เขียนเมื่อ 26 กันยายน 2555
คำทักทายบ้านๆ แต่ได้ยินแล้วก็รู้สึกดีทุกครั้งไป.. นิแหละความเป็นไทย (^_^) ที่จะมาพร้อมกับ “การไหว้” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยที่ยากจะหาที่ใดมาเทียบเคียง.. อย่าลืมช่วยกันอนุรักษ์สิ่งดีงามเหล่านี้ไว้นะครับ.. กระต๊ากก!?
กลับมาที่เรื่องของเรา.. สัปดาห์นี้นักค้าต้องขอออกตัวก่อนครับว่า เป็นสัปดาห์ที่ “เหนื่อยโฮกๆ” เพราะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติ สถาบัน รายย่อย หรือแม้แต่พอร์ตบริษัทที่ถือหรือลงทุนในสัญญา SET50 Index Futures (รวมทั้ง Single Stock Futures) จะต้องทำการเปลี่ยนสัญญา (Rollover) ที่จะหมดอายุลงในเดือนกันยายนนี้ เพื่อไปถือสัญญาที่จะหมดอายุในเดือนธันวาคมแทน.. ขอกระซิบเบาๆ ว่าบางวัน.. นักค้าหน้าหยก ถึงกับต้องทำรายการซื้อขายที่คิดเป็นมูลค่าตลาดถึง 6-7 พันกว่าล้านบาท.. บร่ะจะละเฮ้ย!!! บอกตรงๆ ครับ.. “เสียวสุดๆ” เพราะเกิดผิดพลาดขึ้นมานักค้าจะทำไงละค้า.. คงตกหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) ไปก่อนที่เศรษฐกิจอเมริกาจะตกในช่วงสิ้นปีนี้เลยกระมัง.. แงๆ (T-T) แต่.. ก็น่ะ.. โม้ซะนิดว่าจนถึงตอนนี้ ยังไม่ตกครับ อิอิ
ในการลงทุน.. ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือแม้แต่สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ.. นักค้าอาศัยหลักการนึงในการวิเคราะห์และเชื่อว่าทุกท่านก็คงรู้จักกันดี.. นั่นก็คือ.. แต่น แตน แต๊นนน! การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) นั่นเองครับ! ฮ่าๆ.. หลักการก็คือ วิธีนี้ เป็นการศึกษาพฤติกรรมของผลิตภัณฑ์หรือสินค้านั้นๆ โดยวิเคราะห์จากราคาและปริมาณการซื้อขาย.. ซึ่งตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า..
- พฤติกรรมของราคาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น ได้ซึมซับเหตุการณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้ว: หมายความว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดก็ตามบนโลก.. ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือผลประกอบการของบริษัทเปลี่ยนไป.. ราคาของผลิตภัณฑ์ จะเป็นไปตามกฎของ Demand and Supply (ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์) ที่ว่า.. หากผู้ซื้อมีมากกว่าผู้ขาย ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้น.. แต่หากผู้ขายมีมากกว่าผู้ซื้อ ราคาสินค้าก็จะตกลง.. easy easy ม่ะ? ซึ่งการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมองไปที่ข้อสรุปของผลกระทบเลย ไม่สนสาเหตุ.. กล่าวคือ ถ้าราคาขึ้น.. นั่นแหละ.. มันดี! ถ้าราคาลง.. นั่นแหละ มัน..!! แต่ถ้าเป็นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) จะมองไปถึงสาเหตุว่าทำไม Demand มันเยอะนะ? Supply ทำไมมันน้อยละ? มีปัจจัยอะไรมากระทบ? แนวๆนี้
- รูปแบบราคาจะเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มเดิม จนกว่าจะเห็นแนวโน้มนั้นอ่อนตัวจนหมดลงไป: ตีความได้คือ เวลาลงทุนหรือเก็งกำไร นักลงทุนทุกท่านกรุณาชิดใน.. เย้ยย ไม่ใช่!? ให้เกาะแนวโน้มใหญ่เข้าไว้ครับ (Trend following) เช่น หากท่านใดลงทุนในตราสารอนุพันธ์ โดยเฉพาะในตลาดไทยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา.. การเก็งกำไรฝั่งซื้อ (Long position) จะได้เปรียบมากกว่าฝั่งขาย (Short position) เพราะแนวโน้มใหญ่เป็นขาขึ้น! พูดง่ายๆคือ รอซื้อดีกว่ารอขาย.. แต่หากท่านใดชอบเสียว คือชอบสวนแนวโน้มอะนะ.. ก็อาจจะเหนื่อยหน่อย.. ต้องมีวินัย กำหนดจุด Stop loss ให้ดี.. หากคิดช้า ทำช้า.. หนัก!
- ประวัติศาสตร์ชอบซ้ำรอย: ไม่รู้ข้อนี้สามารถใช้กับเหตุการณ์อื่นได้รึเปล่า.. เอาอยู่ป่าวละ? แต่ถ้าในเรื่องของหุ้น ตราสารอนุพันธ์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์.. พวกเนี้ย มันจะมี pattern หรือรูปแบบของมันอยู่.. ซึ่งรูปแบบเหล่านั้นก็จะแสดงถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในอดีต.. และถ้าท่านจ้องนานๆ อาจนำมาใช้ทำนายอนาคตได้นะ (ไม่ได้โม้!).. พวกเนี้ย ผมว่ามันเป็นศิลปะ.. กราฟมันก็แสดงถึงอารมณ์ของนักลงทุน ว่ากลัวหรือกล้ากันอยู่
- กฎการวิเคราะห์ทางเทคนิคทั้งหลายทั้งมวลจะใช้ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หากปัจจัยพื้นฐาน (ในกรณีของหุ้น) ไม่เปลี่ยน: ข้อนี้แถม เพราะเพิ่งบอกหยกๆ ว่าการวิเคราะห์เทคนิคไม่สนอะไรนะ.. ดูราคากับปริมาณการซื้อขาย (Volume) ก็พอ.. แต่เอาหน่ะ ถ้าจะให้สมบูรณ์ก็ศึกษามันไปเถอะครับ ทุกรูปแบบนั่นแหละ.. จะได้หล่อๆ (สวยๆ) กัน ไป.. กระต๊าก!?
สุดท้ายนี้อยากจะฝากไว้ครับว่า.. สัญญาณของการวิเคราะห์ทางเทคนิค มันไม่ได้ถูกเสมอไป.. บางรูปแบบ ก็มีข้อจำกัด.. การใช้ Indicators หรือเส้นค่าเฉลี่ย มันก็รายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง (ผมอาจจะเล่าถึงในคราวถัดๆไป).. สำคัญคือ คุณต้องเตรียมทางหนีทีไล่ให้พร้อม หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน.. เช่นทำงานบนตึกสูง.. รู้รึยังว่าทางหนีไฟอยู่ที่ไหน?.. และ “ประสบการณ์” จะช่วยคุณได้.. ผมมั่นใจ :)
No comments:
Post a Comment