Wednesday, August 21, 2013

คำตอบสุดท้าย

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 21 สิงหาคม 2556

ในบทความสัปดาห์ที่แล้วคุณชายหมอได้แนะนำกฎเหล็กไป 5 ข้อ.. จากวันนั้นที่ดัชนีปิดไปที่ 1460 จนเพลานี้ SET น้อยๆของเราก็ลงมาร่วมร้อยจุด ก็หวังว่าท่านจะได้ป้องกันความเสี่ยงกันไปตามสมควรนะครับ

สัปดาห์นี้มีอะไร? ก็อย่างที่ทุกท่านได้ทราบกันตั้งแต่ช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 19 ส.ค. เวลา 9.30 น. ครับว่า เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่สภาวะถดถอย (Recession) ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ไปเสียแล้ว โดย GDP ติดลบถึง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่เราเข้าสู่สภาวะถดถอยนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2008 เลยละ


ตรงนี้ถามว่ามีผลอย่างไร? แน่นอนครับ ตอนนี้เราก็สามารถพูดได้เต็มปากแล้วครับว่าประเทศไทยไม่ตกเทรนนะ เพราะในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป อเมริกา ต่างทยอยกันออกจากสภาวะถดถอย ไทยเราก็ถดถอยแทน (ฮา)... ล้อเล่นนะครับ! ความจริงก็คือผมคิดว่าสถานการณ์มันยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นดอก อย่าเพิ่งไปตื่นอกตกใจอะไรมากมาย (เป็นแค่ Technical Recession) เพราะถ้าดูตัวเลขไตรมาสสองเราก็ติดลบเพียง 0.3% QoQ เท่านั้น (คืออีกนิดเดียวมันก็จะบวกอยู่แล้ว) และถ้าสังเกตจากชาร์ตด้านบน ก็จะเห็นว่าเส้น GDP ที่เป็น QoQ ส่วนใหญ่มันก็เกาะๆอยู่ในช่วง 0-3 นี้แหละ มีน้อยครั้งที่ออกนอกลู่ไปบ้าง อีกทั้งด้วยอัตราว่างงานของไทยที่อยู่ต่ำเพียง 0.71% เพราะงั้นประเมินในเบื้องต้นเศรษฐกิจไทยก็น่าจะกลับมาเป็นบวกในไตรมาสถัดไปได้ไม่ยากหากมีการบริหารจัดการที่ดีครับ รวมถึงเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่เริ่มฟื้นก็น่าจะช่วยผลักดันให้ภาคการส่งออกของไทย (70% ของ GDP) ดูดีขึ้นได้บ้าง ประกอบกับค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี (เทียบ USD) ผมเลยเชื่อเหลือเกินว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยแม้จะไม่เฉิดฉาย แต่ก็จะไม่ตกหลุมดำเช่นกันครับ

ในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์เองก็ต้องยอมรับครับว่า ฝรั่งกลับมาเป็นตัวการทำให้ดัชนีลงอีกครั้ง.. ขาย ขาย ขาย เป็นคำตอบสุดท้ายที่ผมเปรยๆกับลูกค้าสถาบันต่างประเทศไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่อย่าเพิ่งไปถือโทษโกรธเค้านะครับ เพราะมันก็เป็นไปตามเกม และเค้าก็ขายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดฯเช่นกัน (หนึ่งในกลุ่ม TIPs) แต่อินโด มันมีประเด็นมากกว่าเราอยู่เล็กน้อย เพราะประเทศเค้าประสบกับภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง -4.4% ของ GDP ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 17 ปี (รูปล่าง) แถมเหล่า policy makers ก็ทำเปรี้ยวอีกด้วยการขึ้น reserve requirement ratio (RRR) และสร้างเงื่อนไขให้ธนาคารบางกลุ่มต้องกันสำรองเพิ่มหาก loan-to-deposit ratio ไม่ถึงเกณฑ์ ตรงนี้นักลงทุนกลัวครับ เพราะตีความได้ว่าเป็นการดึงเงินออกจากระบบ ทำให้สภาพคล่องภายในประเทศลดลง.. ในขณะที่ไทยเราแม้จะห่างไกลจากอินโดในเรื่องนี้ ก็แต่ประมาทไม่ได้นะครับ เพราะบัญชีเดินสะพัดเราก็กลับมาติดลบซะแล้ว (-5% ใน Q2 เทียบกับ GDP รายไตรมาส) ซึ่งปกติเราไม่ค่อยจะลบกับเค้าหรอก (หยวนให้ก็เฉพาะ Q2 เพราะวันหยุดเยอะ) สาเหตุหลักก็น่าจะมาจากเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งโป๊ะในช่วงครึ่งปีแรกที่กดดันให้การส่งออกชะลอตัวนั่นละครับ แต่หลังจากที่บาทเริ่มกลับมาอ่อนในช่วงนี้ ผมก็เดาว่าครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นนะ

 

No comments:

Post a Comment