ซื้อ Options นั่นหมายถึง
ท่านมีสิทธิเลือกถูกมั้ยครับ... เพราะฉะนั้น แน่นอนครับว่า
ท่านจะเลือกใช้สิทธิก็ต่อเมื่อตัวท่านได้ประโยชน์... หรือพูดอีกนัยนึงว่า ผู้ขาย Options
ต้องเป็นผู้เสียประโยชน์หากมีการใช้สิทธิเกิดขึ้น... ด้วยเหตุนี้
เพื่อป้องกันจากชิ่งวิ่งหนีของผู้ขาย Options… ตลาดหลักทรัพย์จึงกำหนดให้ผู้ขาย
Options ต้องมีการวางเงินหลักประกัน (Margin) เพื่อเป็นค่ามัดจำด้วยครับ
Options มีจุดเด่นที่สามารถใช้สร้างกลยุทธ์
ทำกำไรได้ในทุกสภาวะตลาด... อีกทั้งยังสามารถนำมาผสมผสานกับ Futures หรือหุ้นเพื่อออกแบบกลยุทธ์ลงทุน รับมือกับตลาด ทั้งในภาวะขาขึ้น ขาลง
หรือตลาดคงตัวด้วยครับ... Options นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2
ประเภท ตามลักษณะการให้สิทธิ (Right) แก่ผู้ถือ Options… ได้แก่:
1.
Call Options หมายถึง ตราสารสิทธิที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือ (ซื้อ) ในการซื้อสินค้าอ้างอิง
ตามราคา ปริมาณ และภายในเวลาที่กำหนด เช่น ถ้าหุ้น BANPU มีราคาตลาดอยู่ที่
450 บาท แล้วผมมี Call Options ที่มีราคาใช้สิทธิซื้อหุ้น BANPU
ที่ราคา 400 บาท... แน่นอนครับ ผมใช้สิทธิ เพราะผมสามารถซื้อหุ้น BANPU
ได้ในราคา 400 บาท ซึ่งถูกกว่าซื้อในตลาดที่ราคา 450 บาท
2.
Put Options หมายถึง ตราสารสิทธิที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือ (ซื้อ) ในการขายสินค้าอ้างอิง
ตามราคา ปริมาณ และภายในเวลาที่กำหนด เช่น ถ้าหุ้น BBL มีราคาตลาดอยู่ที่
195 บาท แล้วผมมี Put Options ที่มีราคาใช้สิทธิขายหุ้น BBL
ที่ราคา 220 บาท... แน่นอนครับ ผมใช้สิทธิ เพราะผมสามารถขายหุ้น BBL
ได้ในราคา 220 บาท ซึ่งสูงว่าขายในตลาดที่ราคา 195 บาท
เสริม: จริงๆแล้ว ใบจองรถ หรือใบจองคอนโด
ที่เราคุ้นเคย ก็จัดเป็น Options ประเภทหนึ่งครับ...
ลองทายซิว่าเป็นประเภทไหน? อิอิ เฉลยเลยละกัน... เป็น Call
options ครับ! เพราะอะไร?
เพราะใบจองก็คือสิทธิในการซื้อ ที่เราสามารถเลือกที่จะซื้อรถหรือคอนโดนั้น
หรือไม่ก็ได้... ถ้าราคาคอนโดสูงขึ้น, เป็นที่ต้องการมากขึ้น
แน่นอนครับว่าราคาใบจองก็ต้องสูงขึ้น... ซึ่งผู้ถือ
(ซึ่งถือใบจองตั้งแต่ตอนราคาคอนโดยังไม่ขึ้น) ก็สามารถนำไปจองนั้นไปขายในตลาด
เพื่อรับส่วนต่างกำไร (Capital gains) โดยไม่ต้องถือรอใช้สิทธิก็ได้
หรือจะถือรอจนหมดอายุเพื่อใช้สิทธิซื้อก็ได้... จะเห็นได้ว่า คอนโด หรือรถ
ก็คือสินค้าอ้างอิงของ Options นั่นเอง... ฉันใด ฉันนั้น
ในตลาดอนุพันธ์บ้านเรา (TFEX) Options ก็มีสินค้าอ้างอิงเช่นเดียวกันครับ
นั่นก็คือ SET50 Index (ยังไม่มีแบบหุ้นรายตัวนะ)
เมื่อรวมตัวกัน เลยชื่อเรียกสุดเท่ห์ว่า SET50 Index
Options!
และแล้ว... ตำนานรักที่ดงดอกเหมย (梅花) ก็จบลง...
ขอฝากข้อคิดไว้นิดครับว่า... แม้ดอกเหมยจะงดงามเพียงใด
แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นดอกไม้ที่อ่อนน้อม ถ่อมตัว... เพราะเป็นดอกไม้เพียงชนิดเดียวที่บานสู้หิมะในฤดูหนาว
และจะไม่บานแข่งกับดอกไม้อื่นที่มักจะบานในฤดูร้อน... ฉันใด ฉันนั้น...
ไม่ว่าบุคคลจะเก่ง ฉลาดเพียงใด ก็ควรรู้จักอ่อนน้อม สงบเสงี่ยม และไม่อวดตัว...
เช่นนี้แล้ว ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ
No comments:
Post a Comment