เขียนเมื่อ 5 กันยายน 2555
Fiscal Cliff: คุ้นหูกันบ้างไหมกับศัพท์คำนี้… ถ้ายังผมบอกได้เลยครับว่า.. คุณจะคุยกับเค้า.. คุณจะคุยกับเค้า.. คุณจะคุยกับเค้า... “รู้เรื่อง” ถ้าคุณอ่านบทความของผมวันนี้จนจบ (- -) จุดเริ่มต้นของ Fiscal Cliff มาจากอะไร? วัยรุ่นชาวไทยพร้อมมั้ย.. ไปครับ! จุดเริ่มมาจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ Ben Bernanke.. ท่านตั้งชื่อนี้ขึ้นเพื่อใช้เรียกสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงสิ้นปีนี้.. เพราะเป็นห้วงเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อฐานะทางการคลังของสหรัฐ.. ซึ่งหากมีการดำเนินการที่ผิดพลาด เศรษฐกิจสหรัฐอาจถึงกับตกหน้าผา (Cliff) ได้เลยทีเดียว… เพราะอะไร? มาแลดูกัน
ประเด็นหลักๆที่นักลงทุนทั่วโลกเป็นกังวล มีอยู่
2 เรื่องครับ 1. เรื่องการสิ้นสุดมาตรการลดหย่อนภาษี ซึ่งประกอบไปด้วย
มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ทั่วโลกสำหรับคู่สมรส, มาตรการยกเลิกภาษีมรดก,
และมาตรการผ่อนปรนภาษี 2% ที่เก็บจากรายได้ของผู้มีเงินเดือน… มาตรการเหล่านี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2546 ในสมัยประธานาธิบดี George
W. Bush… เพื่อให้ประชาชนมีรายได้คงเหลือเพิ่มขึ้น
จะได้ใช้จ่ายและบริโภคในประเทศมากขึ้น.. เป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไปอีกทาง 2.
เรื่องการบังคับใช้มาตรการปรับลดงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐ
ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 ม.ค. 2556 นี้… คืองี้ครับ
เมื่อปีที่ผ่านมาอเมริกามีปัญหาภาระหนี้เพิ่มขึ้นจนใกล้ถึงเพดานหนี้
(วงเงินสูงสุดที่รัฐบาลสามารถกู้ได้) ทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะขึ้น
เพื่อรองรับหนี้ดังกล่าว… โดยเงื่อนไขหนึ่งที่รัฐบาลต้องปฏิบัติคือ
การปรับลดรายจ่ายภาครัฐ หรือการขาดดุลของรัฐบาล.. ซึ่งถ้าหากลดไม่ถึงเป้า
ก็จะมีการปรับลดแบบอัตโนมัติ (Sequestration) ทันที..
ตรงนี้น่าห่วงครับ.. เพราะจะทำให้รัฐบาลมีเงินใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง..
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องมาตรการลดสวัสดิการแก่ผู้ว่างงาน
ที่ช่วยลดรายจ่ายภาครัฐอยู่.. ก็กำลังจะหมดอายุลงในปี 2556 เช่นกัน
ทั้งหมดนี้เลยเป็นที่มาของคำถามครับว่า…
เมื่อมาตรการภาษีเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐหมดลง,
งบประมาณรายจ่ายภาครัฐที่ต้องถูกปรับลด
พร้อมกับภาระด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาล..
เศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงเปราะบางจะดำเนินไปในทิศทางใด... มีการคาดการณ์กันว่า หาก Fiscal
Cliff เกิดแบบจัดเต็ม
จะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาในปีหน้าหดตัวลงถึง 1%
และอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% (จากปัจจุบันที่ 8.3%) ซึ่งตรงนี้..
แน่นอนครับว่า อาจส่งผลให้อเมริกาถูกปรับลดอันดับเครดิตลงอีกครั้ง..
(หลังจากที่การปรับลดครั้งที่แล้วก็มีสาเหตุมาจากปัญหาเรื่องหนี้สาธารณะ, การขาดดุลงบประมาณ, และกระบวนการกำหนดนโยบายที่อ่อนแอ)
นอกจากนี้ อเมริกาก็กำลังเดินเข้าสู่ช่วงสุญญากาศทางการเมือง..
เพราะการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า
จะมีผลกระทบต่อความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ..
เนื่องจากพรรคการเมืองทั้งสอง (Democrat และ Republican) ต่างก็มีนโยบายทางการคลังที่แตกต่างกัน (- -)
ผลกระทบ: เบื้องต้นกูรูเค้าก็คาดกันครับว่า..
ภาคธุรกิจไทยที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐคงไม่แคล้วที่จะชะลอตัวลง.. แต่ข้อดีก็คือ
อาจมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรสหรัฐ รวมถึงสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ
เข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (รวมทั้งไทย) มากขึ้น..
ค่าเงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
(ผู้ส่งออกควรเตรียมรับมือ).. อย่างไรก็ดีผมยังเชื่อนะว่า.. ท้ายที่สุด
รัฐบาลชุดใหม่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เศรษฐกิจสหรัฐดำเนินต่อไปได้
แม้อาจมีล้มลุกคลุกคลานระหว่างทางบ้าง… ดังนั้นผมในฐานะนักค้า –
จนกว่าจะเห็นความชัดเจนทางมาตรการการคลังของสหรัฐ –
ก็ต้องเตรียมกลยุทธ์ไว้รับมือไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร.. แล้วคุณละ เตรียมรึยัง?
No comments:
Post a Comment