Wednesday, October 2, 2013

บันไดแห่งความกังวล

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2556

สถานการณ์ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีหลายเรื่องให้ลอยคอรอลุ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็มีทั้งผิดหวังสมหวังจีรังบ้างไม่ยั่งยืนบ้าง แต่มีอยู่ 2 เหตุการณ์สำคัญที่ผมอยากทบทวนให้ฟังครับ

1. เมื่อคืนวันพุธที่ 18 กันยายน 2556 วันที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศคงมาตรการอัดฉีดเงิน (QE) มูลค่า 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือนต่อไป พร้อมกับปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯปีนี้เหลือ 2-2.3% จาก 2.3-2.6% และ 2.9-3.1% จาก 3-3.5% ในปีหน้า ข่าวนี้ถือว่า Surprise เพราะนักวิเคราะห์และฝูงชนส่วนใหญ่คาดกันว่า Fed จะลดขนาดเงินอัดฉีดอย่างน้อยก็ 1-2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผลก็คือตลาดหุ้นไทยกระหน่ำครับ กระหน่ำขึ้น ดัชนีเปิดกระโดดทันทีในวันถัดมาและปิดบวกอย่างสวยหรูไป 49.93 จุด หรือ 3.47%

แต่หลังจากนั้น เหมือนดั่งสวรรค์แกล้ง ราว 2 สัปดาห์ให้หลังถัดมา หุ้นไทยกลับไถๆลงมาเรื่อยๆ จนหลงจ้งแล้วลบกว่า 100 จุด ปิดไปที่ 1383.16 ในวันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2556

ความกังวลเรื่องลด QE หายไป แล้วทำไมมูลค่าหุ้นไทยถึงหายตาม?

2. ช่วงเช้าเวลาดี 11.00 น. ของวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2556 วันที่เราจะได้รู้กันว่ารัฐบาลสหรัฐจะโดนชาวดัตช์ Shutdown หรือไม่? กลัวมั้ยละครับ เสียวมั้ยละครับ... มักๆ... บ่องตง... พอผลประกาศออกมาเป็น Partially Shutdown ปุ๊ป (คือปิดในบางหน่วยงาน) หุ้นไทยก็ลงกระป๊าปๆๆ ฟิวเจอร์สก็ลงปู๊ดๆๆ ในช่วง 10 นาทีหลังประกาศ

แต่หลังจากนั้นกลับขึ้น...

บทสรุปของผมก็คือ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับความกังวลเหล่านี้มากครับ เพราะแม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาด เหนือคาด หรือผิดคาด แท้จริงแล้วเราต้องกลับสู่ความเป็นจริงที่ว่า แล้วมันเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานแค่ไหน มันทำให้กำไรของบริษัทที่เราลงทุนลดลงหรือเปล่า? ซึ่งความจริงแล้วในแง่ตัวเลขเศรษฐกิจของบ้านเราถือว่าค่อยๆดีขึ้นด้วยซ้ำ ตัวเลขส่งออกไทยในเดือนสิงหาคมกลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยโต 3.9% YoY จากที่หดตัว 1.48% YoY ในเดือนกรกฎาคม และหลงจ้งทำให้ตัวเลขดุลบัญชีเดือนสะพัด (Current account) กลับมาเป็นเกินดุล (Surplus) อย่างสวยหรูที่ 1.2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

เคยได้ยินคำว่าตลาดหุ้นชอบปีนบันไดแห่งความกังวล (Wall of Worries) ไหมครับ?

ว่าที่จริง ผมกลับรู้สึกชอบเวลาที่มีความกังวลเยอะๆ เพราะนั่นหมายถึงทุกคนได้ตระหนักถึงผลลัพธ์ของเหตุการณ์ร้ายๆที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว แต่หากเมื่อใดที่ความกังวลหายไปหมดเกลี้ยง เมื่อนั้นอาจถึงเวลาที่เรา..

ต้องหันไปปลูกผักทำสวนกันซักพักแล้วละครับ

Wednesday, September 25, 2013

Futures Rollover

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 25 กันยายน 2556

สัปดาห์นี้นับว่าเป็นสัปดาห์หฤโหดของ Trader สถาบันอย่างยิ่งครับ.. เพราะนอกจากความผันผวนของตลาดที่ขึ้นๆลงๆซ้ายขวาๆ XOXO หยั่งกับสูตรในเกมยูยูฮาคุโชแล้ว (ใครไม่รู้จักเชิญ th.wikipedia.org/wiki/คนเก่งทะลุโลก) ยังเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการเทรด SET50 Index Futures รุ่นตัว U อีก.. จึงไม่แคล้วที่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศที่ผมดูแล จะเปลี่ยนถ่าย (Roll over) ไปถือสัญญารุ่นที่หมดอายุเดือนธันวาคม (S50Z13) แทน.. เพื่อนๆท่านใดที่ถือ Series U (กันยายน) อยู่ก็อย่าเพลินนะครับ มีเวลาให้ Roll over จนถึงวันศุกร์ที่ 27 กันยายน เวลา 16.30 น. มิเช่นนั้นระบบจะทำการชำระราคาให้ท่านอัตโนมัติ โดยค่าที่ใช้คำนวณจากดัชนี SET50 ในช่วง 15 นาทีสุดท้ายและค่าราคาปิดของวันนั้น ตัดค่าที่มากที่สุด 3 ค่า และค่าที่น้อยที่สุด 3 ค่าออก และใช้ค่าทศนิยม 2 ตำแหน่ง.. ที่ต้องซับซ้อนขนาดนี้ ก็เพราะป้องกันการทำราคานั่นเองครับ


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ผมได้มีโอกาสนั่งทานข้าวกับรุ่นพี่ที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์คนเก่งดีกรีนักจัดรายการวิทยุช่องหนึ่ง บทสนทนานั้นสั้นนัก เพราะลำพังข้าวและไก่ที่อยู่ในปากเราทั้งคู่ ก็กินเวลาในการขยับปากไปมากแล้ว แต่ก็มีศัพท์ที่น่าสนใจหลุดมาอยู่ 2 คำ เลยอยากนำมาแชร์ครับ.. Alpha และ Beta

เอาภาษาอังกฤษก่อน:
Alpha is a measure of an investment's performance compared to a benchmark, such as the SET index. It's a mathematical estimate of the return, based basically on the growth of EPS.
Beta is based on the volatility - extreme ups and downs in prices or trading - of the stock or fund, something not measured by alpha. But beta, too, is compared to a benchmark, like the SET index. You can think of beta as the tendency of a security's returns to respond to swings in the market.
แต่เรามักจะได้ยินคนพูดถึง Alpha port และ Beta port มันคืออีหยัง?
Alpha port หมายถึง พอร์ตการลงทุนที่ต้องการได้ผลตอบแทนมากกว่าที่ตั้งไว้ โดยแนวทางการลงทุนจะเน้นไปในทาง active หวังผลตอบแทนสูง ใช้ Asset allocation และอาจมีการใช้อนุพันธ์เช่น SET50 Index Futures (เพิ่ม Leverage) ด้วยก็ได้

ส่วน Beta port หมายถึง พอร์ตการลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนตาม Index หรือผลตอบแทนคงที่แน่นอน ชิลๆ

จบดื้อๆแบบนี้


Wednesday, September 18, 2013

ฝรั่งเปลี่ยนใจ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 18 กันยายน 2556

“SET เลือกที่จะไปต่อ พร้อมๆกับการกลับมาซื้อของ ฝรั่งในเดือนกันยายน ที่ไม่รู้ว่าพี่แก ตกรถหรือ ตกใจเพราะเห็นหุ้นไทย amazing ขึ้นมากว่า 200 จุดในเวลาไม่ถึงเดือน.. ผมเลยนำกราฟที่เคยให้ชมกันเมื่อไม่นานมานี้มาอัพเดทให้ดูอีกครั้งครับ จุดที่น่าสนใจก็คือ:

1. ดัชนี SET ทะลุขึ้นมายืนเหนือแนวรับสำคัญที่ 1342 (61.8% Fibonacci วัดจาก low เมื่อปี 2011) ได้อย่างหมดจด ทำให้ภาพในระยะกลางดัชนีกลับไปเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1342-1650 ได้อย่างสบายแฮร์อีกครั้ง
2. ดัชนี SET ในสัปดาห์นี้ผุดหัวโผล่ขึ้นมาเหนือเส้น Downtrend line ได้สำเร็จ พร้อมๆกับการเบรกของตลาดหุ้นใหญ่หลายๆตลาดทั่วโลก เช่น จีน ญี่ปุ่น และเยอรมัน
3. MACD ซึ่งเป็นสัญญาณบอกภาพระยะกลาง กำลังร้องส่งสัญญาณซื้อ


นอกจากนี้ แค่กราฟอย่างเดียวอาจไม่หนำใจแฟนๆนักค้าหน้าหยก.. ลองดูข้อมูล โฟลวฝรั่งด้านล่างประกอบครับ

เป็นที่ชัดเจนไหมครับว่า ฝรั่งกลับมาสอยหุ้นใน TIP ในเดือนกันยายนนี้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากดูยอดตั้งแต่ต้นปีจะพบว่า ไทยเราโดยกระหน่ำขายมากที่สุดในทวีปเอเซีย ในขณะที่ญี่ปุ่นนิ โอะ ไฮ โยะ ซื้อกันเยอะจัง.. ฉะนั้นผมก็หวังว่าหากฝรั่งจะเปลี่ยนใจกลับมาจริงๆ ก็ขอให้กลับมาที่ไทยเราเยอะที่สุดละกัน

อย่างไรก็ดี อย่าเพิ่งชะล่าใจไปนะครับ เพราะไม่รู้ว่าการกลับมาซื้อของฝรั่งรอบนี้จริงหรือหลอก (ก็ใครมันจะไปรู้... ละ~) แต่อย่างน้อยถ้าจริง เราคงได้หัวเราะโฮกๆพร้อมกับพูดกับหรั่งตกรถว่า...

ช้าไปแล้วต๋อย                                                                                                                                          

Wednesday, September 11, 2013

อนาคต

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 11 กันยายน 2556

ผ่านพ้น ห้วงเวลาผ่อนคลาย ไปได้ 2 อาทิตย์ หุ้นไทยก็กลับมาเคาะหน้าประตูหมายเลข 1400 ได้อีกครั้ง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะดัชนีได้เปิดรูโบ๋ (Gap) ไว้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2556 ที่ 1380-1400 พร้อมๆกับ MACD ที่ส่งสัญญาณ Bullish Divergence ในภาพรายวัน (ดัชนีลง สวนทางกับ Indicator ที่ปรับขึ้น) ได้ช่วยกันบึ้ดจั้มบึ้ดให้ตลาดกลับมาสดใสอีกครั้ง

จากนี้ไปยังไง? ก่อนอื่นก็ขอชะแว้ปมาอัพเดทสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์เล็กน้อยครับ ซึ่งในช่วงเช้าวันนี้เจ้า S50U13 ก็ได้เคลื่อนไหวไล่จี้ SET50 Index มาติดๆ ห่างกันเพียงเอื้อมมือหรือประมาณ 4 จุดเท่านั้น หรือศัพท์ทางเทคนิคเรียกว่า Basis เท่ากับ -4


ทั้งนี้ทั้งนั้นและทั้งโน้น เจ้า Basis เคยลงไปต่ำสุดถึง -18.82 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2556 (นับตั้งแต่ที่ S50U13 active) โดยวันนั้น SET Index ปิดที่ 1355 และในอีก 5 วันทำการถัดมา ตลาดก็ลงมาเกือบ 100 จุด

คำว่า Future แปลว่า อนาคต, SET50 Index Futures แปลตรงๆ ก็คือ อนาคตของ SET50 Index ดังนั้น การที่ราคา Futures ลงไปก่อนล่วงหน้าเยอะๆ ก็เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งครับว่า อาจมีการปรับตัวของ SET50 Index ได้.. เพราะประโยชน์ข้อนึงของ Futures ก็คือ Price Discovery คือ ใช้ทำนายราคาของสินค้าอ้างอิง (Spot) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า

แล้วถ้าสมมติว่าเจ้า Basis จากปัจจุบันที่ -4 ถ่างออกมาเป็น -10 กว่าอีกครั้งละ จะเกิดอะไรขึ้น?

ถ้าเป็นเช่นนั้น ตามหลักแล้วตลาดก็ควรจะพักหรือย่อครับ (ลองดู Indicator อื่นประกอบด้วย) เพราะมองในเชิง relative ก็ถือว่าราคา Futures ลงไปล่วงหน้าเยอะขึ้นละ.. แต่หาก Basis จาก -4 กลับขึ้นและกลายเป็นค่าบวกขึ้นมา แสดงว่า นักลงทุน Bullish มากขึ้นละ ตลาดน่าจะขึ้นต่อได้ไม่ยาก อย่างไรก็ดี ณ เวลาที่ผมเขียนอยู่นี้ หุ้นไทยขึ้นมาแล้วกว่า 130 จุด หรือราว 10% จาก low บริเวณ 1260 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2556

พักบ้างมั้ย หรืออยากจะไปต่อ?

Wednesday, September 4, 2013

จับจังหวะหัวใจ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 4 กันยายน 2556

เห็นตลาดกลับมาบวกได้กว่า 60 จุด (นับจาก low เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจนถึงอังคารนี้ช่วงเช้า) ผมก็สบายใจไปเปราะนึงครับ แต่ที่ไม่ค่อยสบายใจก็คือ หากมองในเชิงเทคนิคแล้ว SET Index มีโอกาสเจอแนวต้านสำคัญที่แถว 1342 (61.8% Fibonacci) ซึ่งหากทะลุไปได้อย่างทะมัดทะแมง ก็เป็นไปได้ว่า เจ้า Index น้อยๆของเราจะไปโลดแล่นต่อในกรอบมหาสมุทรที่ 1342 – 1650 ในขณะที่โอกาสลงก็ยังมีให้เห็นอยู่เนืองๆ โดยจากรูปมี 2 ด่านลึกสุดใจอยู่ที่ 1247 (50% Fibonacci) และ 1152 (38.2% Fibonacci)


ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่อยากให้ตื่นตระหนกครับ เพราะการวิเคราะห์ทางเทคนิคแท้จริงแล้วมันก็คือ การเดาดีๆนี่เอง เพียงแต่ว่ามีการนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์อย่างมีหลักการ ซึ่งบางครั้งมันก็ทำนายได้ดี บางครั้งก็ไม่ได้ดอก.. ถูกๆผิดๆว่ากันไป แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้จังหวะหัวใจของมันครับ ดังที่เค้ากล่าวกันว่า History doesn't repeat itself, but it does rhyme.

ส่วนคนเทรดฟิวเจอร์สช่วงนี้ก็เหนื่อยหน่อย แรงเหวี่ยงมันเยอะครับ ซึ่งผมได้เคยแนะนำเทคนิคการเทรดบางส่วนไปในบทความ หัวใจของการลงทุนสไตส์ไวไว เมื่อเดือนมิ.ย. (จริงๆจะเรียกว่าเก็งกำไรก็คงไม่ผิด) ในวันนี้จึงอยากจะเสริมครับว่า นอกจากการกำหนดจุด stop loss ที่ว่าสำคัญแล้ว ต้องเลือกจุดที่จะ stop ให้ดีด้วย เช่น หากขาย (Short) SET50 Futures ที่ราคา 875 แต่กำหนดจุด stop loss ไว้ที่ 877 ผมว่ามันก็ใกล้ไปหน่อย หรือหากซื้อ (Long) ที่ 875 พอขึ้นไป 876.5 ก็รีบทำกำไรซะละ นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำเลย ก็เร็วไปหน่อยครับ.. ซึ่งตรงนี้เส้นค่าเฉลี่ย (Moving average) น่าจะช่วยท่านได้ ลองใช้ดูครับ ไม่ยาก

Wednesday, August 28, 2013

ห้วงเวลาผ่อนคลาย

สัปดาห์นี้ relax ครับ,
เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2556

ก่อนที่จะไปรู้ว่าตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account) ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ว่าเป็นอย่างไร ก็เป็นที่ชัดเจนครับว่าการส่งออกในเดือนก.ค.ติดลบไปแล้ว 1.48% YoY หรือคิดเป็นมูลค่า 19.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ.. ลำบากครับบ่องตง ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ โอกาสที่การส่งออกจะกลับมาโตทั้งปีได้ 5-7% ตามที่รัฐบาลหวังแทบไม่มีทาง (Mission impossible) เผลอๆจะโตแค่ 2-3% เอา เพราะต้องอย่าลืมครับว่า แม้ค่าเงินบาทจะกลับมาอ่อน แต่มันก็อ่อนทั้งภูมิภาค เพราะฉะนั้นในเชิงการแข่งขันก็ถือว่าผู้ส่งออกเราก็ไม่ได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านเท่าใดนัก


โดยปรกติแล้วการส่งออกจะโตประมาณ 1.7 เท่าของ GDP ครับ ฉะนั้นถ้าประเมินแบบคร่าวๆว่าทั้งปีส่งออกโตได้ซัก 2.5% เศรษฐกิจไทยปีนี้ก็น่าจะโตได้แบะๆที่ 4.25% ถือว่าไม่มากไม่น้อยแต่ก็ไม่ดี.. ลุ้นตัวเลข Current account กันดีกว่า street คาดกันว่าจะ -550 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อย่าลืมว่าแค่ Trade balance อย่างเดียว (ส่วนหนึ่งของ current account) ในเดือนก.ค.ที่เพิ่งประกาศก็ปาไป -2.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯแล้ว (เพราะ Import โต) เผลอๆหลงจ้งจะติดลบเป็นพันล้านเอา.. ยังดีที่ท่องเที่ยวเราแจ่ม ไม่เช่นนั้นก็ได้แต่สวดมนต์ภาวนาละครับ

ที่จั่วหัวว่าให้ relax ก็เพราะว่าจากที่ให้กฎคุณชายหมอไป 5 ข้อเมื่อสองสัปดาห์ก่อน (ที่เน้นๆก็คือ short futures เพื่อ hedge, เตรียมเงินสด, ลิสต์รายชื่อหุ้น) ตอนนี้ก็ใกล้เวลาได้ใช้งานแล้วครับ ผมเองก็เตรียมเก็บ LTF เร็วๆนี้ รวมถึงนั่งดูเตรียมจิ้มกองทุนหุ้นที่น่าสนใจแล้วละ.. อย่าลืมนะครับ เวลานี้ไม่ใช่เวลากลัว หรือถ้าจะกลัว ก็ควรจะกลัวน้อยกว่าตอนดัชนีตอน 1460 เมื่อต้นเดือนส.ค. หรือตอน 1650 เมื่อเดือนพ.ค. -- พื้นฐานประเทศในระยะยาวยังแข็งแกร่ง ทุนสำรองก็มีมากมายมหาศาลป้องกันเรื่อง capital outflows ได้สบายๆ.. บริษัทดีๆพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนไปมากราคาก็ลงมาจนเริ่มน่าสนใจละ.. Time to relax แล้วครับ

Selectively BUY

Hi,
Written on Aug 28, 2013

I know you might get bored with the bearish stuffs espoused day in day out. Recalling first time I told you to aggressively sell was when the SET at high of 1648 on May 22 (in my “Due for a Pullback” note). Second time was over the first half of this month when the index was at high of 1460 and said clearly that the SET could reach 12xx levels before the Fed’s meeting in Sept. Now, it comes, with the Thai bourses down more than 20% from this year’s high. Therefore, I urge you to be a stock buyer rather than a seller at the moment. Surprise!? Yes bottom hasn’t been found yet and the SET could sink lower to 1200-1230 levels, but I truly love this environment, in the wake of fear and horror. It’s the time to selectively buy stocks not to panic sell follow the herd. No hurry. Gently buy.

For futures, for those who have been the Short Gunners since the onset of this month, I suggest gradually closing partial positions to the downside of the SET, maybe till the range of 1230-1260. Importantly, Energy + Petro sectors here account for ¼ of the Thai market. So what? As crude oil this morning surged 3% to settle at USD109.66 a barrel on concern the US will take military action against Syria, marked the highest close for a most-active contract since Feb 24, 2012, it might help sustain the market to some extent.

BOT -- Capital outflows are manageable  
Given the country’s large international reserves (USD172 billion, 2.9 times of the countries short-term debt), Thailand will have enough liquidity to provide foreign investors when they need to move their capital out of the country, unlike 1997, when short-term foreign debt was USD47.7 billion while the country’s foreign reserves totaled USD38.7 billion. I think Thailand’s economic fundamentals were still sound despite a current-account deficit in the first half of the year. “The deficit was due mainly to gold imports. If those were excluded, the current account would have remained in a surplus,” BOT deputy governor Pongpen added.

Wednesday, August 21, 2013

คำตอบสุดท้าย

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 21 สิงหาคม 2556

ในบทความสัปดาห์ที่แล้วคุณชายหมอได้แนะนำกฎเหล็กไป 5 ข้อ.. จากวันนั้นที่ดัชนีปิดไปที่ 1460 จนเพลานี้ SET น้อยๆของเราก็ลงมาร่วมร้อยจุด ก็หวังว่าท่านจะได้ป้องกันความเสี่ยงกันไปตามสมควรนะครับ

สัปดาห์นี้มีอะไร? ก็อย่างที่ทุกท่านได้ทราบกันตั้งแต่ช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 19 ส.ค. เวลา 9.30 น. ครับว่า เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่สภาวะถดถอย (Recession) ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ไปเสียแล้ว โดย GDP ติดลบถึง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่เราเข้าสู่สภาวะถดถอยนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2008 เลยละ


ตรงนี้ถามว่ามีผลอย่างไร? แน่นอนครับ ตอนนี้เราก็สามารถพูดได้เต็มปากแล้วครับว่าประเทศไทยไม่ตกเทรนนะ เพราะในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป อเมริกา ต่างทยอยกันออกจากสภาวะถดถอย ไทยเราก็ถดถอยแทน (ฮา)... ล้อเล่นนะครับ! ความจริงก็คือผมคิดว่าสถานการณ์มันยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นดอก อย่าเพิ่งไปตื่นอกตกใจอะไรมากมาย (เป็นแค่ Technical Recession) เพราะถ้าดูตัวเลขไตรมาสสองเราก็ติดลบเพียง 0.3% QoQ เท่านั้น (คืออีกนิดเดียวมันก็จะบวกอยู่แล้ว) และถ้าสังเกตจากชาร์ตด้านบน ก็จะเห็นว่าเส้น GDP ที่เป็น QoQ ส่วนใหญ่มันก็เกาะๆอยู่ในช่วง 0-3 นี้แหละ มีน้อยครั้งที่ออกนอกลู่ไปบ้าง อีกทั้งด้วยอัตราว่างงานของไทยที่อยู่ต่ำเพียง 0.71% เพราะงั้นประเมินในเบื้องต้นเศรษฐกิจไทยก็น่าจะกลับมาเป็นบวกในไตรมาสถัดไปได้ไม่ยากหากมีการบริหารจัดการที่ดีครับ รวมถึงเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่เริ่มฟื้นก็น่าจะช่วยผลักดันให้ภาคการส่งออกของไทย (70% ของ GDP) ดูดีขึ้นได้บ้าง ประกอบกับค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี (เทียบ USD) ผมเลยเชื่อเหลือเกินว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยแม้จะไม่เฉิดฉาย แต่ก็จะไม่ตกหลุมดำเช่นกันครับ

ในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์เองก็ต้องยอมรับครับว่า ฝรั่งกลับมาเป็นตัวการทำให้ดัชนีลงอีกครั้ง.. ขาย ขาย ขาย เป็นคำตอบสุดท้ายที่ผมเปรยๆกับลูกค้าสถาบันต่างประเทศไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่อย่าเพิ่งไปถือโทษโกรธเค้านะครับ เพราะมันก็เป็นไปตามเกม และเค้าก็ขายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดฯเช่นกัน (หนึ่งในกลุ่ม TIPs) แต่อินโด มันมีประเด็นมากกว่าเราอยู่เล็กน้อย เพราะประเทศเค้าประสบกับภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง -4.4% ของ GDP ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 17 ปี (รูปล่าง) แถมเหล่า policy makers ก็ทำเปรี้ยวอีกด้วยการขึ้น reserve requirement ratio (RRR) และสร้างเงื่อนไขให้ธนาคารบางกลุ่มต้องกันสำรองเพิ่มหาก loan-to-deposit ratio ไม่ถึงเกณฑ์ ตรงนี้นักลงทุนกลัวครับ เพราะตีความได้ว่าเป็นการดึงเงินออกจากระบบ ทำให้สภาพคล่องภายในประเทศลดลง.. ในขณะที่ไทยเราแม้จะห่างไกลจากอินโดในเรื่องนี้ ก็แต่ประมาทไม่ได้นะครับ เพราะบัญชีเดินสะพัดเราก็กลับมาติดลบซะแล้ว (-5% ใน Q2 เทียบกับ GDP รายไตรมาส) ซึ่งปกติเราไม่ค่อยจะลบกับเค้าหรอก (หยวนให้ก็เฉพาะ Q2 เพราะวันหยุดเยอะ) สาเหตุหลักก็น่าจะมาจากเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งโป๊ะในช่วงครึ่งปีแรกที่กดดันให้การส่งออกชะลอตัวนั่นละครับ แต่หลังจากที่บาทเริ่มกลับมาอ่อนในช่วงนี้ ผมก็เดาว่าครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นนะ