Wednesday, September 19, 2012

ซุปเปอร์ไซย่า กับ 5 Sectors

สวัสดีครับ,,,, 
เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2555



เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศมาตรการไร้ (กระ) เทียมทานที่ถูกขนานนานว่า QE Infinity (QE3) ออกมา.. ตลาดหุ้นทั่วโลกก็เหมือนมีออร่าปกคลุมไปทั่วร่าง.. (ถ้าในเรื่องดราก้อนบอล ก็คงเป็นตอนที่โงกุนฝึกฝนฝีมือจนสามารถแปลงร่างเป็นซุปเปอร์ไซย่า 3 ได้สำเร็จ.. ย่ะ!) อย่ากระนั้นเลยฟรีเซอร์! (ศัตรูตัวฉกาจของโงกุน) มาสนใจของเล่นใหม่กันดีกว่า.. “Sector Index Futures” ละเป็นไง~ (เปลี่ยนเรื่องง่ายๆ แบบงี้เลยเรอะ!? ใช่ครับ.. อิอิ)
ในวันที่ 29 ตุลาคม ที่จะถึงนี้.. นอกจากจะมีการปรับสัญญา SET50 Index Futures และ SET50 Index Options ให้เป็นรูปแบบใหม่แล้ว ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ยังกำหนดให้มีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับดัชนีหมวดธุรกิจ (Sector Index Futures) ขึ้นถึง 5 หมวดด้วยกันครับ.. ได้แก่ 1. หมวดธนาคาร (BANK), 2. เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ICT), 3. พลังงาน (ENERG), 4. อาหารและเครื่องดื่ม (FOOD), และ 5. พาณิชย์ (COMM).. ดังนั้น ผมจึงขอถือโอกาสนี้นำข้อมูลที่น่าสนใจมาให้ชมกันแบบเบาๆ.. กระต๊าก!
ข้อมูลต่อไปนี้ผมนำมาจาก SETSMART ครับ.. อัพเดทล่าสุดวันที่ 18 ก.ย. นี้เลย.. คร่าวๆก็อยากจะให้ทราบกันว่าเวลาพูดถึง Sector Index Futures ทั้ง 5 หมวด.. เค้าหมายถึงหุ้นอะไรกันบ้าง, ขึ้นมาแล้วกี่ % แล้วจากต้นปี (ในขณะที่ SET ปรับขึ้นมาราว 24%) และ Valuation ตอนนี้เป็นอย่างไร.. ส่วนใครจะใช้ข้อมูลเหล่านี้สำหรับหาหุ้นเด็ดก็ไม่ว่า.. แต่อย่าลืมบอกนักค้าด้วยนะครับ! โชคดี
1. BANK: ปรับขึ้นมาจากต้นปีราว 34%, P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 14 เท่า
2. ICT: ปรับขึ้นมาจากต้นปีราว 46%, P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 22 เท่า
3. ENERG: ปรับขึ้นมาจากต้นปีราว 6%, P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 13 เท่า
4. FOOD: ปรับขึ้นมาจากต้นปีราว 30%, P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 14 เท่า
5. COMM: ปรับขึ้นมาจากต้นปีราว 43%, P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 30 เท่า


Wednesday, September 12, 2012

ฤกษ์ดี.. เลข 13!?

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 12 กันยายน 2555



เป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้วที่เราได้พบกัน และบทความฉบับนี้ก็เป็นครั้งที่ 13 แล้วครับ (ยิ้ม).. เลข 13 นั้น สามารถตีความได้หลายนัย เช่น ในอียิปต์.. เค้าเชื่อว่าเลข 13 เป็นเลขมงคล ตามเรื่องเล่าโบราณในสมัยฟาโรห์ที่ว่า.. ชีวิตและวิญญาณของมนุษย์แบ่งเป็น 12 ขั้น และขั้นที่ 13 นั้น หมายถึงชีวิตนิรันดร์หลังความตาย.. แต่นัยที่เราได้ยินบ่อยๆ มักหมายถึง ลางร้าย หรือบ้างก็ว่าเป็นเลขอาถรรพ์.. จุดเริ่มของความเชื่อเหล่านี้มาจากเหตุการณ์ที่เรียกว่า The Last Supper หรืออาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์.. เป็นที่เล่าสืบกันมาว่าพระองค์ทรงรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายบนโต๊ะที่มีคนทั้งหมด 13 คน และหลังจากวันนั้น (*-*) พระองค์ก็ถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันศุกร์ที่ 13 (Good Friday).. จึงเป็นที่มาของอีกความเชื่อที่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คน 13 คน นั่งทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน คนที่ลุกจากโต๊ะไปก่อน คนนั้น.. จะเป็นคนแรกที่ต้องตาย (ย้ำ.. ความเชื่อนะครับ)
บังเอิญเหลือเกินที่เลข 13 ก็ไปตรงกับวันสำคัญในเดือนนี้.. ที่เราจะได้รู้ผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ (FOMC) ว่าจะมีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ หรือ QE3 หรือไม่? รอบนี้คนคาดหวังเยอะครับ ทั้งอาเจ็ก อาแป๊ะ อาม่า อาซิ่ม (+ +) เนื่องจากรัฐบาลโอบามาชุดนี้ใกล้จะหมดวาระแล้ว น่าจะมีการทิ้งทวน.. ปล่อยของบ้าง อะไรบ้าง ก่อนการเลือกตั้งใหม่.. อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจอเมริกาที่เรียกว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm payrolls).. ก็ประกาศออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักเมื่อวันศุกร์ เพิ่มขึ้นเพียง 96,000 ตำแหน่ง จากที่คาด 125,000 ตำแหน่ง แม้ว่าอัตราการว่างงานจะลดลงจาก 8.3% เป็น 8.1% แต่พี่น้องครับ! มันลดลง เพราะคนขี้เกียจหางาน.. มิใช่มีการจ้างงานเกิดขึ้นจริง (เป็นวิธีการคิดตัวเลขของอเมริกาเค้า) อ้ะจ๊อยยย!? พอตัวเลขไม่ดี ก็เลยมีการเก็งกันครับว่าธนาคารกลางสหรัฐจะอัดฉีดเม็ดเงินรอบใหม่ (QE3) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ.. ซึ่งถ้าฉีด สินทรัพย์เสี่ยง หุ้น ทอง โภคภัณฑ์.. ฉลุย! แต่ถ้าไม่ฉีด.. ผิดหวัง ปรับฐาน.. อากง อาม่าเซ็ง (- -) 
นอกจากนี้.. ประเด็นเรื่องการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนี ที่ว่าการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพของยุโรป (ESM) ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่.. ก็เป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั่วโลกเช่นกันครับ.. สาเหตุที่ต้องสนใจก็เพราะว่า.. หากผ่าน กองทุนดังกล่าวจะสามารถเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดแรกได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาวิกฤตหนี้ภาครัฐและสถาบันการเงินในยุโรปคลี่คลายไปได้อีกเปราะใหญ่ โดยเฉพาะประเทศที่ต้องการเงินมากอย่างสเปน.. แต่หากไม่ผ่าน เรื่องนี้จะถูกนำกลับไปว่ากันใหม่ที่สภาเยอรมนี.. ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรปล่าช้าออกไป.. และล่าสุด.. ผ่านแล้วครับ !#@~!+* แม้จะมีเงื่อนไขอยู่บ้างให้ดูมีสไตส์.. แต่เอาหนะ! ผ่านก็คือผ่าน เย่ :D
ส่วนภาพรวมในตลาดอนุพันธ์.. จะสังเกตได้ว่า ไม่บ่อยนักหรอกครับที่จะเห็น SET50 Index Futures (รุ่นเดือนก.ย.) วิ่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับ SET50 Index หรือบางทีอาจจะแซงด้วยซ้ำในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา.. ตรงนี้อาจจะตีความเบื้องต้นได้ว่า.. ในเมื่อราคาสินค้าล่วงหน้ามีค่ามากกว่าราคาสินค้าปัจจุบัน แสดงว่านักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังว่าสินค้าปัจจุบันควรจะมีราคาสูงกว่านี้.. รึป่าวนะ? ก็ต้องลองคิดกันดูครับ.. ซึ่งถ้าใครติดตามบทความของผมตั้งแต่ครั้งแรก (ขอกด Like ให้ก่อน 10 ที!) ผมได้เขียนไว้อย่างชัดเจนครับว่า ตลาดบ้านเราภาพใหญ่ยังคงเป็นขาขึ้น ระยะสั้นผันผวน (มาก) และต้องตั้งจุด Stop loss ในการเทรดทุกครั้ง.. ซึ่งจนถึงตอนนี้ ผมยังขอยืนยันคำเดิม.. แม้ว่า SET Index จะปรับขึ้นจากวันนั้นกว่า 80 จุดแล้วก็ตาม



Wednesday, September 5, 2012

หน้าผาทางการคลัง.. อุ้ย! หนูจะตกมั้ยเนี่ย.. กรี๊ดดด!?

พี่นักค้าขาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) หมายถึงอะไรหรอ.. หนูได้ยินคนเค้าพูดถึงบ๊อยบ่อย?” สาวนักลงทุนนัยน์ตาคมร่างจิ้มลิ้มกระซิบถามผม เมื่อน้องขอมา มีหรือ พี่จะอยู่เฉย.. จัดไป ชุดใหญ่!!
เขียนเมื่อ 5 กันยายน 2555



Fiscal Cliff
: คุ้นหูกันบ้างไหมกับศัพท์คำนี้ ถ้ายังผมบอกได้เลยครับว่า.. คุณจะคุยกับเค้า.. คุณจะคุยกับเค้า.. คุณจะคุยกับเค้า... รู้เรื่องถ้าคุณอ่านบทความของผมวันนี้จนจบ (- -) จุดเริ่มต้นของ Fiscal Cliff มาจากอะไร? วัยรุ่นชาวไทยพร้อมมั้ย.. ไปครับ! จุดเริ่มมาจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ Ben Bernanke.. ท่านตั้งชื่อนี้ขึ้นเพื่อใช้เรียกสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงสิ้นปีนี้.. เพราะเป็นห้วงเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อฐานะทางการคลังของสหรัฐ.. ซึ่งหากมีการดำเนินการที่ผิดพลาด เศรษฐกิจสหรัฐอาจถึงกับตกหน้าผา (Cliff) ได้เลยทีเดียวเพราะอะไร? มาแลดูกัน
ประเด็นหลักๆที่นักลงทุนทั่วโลกเป็นกังวล มีอยู่ 2 เรื่องครับ 1. เรื่องการสิ้นสุดมาตรการลดหย่อนภาษี ซึ่งประกอบไปด้วย มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ทั่วโลกสำหรับคู่สมรส, มาตรการยกเลิกภาษีมรดก, และมาตรการผ่อนปรนภาษี 2% ที่เก็บจากรายได้ของผู้มีเงินเดือน มาตรการเหล่านี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2546 ในสมัยประธานาธิบดี George W. Bush… เพื่อให้ประชาชนมีรายได้คงเหลือเพิ่มขึ้น จะได้ใช้จ่ายและบริโภคในประเทศมากขึ้น.. เป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไปอีกทาง 2. เรื่องการบังคับใช้มาตรการปรับลดงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 ม.ค. 2556 นี้คืองี้ครับ เมื่อปีที่ผ่านมาอเมริกามีปัญหาภาระหนี้เพิ่มขึ้นจนใกล้ถึงเพดานหนี้ (วงเงินสูงสุดที่รัฐบาลสามารถกู้ได้) ทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะขึ้น เพื่อรองรับหนี้ดังกล่าวโดยเงื่อนไขหนึ่งที่รัฐบาลต้องปฏิบัติคือ การปรับลดรายจ่ายภาครัฐ หรือการขาดดุลของรัฐบาล.. ซึ่งถ้าหากลดไม่ถึงเป้า ก็จะมีการปรับลดแบบอัตโนมัติ (Sequestration) ทันที.. ตรงนี้น่าห่วงครับ.. เพราะจะทำให้รัฐบาลมีเงินใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง.. นอกจากนี้ ยังมีเรื่องมาตรการลดสวัสดิการแก่ผู้ว่างงาน ที่ช่วยลดรายจ่ายภาครัฐอยู่.. ก็กำลังจะหมดอายุลงในปี 2556 เช่นกัน
ทั้งหมดนี้เลยเป็นที่มาของคำถามครับว่า เมื่อมาตรการภาษีเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐหมดลง, งบประมาณรายจ่ายภาครัฐที่ต้องถูกปรับลด พร้อมกับภาระด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาล.. เศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงเปราะบางจะดำเนินไปในทิศทางใด... มีการคาดการณ์กันว่า หาก Fiscal Cliff เกิดแบบจัดเต็ม จะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาในปีหน้าหดตัวลงถึง 1% และอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% (จากปัจจุบันที่ 8.3%) ซึ่งตรงนี้.. แน่นอนครับว่า อาจส่งผลให้อเมริกาถูกปรับลดอันดับเครดิตลงอีกครั้ง.. (หลังจากที่การปรับลดครั้งที่แล้วก็มีสาเหตุมาจากปัญหาเรื่องหนี้สาธารณะ, การขาดดุลงบประมาณ, และกระบวนการกำหนดนโยบายที่อ่อนแอ) นอกจากนี้ อเมริกาก็กำลังเดินเข้าสู่ช่วงสุญญากาศทางการเมือง.. เพราะการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า จะมีผลกระทบต่อความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ.. เนื่องจากพรรคการเมืองทั้งสอง (Democrat และ Republican) ต่างก็มีนโยบายทางการคลังที่แตกต่างกัน (- -)
ผลกระทบ: เบื้องต้นกูรูเค้าก็คาดกันครับว่า.. ภาคธุรกิจไทยที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐคงไม่แคล้วที่จะชะลอตัวลง.. แต่ข้อดีก็คือ อาจมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรสหรัฐ รวมถึงสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (รวมทั้งไทย) มากขึ้น.. ค่าเงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ (ผู้ส่งออกควรเตรียมรับมือ).. อย่างไรก็ดีผมยังเชื่อนะว่า.. ท้ายที่สุด รัฐบาลชุดใหม่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เศรษฐกิจสหรัฐดำเนินต่อไปได้ แม้อาจมีล้มลุกคลุกคลานระหว่างทางบ้างดังนั้นผมในฐานะนักค้า จนกว่าจะเห็นความชัดเจนทางมาตรการการคลังของสหรัฐ ก็ต้องเตรียมกลยุทธ์ไว้รับมือไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร.. แล้วคุณละ เตรียมรึยัง?