ชอบบทความเกี่ยวกับทองคำ 2 ตอนนี้มากครับ ผมเลยขออนุญาตผู้เขียน คุณวิน พรหมแพทย์, CFA (จากเพจ SSO Saving Club) นำมาโพสเก็บไว้ในบล็อกส่วนตัวเพื่อสะดวกต่อการอ่านทบทวน และเผื่อแผ่ไปถึงผู้ที่แวะมาเยี่ยมบล็อกผมด้วย ขอขอบคุณพี่วินไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งครับ
ต้นทุนการขุดทอง ที่ไหนแพงกว่ากัน?
ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกผันผวนเยอะมาก ขึ้นไปสูงสุดที่ $1,780 ต่อออนซ์ และลงไปต่ำสุดที่ $1,200 ต่อออนซ์ จึงมีคนถามผมเยอะว่า ราคาทองควรจะเป็นเท่าไหร่? คำตอบคือ เป็นเรื่องยากมากที่เราจะคาดราคาทองคำครับ .. เราอาจจะพอประเมินมูลค่าพันธบัตรหรือหุ้นได้โดยคิดมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) จากดอกเบี้ยหรือเงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต แต่ทองคำเป็นการลงทุนชนิดพิเศษ คือ มันไม่จ่ายดอกเบี้ยหรือปันผล จึงประเมินมูลค่าได้ยากครับ
แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอจะบอกได้ คือ การขุดทองคำขึ้นมาจากใต้ดินมี "ต้นทุน" ครับ ทีมงานของผมไปเจอข้อมูลของ Virtual Capitalist เค้าเปรียบเทียบ "ต้นทุน" การขุดทองคำ (นับเฉพาะ Cash Cost คือ ต้นทุนการขุดจริงๆ ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ) พบว่า
- อเมริกาเหนือ มีต้นทุน $598/oz ถูกที่สุดในโลก
- อัฟริกาใต้ มีต้นทุน $957/oz แพงที่สุดในโลก
ทั้งนี้ หากรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองทอง ต้องบวกเพิ่มจาก Cash Cost ไปอีกโดยเฉลี่ยประมาณ $200-300/oz ครับ
การรู้ต้นทุนนี้ ทำให้เราคาดเดาได้ว่า หากราคาทองคำลงไปต่ำมากกว่านี้ เช่น ต่ำกว่า $1,000/oz ก็จะมีเหมืองทองในบางประเทศที่ขุดทองขายแล้วขาดทุนครับ ^^
ที่มา: www.virtualcapitalist.com
ความจริง 10 ข้อที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ “ทองคำ”
1. ทองคำเป็นของที่ทำลายไม่ได้ เมื่อขุดขึ้นมาแล้วก็ยังอยู่บนโลกต่อไปไม่ได้สูญสลายไปไหน ... คาดว่ามีทองคำที่ขุดขึ้นมาบนโลกแล้วประมาณ 170,000 ตัน
2. อุปสงค์ทองคำในตลาดโลก มีประมาณ 4,000 ตัน/ปี ประกอบด้วย 1. ใช้เป็นเครื่องประดับ (50%) 2. ซื้อทองคำแท่งเพื่อการลงทุน (30%) 3. ซื้อลงทุนผ่านกองทุน ETF (5%) 4. ใช้ในอุตสาหกรรม (10%) และ 5. เป็นทุนสำรองของธนาคารกลาง (5%)
3. อุปทานทองคำในตลาดโลก มีประมาณ 4,000 ตัน/ปี เช่นกัน เป็นทองคำขุดใหม่ 60% ส่วนที่เหลือเป็นทองคำที่ถูกหลอมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ (recycled)
4. ประเทศที่ผลิตทองคำมากที่สุดในโลก 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. จีน 2. ออสเตรเลีย 3. สหรัฐอเมริกา 4. รัสเซีย 5. แอฟริกาใต้
5. เหมืองที่จัดว่ามีสินแร่ในเกรดดี เวลาระเบิดหินขนาด 1 ตัน จะได้แร่ทองคำประมาณ 8-10 กรัม ส่วนเหมืองที่มีสินแร่เกรดไม่ดี ระเบิดหินขนาดเท่ากัน จะได้แร่ทองคำประมาณ 1-4 กรัม
6. เหมืองแบบเปิด (open pits) มักจะมีเกรดต่ำกว่าเหมืองแบบปิดที่ต้องขุดเจาะลงไปใต้ดิน ซึ่งนับวันเราต้องขุดลึกลงไปเรื่อยๆ ... เหมืองทองคำที่ลึกที่สุดในโลกชื่อ TauTona อยู่ที่แอฟริกาใต้ มีความลึกเกือบ 4 กิโลเมตร
7. ที่ๆ มีต้นทุนการขุดทองคำ (Cash Cost) ถูกที่สุดในโลก คือ ทวีปอเมริกาเหนือ อยู่ที่ $598/oz ... ที่ๆ มีต้นทุนการขุดทองคำแพงที่สุดในโลก คือ ทวีปแอฟริกา อยู่ที่ $957/oz
8. ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 12 ปีติดกัน (2001 – 2012) จากจุดต่ำสุดที่ $250/oz ไปสูงสุดที่ $1900/oz หรือนับว่าเพิ่มไป 7.6 เท่า .... ในช่วงเดียวกัน ราคาทองคำแท่งในไทยก็ปรับเพิ่มจาก บาทละ 5,200 บาท ไปสูงสุดที่บาทละ 26,000 บาท หรือว่าเพิ่มไป 5 เท่า (ปรับเพิ่มน้อยกว่าราคาในสกุลดอลล่าร์เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งในช่วงที่ผ่านมา)
9. ในปี 2013 ราคาทองคำในตลาดโลกร่วงลงจาก $1,700 ช่วงต้นปี มาซื้อขายกันที่ $1,300 ในปัจจุบัน (ลดลง 25%) ส่วนใหญ่มาจากแรงขายของนักลงทุนระยะสั้นที่ซื้อทองคำผ่านกองทุน ETF แต่ในช่วงที่ราคาทองลงแรง มีแรงซื้อทองคำเพื่อเป็นเครื่องประดับและซื้อทองคำแท่งเพื่อลงทุน (โดยเฉพาะ จีน และ อินเดีย) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
10. ราคาทองคำมักผันผวนในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลล่าร์ (เช่น ราคาทองคำจะสูงขึ้นเมื่อค่าเงินดอลล่าร์อ่อน) และมีความสัมพันธ์กับราคาพันธบัตรและหุ้นค่อนข้างน้อย (Correlation = 0.2 – 0.4) ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ช่วยกระจายความเสี่ยง (Diversification) ได้ดี
Monday, October 7, 2013
Wednesday, October 2, 2013
บันไดแห่งความกังวล
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2556
สถานการณ์ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีหลายเรื่องให้ลอยคอรอลุ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็มีทั้งผิดหวังสมหวังจีรังบ้างไม่ยั่งยืนบ้าง แต่มีอยู่
2 เหตุการณ์สำคัญที่ผมอยากทบทวนให้ฟังครับ
1. เมื่อคืนวันพุธที่ 18 กันยายน 2556
วันที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศคงมาตรการอัดฉีดเงิน (QE) มูลค่า 85,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือนต่อไป พร้อมกับปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯปีนี้เหลือ
2-2.3% จาก 2.3-2.6% และ 2.9-3.1% จาก 3-3.5%
ในปีหน้า ข่าวนี้ถือว่า Surprise เพราะนักวิเคราะห์และฝูงชนส่วนใหญ่คาดกันว่า
Fed จะลดขนาดเงินอัดฉีดอย่างน้อยก็ 1-2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผลก็คือตลาดหุ้นไทยกระหน่ำครับ
กระหน่ำขึ้น ดัชนีเปิดกระโดดทันทีในวันถัดมาและปิดบวกอย่างสวยหรูไป 49.93 จุด หรือ
3.47%
แต่หลังจากนั้น เหมือนดั่งสวรรค์แกล้ง ราว 2 สัปดาห์ให้หลังถัดมา หุ้นไทยกลับไถๆลงมาเรื่อยๆ
จนหลงจ้งแล้วลบกว่า 100 จุด ปิดไปที่ 1383.16 ในวันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2556
ความกังวลเรื่องลด QE หายไป แล้วทำไมมูลค่าหุ้นไทยถึงหายตาม?
2. ช่วงเช้าเวลาดี 11.00 น. ของวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2556
วันที่เราจะได้รู้กันว่ารัฐบาลสหรัฐจะโดนชาวดัตช์ Shutdown หรือไม่?
กลัวมั้ยละครับ เสียวมั้ยละครับ... มักๆ... บ่องตง... พอผลประกาศออกมาเป็น Partially
Shutdown ปุ๊ป (คือปิดในบางหน่วยงาน) หุ้นไทยก็ลงกระป๊าปๆๆ ฟิวเจอร์สก็ลงปู๊ดๆๆ
ในช่วง 10 นาทีหลังประกาศ
แต่หลังจากนั้นกลับขึ้น...
บทสรุปของผมก็คือ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับความกังวลเหล่านี้มากครับ
เพราะแม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาด เหนือคาด หรือผิดคาด
แท้จริงแล้วเราต้องกลับสู่ความเป็นจริงที่ว่า แล้วมันเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานแค่ไหน
มันทำให้กำไรของบริษัทที่เราลงทุนลดลงหรือเปล่า? ซึ่งความจริงแล้วในแง่ตัวเลขเศรษฐกิจของบ้านเราถือว่าค่อยๆดีขึ้นด้วยซ้ำ
ตัวเลขส่งออกไทยในเดือนสิงหาคมกลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยโต
3.9% YoY จากที่หดตัว 1.48% YoY ในเดือนกรกฎาคม และหลงจ้งทำให้ตัวเลขดุลบัญชีเดือนสะพัด
(Current account) กลับมาเป็นเกินดุล (Surplus) อย่างสวยหรูที่
1.2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
เคยได้ยินคำว่าตลาดหุ้นชอบปีนบันไดแห่งความกังวล (Wall of
Worries) ไหมครับ?
ว่าที่จริง ผมกลับรู้สึกชอบเวลาที่มีความกังวลเยอะๆ เพราะนั่นหมายถึงทุกคนได้ตระหนักถึงผลลัพธ์ของเหตุการณ์ร้ายๆที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว แต่หากเมื่อใดที่ความกังวลหายไปหมดเกลี้ยง เมื่อนั้นอาจถึงเวลาที่เรา..
ต้องหันไปปลูกผักทำสวนกันซักพักแล้วละครับ
Wednesday, September 25, 2013
Futures Rollover
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 25 กันยายน 2556
สัปดาห์นี้นับว่าเป็นสัปดาห์หฤโหดของ Trader สถาบันอย่างยิ่งครับ..
เพราะนอกจากความผันผวนของตลาดที่ขึ้นๆลงๆซ้ายขวาๆ XOXO
หยั่งกับสูตรในเกมยูยูฮาคุโชแล้ว (ใครไม่รู้จักเชิญ th.wikipedia.org/wiki/คนเก่งทะลุโลก) ยังเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการเทรด SET50
Index Futures รุ่นตัว U อีก.. จึงไม่แคล้วที่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศที่ผมดูแล
จะเปลี่ยนถ่าย (Roll over) ไปถือสัญญารุ่นที่หมดอายุเดือนธันวาคม (S50Z13) แทน..
เพื่อนๆท่านใดที่ถือ Series U (กันยายน) อยู่ก็อย่าเพลินนะครับ มีเวลาให้ Roll
over จนถึงวันศุกร์ที่ 27 กันยายน เวลา 16.30 น. มิเช่นนั้นระบบจะทำการชำระราคาให้ท่านอัตโนมัติ โดยค่าที่ใช้คำนวณจากดัชนี
SET50 ในช่วง
15 นาทีสุดท้ายและค่าราคาปิดของวันนั้น ตัดค่าที่มากที่สุด 3 ค่า และค่าที่น้อยที่สุด
3 ค่าออก และใช้ค่าทศนิยม 2 ตำแหน่ง.. ที่ต้องซับซ้อนขนาดนี้
ก็เพราะป้องกันการทำราคานั่นเองครับ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ผมได้มีโอกาสนั่งทานข้าวกับรุ่นพี่ที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์คนเก่งดีกรีนักจัดรายการวิทยุช่องหนึ่ง
บทสนทนานั้นสั้นนัก เพราะลำพังข้าวและไก่ที่อยู่ในปากเราทั้งคู่ ก็กินเวลาในการขยับปากไปมากแล้ว
แต่ก็มีศัพท์ที่น่าสนใจหลุดมาอยู่ 2 คำ เลยอยากนำมาแชร์ครับ.. Alpha และ Beta
เอาภาษาอังกฤษก่อน:
Alpha is a
measure of an investment's performance compared to a benchmark, such as the SET
index. It's a mathematical estimate of the return, based basically on the
growth of EPS.
Beta is
based on the volatility - extreme ups and downs in prices or trading - of the
stock or fund, something not measured by alpha. But beta, too, is compared to a
benchmark, like the SET index. You can think of beta as the tendency of a
security's returns to respond to swings in the market.
แต่เรามักจะได้ยินคนพูดถึง Alpha port และ Beta
port มันคืออีหยัง?
Alpha port หมายถึง พอร์ตการลงทุนที่ต้องการได้ผลตอบแทนมากกว่าที่ตั้งไว้
โดยแนวทางการลงทุนจะเน้นไปในทาง active หวังผลตอบแทนสูง ใช้ Asset allocation และอาจมีการใช้อนุพันธ์เช่น
SET50 Index Futures (เพิ่ม Leverage) ด้วยก็ได้
ส่วน Beta port หมายถึง พอร์ตการลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนตาม Index
หรือผลตอบแทนคงที่แน่นอน
ชิลๆ
จบดื้อๆแบบนี้
Wednesday, September 18, 2013
ฝรั่งเปลี่ยนใจ
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 18 กันยายน 2556
“SET เลือกที่จะไปต่อ” พร้อมๆกับการกลับมาซื้อของ “ฝรั่ง”
ในเดือนกันยายน
ที่ไม่รู้ว่าพี่แก “ตกรถ” หรือ “ตกใจ” เพราะเห็นหุ้นไทย amazing ขึ้นมากว่า 200 จุดในเวลาไม่ถึงเดือน.. ผมเลยนำกราฟที่เคยให้ชมกันเมื่อไม่นานมานี้มาอัพเดทให้ดูอีกครั้งครับ
จุดที่น่าสนใจก็คือ:
1. ดัชนี SET ทะลุขึ้นมายืนเหนือแนวรับสำคัญที่ 1342 (61.8% Fibonacci
วัดจาก
low เมื่อปี 2011) ได้อย่างหมดจด ทำให้ภาพในระยะกลางดัชนีกลับไปเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ
1342-1650 ได้อย่างสบายแฮร์อีกครั้ง
2. ดัชนี SET ในสัปดาห์นี้ผุดหัวโผล่ขึ้นมาเหนือเส้น Downtrend
line ได้สำเร็จ พร้อมๆกับการเบรกของตลาดหุ้นใหญ่หลายๆตลาดทั่วโลก เช่น จีน
ญี่ปุ่น และเยอรมัน
3. MACD ซึ่งเป็นสัญญาณบอกภาพระยะกลาง กำลังร้องส่งสัญญาณซื้อ
นอกจากนี้ แค่กราฟอย่างเดียวอาจไม่หนำใจแฟนๆนักค้าหน้าหยก.. ลองดูข้อมูล
“โฟลวฝรั่ง” ด้านล่างประกอบครับ
เป็นที่ชัดเจนไหมครับว่า ฝรั่งกลับมาสอยหุ้นใน TIP ในเดือนกันยายนนี้อย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งหากดูยอดตั้งแต่ต้นปีจะพบว่า ไทยเราโดยกระหน่ำขายมากที่สุดในทวีปเอเซีย
ในขณะที่ญี่ปุ่นนิ โอะ ไฮ โยะ ซื้อกันเยอะจัง.. ฉะนั้นผมก็หวังว่าหากฝรั่งจะเปลี่ยนใจกลับมาจริงๆ
ก็ขอให้กลับมาที่ไทยเราเยอะที่สุดละกัน
อย่างไรก็ดี อย่าเพิ่งชะล่าใจไปนะครับ เพราะไม่รู้ว่าการกลับมาซื้อของฝรั่งรอบนี้จริงหรือหลอก
(ก็ใครมันจะไปรู้... ละ~) แต่อย่างน้อยถ้าจริง เราคงได้หัวเราะโฮกๆพร้อมกับพูดกับหรั่งตกรถว่า...
ช้าไปแล้วต๋อย
Wednesday, September 11, 2013
อนาคต
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 11 กันยายน 2556
ผ่านพ้น “ห้วงเวลาผ่อนคลาย” ไปได้ 2 อาทิตย์
หุ้นไทยก็กลับมาเคาะหน้าประตูหมายเลข 1400 ได้อีกครั้ง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะดัชนีได้เปิดรูโบ๋ (Gap) ไว้เมื่อวันที่
20 สิงหาคม 2556 ที่ 1380-1400 พร้อมๆกับ MACD ที่ส่งสัญญาณ Bullish
Divergence ในภาพรายวัน (ดัชนีลง สวนทางกับ Indicator ที่ปรับขึ้น) ได้ช่วยกันบึ้ดจั้มบึ้ดให้ตลาดกลับมาสดใสอีกครั้ง
จากนี้ไปยังไง?
ก่อนอื่นก็ขอชะแว้ปมาอัพเดทสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์เล็กน้อยครับ ซึ่งในช่วงเช้าวันนี้เจ้า
S50U13 ก็ได้เคลื่อนไหวไล่จี้ SET50 Index มาติดๆ ห่างกันเพียงเอื้อมมือหรือประมาณ
4 จุดเท่านั้น หรือศัพท์ทางเทคนิคเรียกว่า Basis เท่ากับ -4
ทั้งนี้ทั้งนั้นและทั้งโน้น เจ้า Basis เคยลงไปต่ำสุดถึง
-18.82 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2556 (นับตั้งแต่ที่ S50U13 active) โดยวันนั้น SET
Index ปิดที่ 1355 และในอีก 5 วันทำการถัดมา ตลาดก็ลงมาเกือบ 100 จุด
คำว่า Future แปลว่า อนาคต, SET50 Index Futures แปลตรงๆ ก็คือ
อนาคตของ SET50 Index ดังนั้น การที่ราคา Futures ลงไปก่อนล่วงหน้าเยอะๆ ก็เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งครับว่า
อาจมีการปรับตัวของ SET50 Index ได้.. เพราะประโยชน์ข้อนึงของ Futures ก็คือ Price
Discovery คือ ใช้ทำนายราคาของสินค้าอ้างอิง (Spot) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า
แล้วถ้าสมมติว่าเจ้า Basis จากปัจจุบันที่ -4 ถ่างออกมาเป็น -10 กว่าอีกครั้งละ
จะเกิดอะไรขึ้น?
ถ้าเป็นเช่นนั้น ตามหลักแล้วตลาดก็ควรจะพักหรือย่อครับ (ลองดู Indicator
อื่นประกอบด้วย)
เพราะมองในเชิง relative ก็ถือว่าราคา Futures ลงไปล่วงหน้าเยอะขึ้นละ..
แต่หาก Basis จาก -4 กลับขึ้นและกลายเป็นค่าบวกขึ้นมา แสดงว่า นักลงทุน Bullish
มากขึ้นละ
ตลาดน่าจะขึ้นต่อได้ไม่ยาก อย่างไรก็ดี ณ เวลาที่ผมเขียนอยู่นี้ หุ้นไทยขึ้นมาแล้วกว่า 130 จุด หรือราว 10% จาก low
บริเวณ
1260 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2556
พักบ้างมั้ย หรืออยากจะไปต่อ?
Wednesday, September 4, 2013
จับจังหวะหัวใจ
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 4 กันยายน 2556
เห็นตลาดกลับมาบวกได้กว่า 60 จุด (นับจาก low เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจนถึงอังคารนี้ช่วงเช้า)
ผมก็สบายใจไปเปราะนึงครับ แต่ที่ไม่ค่อยสบายใจก็คือ หากมองในเชิงเทคนิคแล้ว SET
Index มีโอกาสเจอแนวต้านสำคัญที่แถว 1342 (61.8% Fibonacci) ซึ่งหากทะลุไปได้อย่างทะมัดทะแมง
ก็เป็นไปได้ว่า เจ้า Index น้อยๆของเราจะไปโลดแล่นต่อในกรอบมหาสมุทรที่ 1342
– 1650 ในขณะที่โอกาสลงก็ยังมีให้เห็นอยู่เนืองๆ โดยจากรูปมี 2 ด่านลึกสุดใจอยู่ที่
1247 (50% Fibonacci) และ 1152 (38.2% Fibonacci)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่อยากให้ตื่นตระหนกครับ
เพราะการวิเคราะห์ทางเทคนิคแท้จริงแล้วมันก็คือ “การเดา”
ดีๆนี่เอง
เพียงแต่ว่ามีการนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์อย่างมีหลักการ ซึ่งบางครั้งมันก็ทำนายได้ดี
บางครั้งก็ไม่ได้ดอก.. ถูกๆผิดๆว่ากันไป แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้จังหวะหัวใจของมันครับ
ดังที่เค้ากล่าวกันว่า History doesn't repeat itself, but it does rhyme.
ส่วนคนเทรดฟิวเจอร์สช่วงนี้ก็เหนื่อยหน่อย แรงเหวี่ยงมันเยอะครับ ซึ่งผมได้เคยแนะนำเทคนิคการเทรดบางส่วนไปในบทความ
“หัวใจของการลงทุนสไตส์ไวไว” เมื่อเดือนมิ.ย. (จริงๆจะเรียกว่าเก็งกำไรก็คงไม่ผิด)
ในวันนี้จึงอยากจะเสริมครับว่า นอกจากการกำหนดจุด stop loss ที่ว่าสำคัญแล้ว
ต้องเลือกจุดที่จะ stop ให้ดีด้วย เช่น หากขาย (Short) SET50 Futures ที่ราคา 875
แต่กำหนดจุด stop loss ไว้ที่ 877 ผมว่ามันก็ใกล้ไปหน่อย หรือหากซื้อ (Long) ที่ 875
พอขึ้นไป 876.5 ก็รีบทำกำไรซะละ นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำเลย ก็เร็วไปหน่อยครับ..
ซึ่งตรงนี้เส้นค่าเฉลี่ย (Moving average) น่าจะช่วยท่านได้ ลองใช้ดูครับ ไม่ยาก
Wednesday, August 28, 2013
ห้วงเวลาผ่อนคลาย
สัปดาห์นี้ relax ครับ,
เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2556
ก่อนที่จะไปรู้ว่าตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account) ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ว่าเป็นอย่างไร
ก็เป็นที่ชัดเจนครับว่าการส่งออกในเดือนก.ค.ติดลบไปแล้ว 1.48% YoY หรือคิดเป็นมูลค่า
19.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ.. ลำบากครับบ่องตง ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
โอกาสที่การส่งออกจะกลับมาโตทั้งปีได้ 5-7% ตามที่รัฐบาลหวังแทบไม่มีทาง
(Mission impossible) เผลอๆจะโตแค่ 2-3% เอา
เพราะต้องอย่าลืมครับว่า แม้ค่าเงินบาทจะกลับมาอ่อน แต่มันก็อ่อนทั้งภูมิภาค
เพราะฉะนั้นในเชิงการแข่งขันก็ถือว่าผู้ส่งออกเราก็ไม่ได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านเท่าใดนัก
โดยปรกติแล้วการส่งออกจะโตประมาณ 1.7 เท่าของ GDP ครับ ฉะนั้นถ้าประเมินแบบคร่าวๆว่าทั้งปีส่งออกโตได้ซัก
2.5% เศรษฐกิจไทยปีนี้ก็น่าจะโตได้แบะๆที่ 4.25% ถือว่าไม่มากไม่น้อยแต่ก็ไม่ดี..
ลุ้นตัวเลข Current account กันดีกว่า street คาดกันว่าจะ
-550 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อย่าลืมว่าแค่ Trade balance อย่างเดียว
(ส่วนหนึ่งของ current account) ในเดือนก.ค.ที่เพิ่งประกาศก็ปาไป -2.28
พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯแล้ว (เพราะ Import โต) เผลอๆหลงจ้งจะติดลบเป็นพันล้านเอา.. ยังดีที่ท่องเที่ยวเราแจ่ม
ไม่เช่นนั้นก็ได้แต่สวดมนต์ภาวนาละครับ
ที่จั่วหัวว่าให้ relax ก็เพราะว่าจากที่ให้กฎคุณชายหมอไป 5 ข้อเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
(ที่เน้นๆก็คือ short futures เพื่อ hedge, เตรียมเงินสด,
ลิสต์รายชื่อหุ้น)
ตอนนี้ก็ใกล้เวลาได้ใช้งานแล้วครับ ผมเองก็เตรียมเก็บ LTF เร็วๆนี้
รวมถึงนั่งดูเตรียมจิ้มกองทุนหุ้นที่น่าสนใจแล้วละ.. อย่าลืมนะครับ
เวลานี้ไม่ใช่เวลากลัว หรือถ้าจะกลัว ก็ควรจะกลัวน้อยกว่าตอนดัชนีตอน 1460
เมื่อต้นเดือนส.ค. หรือตอน 1650 เมื่อเดือนพ.ค. -- พื้นฐานประเทศในระยะยาวยังแข็งแกร่ง
ทุนสำรองก็มีมากมายมหาศาลป้องกันเรื่อง capital outflows ได้สบายๆ..
บริษัทดีๆพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนไปมากราคาก็ลงมาจนเริ่มน่าสนใจละ.. Time to relax
แล้วครับ
Selectively BUY
Hi,
Written on Aug 28, 2013
I know you might get bored with the bearish stuffs espoused
day in day out. Recalling first time I told you to aggressively sell was when
the SET at high of 1648 on May 22 (in my “Due for a Pullback” note). Second
time was over the first half of this month when the index was at high of 1460
and said clearly that the SET could reach 12xx levels before the Fed’s meeting
in Sept. Now, it comes, with the Thai bourses down more than 20% from this
year’s high. Therefore, I urge you to be a stock buyer rather than a seller at
the moment. Surprise!? Yes bottom hasn’t been found yet and the SET could sink
lower to 1200-1230 levels, but I truly love this environment, in the wake of
fear and horror. It’s the time to selectively buy stocks not to panic sell
follow the herd. No hurry. Gently buy.
For futures, for those who have been the Short Gunners since
the onset of this month, I suggest gradually closing partial positions to the
downside of the SET, maybe till the range of 1230-1260. Importantly, Energy +
Petro sectors here account for ¼ of the Thai market. So what? As crude oil this
morning surged 3% to settle at USD109.66 a barrel on concern the US will take
military action against Syria, marked the highest close for a most-active
contract since Feb 24, 2012, it might help sustain the market to some extent.
BOT -- Capital outflows are manageable
Given the country’s large international reserves (USD172
billion, 2.9 times of the countries short-term debt), Thailand will have enough
liquidity to provide foreign investors when they need to move their capital out
of the country, unlike 1997, when short-term foreign debt was USD47.7 billion
while the country’s foreign reserves totaled USD38.7 billion. I think
Thailand’s economic fundamentals were still sound despite a current-account
deficit in the first half of the year. “The deficit was due mainly to gold
imports. If those were excluded, the current account would have remained in a
surplus,” BOT deputy governor Pongpen added.
Subscribe to:
Posts (Atom)