Thursday, March 20, 2014

Meaningful Words

Good morning,
 Written on Mar 20, 2014

You all know what Yellen last night has signaled global financial markets. To me, only three words that are so meaningful: “around six months.”  

Yes, the $10 billion reduction has come as expected, bringing the monthly bond purchases to $55 billion a month starting April. The Fed has said it would continue to taper by $10 billion a month unless its outlook for the economy changed substantially. So, it means the taper is on course to end in Oct or Nov this year. The point is six months after that (April or May 2015), the first rate hike could come, and that would mean excess liquidity across the globe, especially in emerging markets, will be repatriated to the US. Earlier, the market had been expecting the first rate hike to come toward the end of 2015, perhaps in Oct or Dec. This is the key from the FOMC meeting this time. Be prepared.

Politics -- Ruling this Friday
The Constitutional Court will judge tomorrow whether the 2 Feb poll is illegitimate. I think there are three scenarios which have different impact on stocks. First, the court nullifies the Feb 2 election and paves the way for a non-elected government (negative). Second, the court annuls the Feb 2 election, and then the Election Commission sets the new election date with the Democrat party participating (positive). Third, the court rules the Feb 2 election constitutional, and the Election Commission goes ahead with elections in the rest 28 constituencies where there were no candidates (neutral).

Mkt Strategy -- Which cases will you choose?
Our base-case target PER peg for YE14 is 14x (2014E), implying a SET level of 1433, which is 0.5SD above the SET’s long-term mean of 12x. EPS forecast is 102 which is 3.1% below the consensus number. The GDP projection for this year is 2.9%, assuming that the political problems end by mid-year.

Under our bear-case scenario, 2014 GDP could fall to 2% and EPS could be slashed to 97. Failure to resolve ongoing political problems and weaker global growth momentum could lead to this case. The market PER could be pushed down to 11.5-12x, implying a SET level of 1115-1164.

Under our bull-case scenario, we see only limited upside to GDP (3.5%) and EPS (108), as the macro drivers would engage in 2H14 rather than early in the year. The SET PER, however, could rise to 15x toward year-end (implying a minimum index of 1650) on expectations of even stronger prospects for 2015.



Wednesday, March 12, 2014

สัญญาณปิ๊ปๆ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 12 มีนาคม 2557


ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ต้องขอใช้คำว่า ขะ ...แข็งแกร่ง อาจเป็นเพราะตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา ฝรั่งได้กลับมาซื้อสะสมหุ้นไทยซึ่งนับจนถึงปัจจุบัน (11 มี.ค.) เป็นมูลค่ากว่า 6000 ล้านบาทแล้ว.. แต่กระนั้นก็ตามบริษัทฝรั่งยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Morgan Stanley กลับออกเปเปอร์สะท้านปฐพี -- เชือดน้ำหนักการลงทุนในไทยลงเป็นต่ำกว่าตลาดครับ (Underweight) เหตุผลก็คือ..

       1.  อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยห่อเหี่ยว
       2.  ความเสี่ยงด้านการเมืองสูงขึ้น รวมถึงคะแนนด้านการกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance) ลดลง
       3.  ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยผิดคาดมากๆ (มากกว่า 60% ที่รายงานกำไร 4Q13 ต่ำกว่าคาด) โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน
       4.  มูลค่าพื้นฐานเช่น PE หรือ PB ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี
       5.  เครื่องมือทางเทคนิคที่ส่งสัญญาณขายมากเกินไป (oversold) มีจำนวนน้อยลงมากเมื่อเทียบกับ 2 เดือนก่อน (แปลว่าหุ้นได้ปรับขึ้นมาพอสมควรแล้ว)
  
ปัจจัยทั้ง 5 ข้อนี้ ส่งผลให้ quant model ของ Morgan Stanley ส่งสัญญาณปิ๊ปๆ ปรับน้ำหนักตลาดหุ้นไทยจาก ลงทุนเท่ากับตลาด (Equal weight) เป็น ต่ำกว่าตลาด (Underweight) ทันที
  
และล่าสุด สดๆ ร้อนๆ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2%โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น และคาดการณ์ว่า GDP ปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่า 3% จากปัญหาการเมืองในประเทศที่ยืดเยื้อ ... stay calm, stay invested นะครับ

Wednesday, February 26, 2014

ไม่ผิดใช่ไหม?

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2557

ช่วงนี้ใครมานั่งทำนายตลาดก็คงเหนื่อยอยู่ซักหน่อย บ้างก็ว่า SET Index ทะลุแนวต้านสำคัญและได้เปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้นไปแล้ว บอกอย่างนี้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแต่ไหงก็ลงพรวดจาก 1330 มาไต่อยู่แถว 1300 ซะงั้น... บ้างก็ว่าตลาดเราขึ้นไม่ได้ดอก ก็แหมเล่นมีข่าวตูมตามรายวันขนาดนั้น มันต้องลง ลง ลง ซิ แต่ไหงแช่งให้ลงยังไงก็ยังเกาะๆอยู่แถว 1300 แน่นเหนียวหยั่งกับเตมังตังเม

เอายังไง?

อย่าหาว่าผมโง้นงี้เลยครับ ขนาดทีม US Equity Strategy ของ Morgan Stanley เองยังออก research ฉบับล่าสุดเมื่อวันจันทร์แนวตัดพ้อว่าเมื่อปี 2011 เค้าคอลตลาดไม่ค่อยดี ซึ่งถูก; ปี 2012เค้าคอลตลาดไม่ค่อยดีอีกเช่นกัน แต่ผิด; ปี 2013เค้าคอลตลาดดี ซึ่งกลับมาถูกใหม่; ส่วนปีนี้ 2014 เค้าคอลตลาดดี... แล้วมันจะผิดไหม?

คือเค้ากำลังสงสัยว่ามันอาจจะเป็นรูปแบบ 2x2 grid นะครับ หมายถึง ถูกปี ผิดปี ถูกปี แล้วอาจจะกลับมาผิด? ซึ่งนั่นก็หมายถึงในปี 2014 นี้ (ถ้าเค้าคอลผิด) ตลาดคงจะไม่ค่อยดีทั้งปี (Bearish) เป็นแน่แท้

เห็นไหมครับ ขนาดผู้เชี่ยวชาญระดับโลกให้เค้ามาทำนายทิศทางตลาดโอกาสถูกยังมีเพียง 50% เพราะฉะนั้นผมจึงมิอาจเอื้อมไปทำนายแข่งกับเขาได้ (เพราะทายไปโอกาสถูกก็อาจน้อยกว่า 50% และอาจต้องไปหาหมอเย็บหน้าแตก) สิ่งที่ผมพอจะทำได้ก็คือ นำเสนอข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้พร้อมใส่ความเห็นประกอบประปรายด้วยเหตุผล ซึ่งความเห็นของผมก็คือ ที่ตลาดไทยยังไม่ลงช่วงนี้น่าจะเป็นเพราะฤดูกาลประกาศผลประกอบการและเทศกาลปันผลยังไม่จบนักลงทุนคงจะยังถือหุ้นเพื่อลุ้นเสียวกันอยู่  

ว่าแล้วก็ขอนำเสนอ Snapshot ประเทศไทย เป็นการปิดท้ายบทความสัปดาห์นี้ ลองอ่านกันดูเล่นๆครับ 





Wednesday, February 19, 2014

แมงกุดจี่

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2557

สัปดาห์นี้ SET50 Index Futures รุ่น H ขึ้นมาใกล้ระดับแนวต้านสำคัญที่ 909 (แนวต้านนะครับ ไม่ได้ใบ้หวยนะ) .. อาจจะผ่านยากซักหน่อย เนื่องด้วยใน 17 วันที่มีการเปิดซื้อขายที่ผ่านมา มีเพียงวันเดียวที่ฝรั่งเป็นยอดซื้อสุทธิหุ้นไทย นอกนั้นขายตลอด (นับถึง 18 กุมภา) ผู้ซื้อขาโจ๋วก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ - ก็พี่แกเล่นหม่ำไปร่วม 17,000 ล้านบาทนิครับ.. อิ่มหนำสำราญกันไปนะ
   
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ -- ตัวเลข GDP ครับ!
  

  
จากรูป เป็นที่น่าสังเกตว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยรายไตรมาสในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ช่างโตได้หยุมหยิมปวดตับเสียนิกระไร (สาเหตุคงไม่ต้องพูดถึง) หากมองคร่าวๆด้วยสายตา โดยไม่นับช่วงโดดปี 2011-12 จากเหตุการณ์น้ำท่วมน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1-2% เท่านั้น
  
ล่าสุด GDP ไตรมาส 4 ปี 2013 ที่เพิ่งประกาศ ก็โตเพียง 0.6% -- สาเหตุหลักก็เกิดจากกำลังซื้อภายในประเทศที่ลดลง (Domestic demand) รวมถึงแผนการลงทุนต่างๆที่ชะลอออกไป เพราะอะไรคงทราบกันดี.. ทำให้ทั้งปี 2013 โตหลงจ้งเพียง 2.9% (ทั้งที่ช่วงต้นปี 2013 หลายสำนักต่างคาดกันว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 5%) เทียบกับปี 2012 ที่โต 6.4% .. โดยปี 2014 นี้ ก็มีการประมาณกันว่า GDP ทั้งปีจะโตได้เพียง 3% ครับ
  
ผมคิดว่าถ้าเศรษฐกิจไทยจะหยุมหยิมแบบนี้ไปเรื่อยๆอย่าว่าแต่เสือตัวที่ห้า (อย่างที่เคยหวังไว้ตั้งแต่ก่อนปี 1997) เลยครับ..
   
เกรงว่าจะเป็นแมงกุดจี่ตัวแรกเอา

Wednesday, February 12, 2014

หมื่นลี้...แรก

สวัสดาคิบครับ,
เขียนเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2557

คุณสมบัติข้อหนึ่งของนักลงทุนที่ดีในความเห็นของผมก็คือ ต้องมีสายตาที่กว้างไกล และหาข้อมูลใหม่ๆอยู่เสมอเพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆให้ทันต่อโลกที่ไม่เคยหยุดหมุน.. อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ต้องมีความตั้งใจ อดทน ศึกษาหาความรู้.. เชื่อหรือไม่ครับว่า แม้แต่กระสวยอวกาศเองยังต้องใช้พลังงานกว่าครึ่งเพียงเพื่อผ่านระยะทาง 1,000 กิโลเมตรแรก ในการเดินทางไปดวงจันทร์ที่มีระยะทางจากโลกรวมแล้วกว่า 384,000 กิโลเมตร.. เปรียบได้กับช่วงแรกของการลงทุนที่อาจจะยาก อาจจะเหนื่อยซักหน่อย แต่เราต้องอดทนครับ ไม่ท้อ! เพราะหากผ่านไปได้ ที่เหลือก็สบายแฮร์ละ
  
นทางไกล นับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรก -- เล่าจื๊อ
  
“A journey of a thousand miles must begin with a single step.” -- Lao Tzu

ในส่วนของภาพตลาดก็ถือว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสัปดาห์ที่แล้วมากเท่าไหร่ครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ ฝรั่งขายหุ้นไทยติดๆกันมาร่วม 13 วันแล้วไม่รู้ขนที่ไหนมาขายหนักหนา (คงเป็นผลกระทบจาก QE tapering ส่วนหนึ่ง) ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจกันว่าหากฝรั่งยังขายอยู่แบบนี้สุดท้ายผู้เล่นที่เหลืออยู่ก็มีเพียงพวกเรากันเอง (รายย่อย+สถาบันในประเทศ+prop trade) แล้วหุ้นไทยจะขึ้นได้ซักแค่หนาย... 
รูปข้างบนเอามาให้ดูให้เสียวเล่นครับ คุณ Mark Hulbert (ใครอ่ะ??) ได้โชว์ชาร์ตนี้เพื่อเปรียบเทียบให้เราดูว่า ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ณ ปัจจุบันมันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1928-29 ซะเหลือเกิน.. ช่วงนั้นใครเกิดไม่ทัน (เอิ๊กๆ) คงไม่ทราบว่าเป็นยุคที่เกิดมหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก (The Great Depression) ซึ่งมีจุดกำเนิดเกิดจากอเมริกานั่นละครับ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่นะ http://www.marketwatch.com/story/scary-1929-market-chart-gains-traction-2014-02-11?link=sfmw_fb บาย

Wednesday, February 5, 2014

ตุนไว้อุ่นๆ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2557

นับตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม เป็นต้นมาฝรั่งก็ขายหุ้นไทยฉอดๆๆ ไม่บันยะบันยังเลย ซึ่งก็กดดันให้ SET Index ลงมาราว 40 จุด (นับถึงวันที่ 4 กุมภา) .. ในขณะที่ผู้ซื้อเป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศและรายย่อย ที่ช่วยกันนำหุ้น (ที่เชื่อกันว่า) ถูก ไปตุนไว้อุ่นๆ




สถานการณ์ในช่วงเดือนสองเดือนนี้ที่ผมสัมผัสได้จากการที่ได้คุยกับมาร์เกตติ้งหรือผู้แนะนำการลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อยก็คือ ปริมาณการซื้อขาย หรือ วอยุ่มของเค้าลดลงไปมาก นั่นเป็นเพราะ นักลงทุนรายย่อยติดหุ้นกันเยอะ (บางรายติดหุ้นตั้งแต่ดัชนี 1600 จุด เมื่อกลางปีก่อน) ทำให้ไม่กล้าซื้อขายกัน.. ซึ่งพอถามถึงหุ้นในพอร์ตลูกค้าแล้ว ปรากฎว่า บางรายมีหุ้นขาดทุนถึง 50% เต็มไปหมด
  
ความกลัวเริ่มเพิ่มขึ้น (อาจเพิ่มมานานแล้ว) ซึ่งมาพร้อมกับประเด็นทางการเมือง ที่แม้จะผ่านวันเลือกตั้งไปได้โดยมีความวุ่นวายน้อยกว่าที่ตลาดคาด แต่ปัญหาก็ดูจะไม่จบง่ายๆและเรื้อรังไปอีกพักใหญ่ ... อาจถึงขั้นมหึมา
  
ส่วนลูกค้าผม -- สถาบันฝรั่ง นับเป็นเรื่องที่ดีที่เค้ายังซื้อขายกันตามปกติแถมปริมาณการซื้อขายในเดือนมกรายังสูงกว่าค่าเฉลี่ยอีกด้วย (แต่ short หรือ long บอกไม่ได้นะครับ) นั่นหมายถึง แม้ว่าตลาดหุ้นจะผันผวนเพียงใด จะลงซักเพียงไหน.. SET50 Index Futures ซิครับ ช่วยท่านได้ -- ไม่ว่าจะใช้เพื่อเก็งกำไร หรือ ลดความเสี่ยง เพียงแต่ต้องศึกษาข้อมูล และ ทำความเข้าใจกับมันให้ดี ก่อนลงทุนนะครับ 

Wednesday, January 29, 2014

เรื่องใหม่แกะกล่อง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 29 มกราคม 2557

ตั้งแต่ 30 ตุลาคม 2556 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นในอาเซียนเราก็ห่อเหี่ยวเหือดแห้งด้วยสาเหตุต่างๆนานาทำให้ติดลบกันไปตามระเบียบ โดยเฉพาะไทย ซึ่งจากรูปก็ชัดเจนว่าเหี่ยวที่สุด ส่วนสาเหตุคงไม่ต้องพูดถึง...

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องใหม่แกะกล่องจากประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างอาร์เจนตินา ตุรกี เวเนซูเอล่า ที่เศรษฐกิจเค้ามีปัญหาในหลายจุดซ่อนเร้น โดยเฉพาะในอาร์เจนตินา ที่เงินเฟ้อสูงถึง 25% และทุนสำรอง ที่หดหายไปเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับปีก่อนโดยต่ำสุดในรอบ 7 ปี จนกดดันให้รัฐบาลต้องปล่อยค่าเงินตัวเองให้ลอยเท้งเต้ง (อ่อนไป 15% เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน) ตรงนี้เพื่อช่วยลดแรงกดดันจากตลาดมืดของเค้าด้วยครับ เพราะสายสืบผมบอกมาว่าเงินเปโซของเค้าซื้อขายกันถึง 13 เหรียญ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯในตลาดมืด เทียบกับตลาดจริง ที่ซื้อขายกันก่อนหน้านี้เพียง 6 เปโซ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะอ่อนตัวเป็น 8 เปโซ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ บัดนาว



ใบ้แบะๆว่า ค่าเงินโบลีวาร์ของเวเนซุเอลาในตลาดมืดโหดโฮกๆกว่านี้อีกครับ โดยซื้อขายกันที่ 75 ต่อดอลลาร์ เทียบกับ 6.3 โบลีวาร์ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐในตลาดจริง.. ยังมีอะไรหลายอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ที่เรายังไม่รู้ สิ่งที่น่าคิดก็คือ หากนักโจมตีค่าเงินเล็งเห็นตรงนี้ แล้วเข้าไปจัด (ดังที่มีคนเคยทำกับไทยเมื่อปี1997) ซึ่งหากประเทศนั้นทุนสำรองต่ำและพื้นฐานเศรษฐกิจไม่ดีจริง ก็มีสิทธิ์ ‘ไม่รอด’ ได้เช่นกัน 
   
ส่วนพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเรา ณ ปัจจุบัน ยังถือว่าแจ่ม ไม่แย่ ทุนสำรองยังมากกว่าหนี้ระยะสั้นอยู่เกิน 2 เท่า (ไม่เหมือนตอนปี 1997 ที่แทบไม่มี) ดังนั้น ไม่ตระหนกตกใจแต่ก็ไม่ประมาทครับ เพราะวิกฤตมักจะมาในเวลาที่เราคาดไม่ถึงเสมอ

Wednesday, January 22, 2014

สถานการณ์ฉึกฉึก

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 22 มกราคม 2557

นาทีนี้คงไม่มีข่าวใดฮอตไปกว่าการออกพ.ร.ก.ฉุนเฉินของรัฐบาลชุดปัจจุบัน สมควรหรือไม่ ผมคงมิกล้าออกความเห็น เพียงแต่ความจริงก็คือ ประเทศไทยได้ตกอยู่ในภาวะป่วยฉึกฉึกมาซักพักแล้วละ.. ในแง่การลงทุน ไม่ต้องสืบ เพราะหากเทียบกับการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตอนปี 53 เพียงวันทำการแรก ตลาดหุ้นไทยก็ลงพรวดไปถึง 3.5% ปู๊ดๆ และลงต่ออีกร่วม 10% จากนั้น.. ซึ่งทำให้ผลตอบแทนเทียบกับภูมิภาคในช่วงนั้นติดลบถึง 9% (ดูรูป)
ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมครับว่า ประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอยหรือไม่ก็ได้ เพียงแต่ให้ตระหนักไว้ว่าอาจมีบางเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ดังสุภาษิตฝรั่งที่ว่า History doesn't repeat itself, but it does rhyme. ดังนั้นไม่ต้องตระหนกตกใจ แต่ก็ไม่ประมาทในการลงทุนครับ
  
ในแง่ TFEX หลังจากฝรั่งซื้อ (Long) ต่อเนื่องมาถึง 12 วันนับจากต้นปี.. ณ บัดนาวเค้าได้พลิกกลับมาขาย (Short) ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ซะแล้ว (ดูรูป) สถานการณ์จะเป็นยังไงต่อไป.. โปรดติดตามต่อสัปดาห์หน้า

Wednesday, January 15, 2014

ฝรั่งมังค่า

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 15 มกราคม 2557

ความวุ่นวายทางการเมืองยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติกระปริบกระปรอยไม่กล้าซื้อหุ้นไทยเต็มกระบอกทั้งๆที่ขายไปปีที่แล้วทั้งปีเกือบ 2 แสนล้านบาท “โอกาส”มีอยู่ในทุกวิกฤต เพียงแต่วิกฤตที่ลากยาวกว่าปกติ ก็อาจทำให้เราเจอโอกาสที่ “ดีกว่า”ได้อยู่เรื่อยๆก็เป็นได้.. ผมได้นำข้อมูล (จาก SETSMART) มาให้ดูครับ จะเห็นว่าหากนับจากต้นปีนักลงทุนที่มียอดซื้อสะสมอยู่ก็คือ ฝรั่งกับพอร์ตโบรกในขณะที่นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายหนัก รวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อขายเกือบจะเท่ากัน 

แต่หากมาดูตัวเลขในตลาดอนุพันธ์ และเจาะจงไปเฉพาะ SET50 IndexFutures เป็นที่น่าแปลกว่านักลงทุนต่างชาติกลับเป็น ยอดซื้อ (long) สะสมมาตลอด “ทุกวัน” นับตั้งแต่ต้นปี..ตรงนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนเล็กๆว่า หากใครจะ ขาย (Short) SET50Index Futures เพื่อเก็งกำไรในช่วงนี้ อาจต้องเพื่อความระมัดระวังมากขึ้นและกำหนดจุดstop loss ให้ดีครับ

ขอจบบทความสั้นๆเพียงเท่านี้ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ^^

Wednesday, January 8, 2014

ตั้งสติก่อนสตางค์

สวัสดีปีใหม่ครับ,
เขียนเมื่อ 8 มกราคม 2557

การลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้ รวมถึง การเก็งกำไรในตราสารอนุพันธ์ อาจต้องใช้สติ (มากกว่าสตางค์) มากพอสมควรครับ สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันที่ไม่มีใครอาจรู้ได้ว่าจะจบเช่นไร เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทย underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา บางท่านถึงกับเปรียบสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้กับตัวอย่างหนึ่งของทฤษฎีเกมในทางเศรษฐศาสตร์ (Game Theory) ที่ชื่อว่า Prisoner's dilemma โดยบทสรุป ก็คือ ทั้ง 2 ฝ่ายไม่อาจยอม หรือ เลิกรากันได้ ไม่งั้นจะเกิดผลเสียต่อฝ่ายตนเองอย่างมหาศาล.. อย่างไรก็ดีทฤษฎีนี้มีทางออกอยู่ครับ ซึ่งผมขออุบไว้ก่อนละกัน

ในแง่มูลค่าพื้นฐาน ณ level ปัจจุบันถือว่า SET Index ไม่ได้แพงแล้วครับ คุณปรเมศร์ ทองบัว นักกลยุทธ์แห่งค่ายสถาบันของบัวหลวงได้ทำ chart ด้านล่างนี้ไว้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บ่งบอกว่า PE ตลาดหุ้นไทยถูกกว่าค่า PE เฉลี่ยของตลาดอินโด-ฟิลิปปินส์-มาเลเซีย และ ดัชนี S&P500 ของอเมริกา ถึงเกือบ 30% (เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 20%)

แต่ประเด็นก็คือ หากเรายังไม่สามารถหาทางออกของบ้านเมืองได้ ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะ trade ที่มูลค่า discount ใกล้ๆ 30% แบบนี้ไปอีกซักพักก็เป็นได้ครับ

ในแง่ของนักลงทุนต่างชาติ จากแผนภูมิด้านล่าง แสดงให้เห็นว่า ฝรั่งได้ขายหุ้นไทยในปีที่แล้วปีเดียวเป็นมูลค่าถึงเกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าที่เค้าซื้อสะสมมาตลอด 4 ปี (2009-2012) เสียอีก สาเหตุนอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นผลจากการลดการอัดฉีดเงิน (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเหตุผลอย่างหลังนี้ น่าจะยังคงหลอกหลอนนักลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยไปอีกตลอดปีนี้ครับ