7 พ.ย. 2557
พี่ Mark Zuckerberg ได้จัด first public Q&A บน Facebook (เรียกพี่เพราะอายุมากกว่าผม 3 ปี แต่เกิดเดือนเดียวกัน) โดยให้คนเข้าไปคอมเม้นถามอะไรก็ได้ หรือไป vote คำถามที่ชอบโดยการกด Like แล้วเค้าจะมาตอบแบบสดๆ
มีอยู่คำถามนึงผมชอบมากครับ มีคนถามพี่ Mark ว่า “Why do you wear the same T-shirt every day?”
ไอคนฟังก็คิดว่า เอ๊ะ เฮียจะหยอดมุกอะไรกลับมานะ.. แต่ป่าวครับ พี่ Mark ตอบแบบซีเรียสกลับมาว่า (ขออนุญาตแปลเอง)
“เอิ่ม คือมันมีทฤษฎีทางจิตวิทยาบอกไว้อะนะว่าไอการตัดสินใจจุกจิกหยุมหยิม เช่น วันนี้จะใส่ชุดอะไรดี หรือจะกินข้าวเช้าอะไรดีนะ พวกนี้ มันทำให้เราเสียเวลา เสียพลังงานไปมาก ผมไม่อยากจะไปเสียเวลากับการคิดอะไรพวกนี้”
“บอกตรง ผมโชคดีแค่ไหนที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ได้ตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วแบบว่าได้ดูแลคนมากกว่าพันล้านคนบนโลกออนไลน์แห่งนี้ ดังนั้น ผมจึงอยากจัดการชีวิตของผมให้มันแบบมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจน้อยที่สุด โดยเฉพาะเรื่องโง่ๆ หรือเรื่องที่ไม่สำคัญในชีวิต บ่องตง เรื่องเดียวตอนนี้ที่ผมแคร์ คือ How to best serve this community (Facebook) !!”
“ผมว่าอย่าง Steve Jobs หรือ Barack Obama เองก็ใช้ทฤษฎีเดียวกับผม ถ้าสังเกตส่วนใหญ่ทุกวันเค้าก็ใส่เสื้อรูปแบบเดิมๆ นั่นละ ยิ่ง Jobs เนี่ยนะ เค้าบอกเลยว่าอยากให้ทุกคนใน Apple ใส่เสื้อตัวเดียวกันด้วยซ้ำ กระต๊ากก!!”
“สุดท้าย ผมอยากบอกว่าผมมีเสื้อสีเทานี้หลายตัว ไม่ได้ใส่ซ้ำนะคร้าบบ 55+”
ที่มาเล่า เพราะผมเองก็มีแนวคิดเรื่องนี้คล้ายๆ พี่ Mark ครับ ผมมักจะกินข้าวเช้าร้านเดิมๆ เพราะขี้เกียจมาเสียเวลาคิดว่าจะกินอะไร การแต่งตัวผมแต่ละวันก็เพลนๆ ใส่ชุดรูปแบบเดิมๆ นิละไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
ส่วนใครอยากดูคลิปที่เฮียพูด ตามลิ้งค์ล่างนี้เลยครับ นาทีที่ 42 นะ https://www.facebook.com/video.php?v=828790510512059&set=vb.823440467713730&type=2&theater
Friday, November 7, 2014
Wednesday, October 29, 2014
แนวต้านสำคัญ
สวัสดีครัชชช
เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2557
หากจำกันผมได้เขียนไว้ในบทความ “ยืนหัวโด่”เมื่อต้นเดือน พร้อมกับตอกย้ำในบทความ “มีเสียว” เมื่อกลางเดือนไว้ว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะยืนได้ที่ระดับ 1520-1530 ก่อน ซึ่งเป็น gap ที่ดัชนีเคยเปิดเอาไว้เมื่อครั้งกระโน้น ซึ่ง SET ก็ทำให้เราไม่ผิดหวังครับเพราะได้ทำจุดต่ำสุดของเดือนไว้แค่ที่ 1519.76 จากนั้นก็ซิกแซกขึ้นเรื่อยๆ มาจนถึงระดับ 1560 ในปัจจุบัน
ตรงนี้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative model) ของหลักทรัพย์บัวหลวงก็คอนเฟิร์มครับเพราะไอเจ้า Medium-term Bull2Bear ratio ได้ตกจากพื้นที่เสี่ยงสูง (High risk zone) มาอยู่ต่ำกว่าพื้นที่ปกติ (Neutral zone) เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายถึงความเสี่ยงขาลงจำกัด และตลาดพร้อมปรับตัวขึ้น

อีกทั้งหากเหลือบไปดูเจ้า Yield spread ระหว่างพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี กับอัตราเงินปันผลล่วงหน้าของตลาดหุ้น จะพบว่ามันตกจากพื้นที่แพงมาอยู่ในพื้นที่ปกติเรียบร้อยแล้ว แบบนี้ถึงตลาดหุ้นไทยอาจจะยังไม่ได้ขึ้นแรงจากนี้ไป แต่ผมว่าโอกาสลงแรงๆ ในช่วงนี้ถือว่าค่อนข้างน้อยแล้วละ

สุดท้ายขอแวะมาแตะเจ้าอนุพันธ์สะบั้นหัวใจซะหน่อยครับ เจ้า SET50 Index Futures !!! คือตอนนี้ มันหล่อมากอะ บอกเลย แต่ผมอยากให้ดูอย่างนี้ครับว่า ในช่วงที่ดัชนีปรับฐานลงมา หากลากเส้นแนวโน้มขาลงก็จะได้กรอบดังรูป โอเคละการที่ดัชนีไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ก็ถือได้ว่าแนวโน้มขาลงได้ถูกสกัดไปแล้วระดับหนึ่ง แต่สัญญาณที่จะคอนเฟิร์มนั้นผมอยากให้ดูว่ามันจะสามารถเบรกและขึ้นมาปิดสวยเหนือกรอบนั้นได้รึป่าว (แถว 1036-1040) ถ้าได้ ดัชนีก็มีลุ้นขึ้นสวรรค์อีกรอบ แต่ถ้าไม่ได้ตรงนี้ละที่เค้าเรียกว่า“แนวต้านสำคัญ”

Wednesday, October 15, 2014
มีเสียว
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 15 ตุลาคม 2557
เห็นช่วงนี้ฮิตกันเหลือเกินเรื่องน้ำมันโลกลงรุนแรงก็เลยเอากราฟตั้งกะปีมะโว้มาให้ดูแล้วก็ขอพูดถึงซักกะหน่อย

จริงๆ แล้วน้ำมันโลกลงรุนแรงหนะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมครับเนื่องจากเราเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันสุทธิ (Net oil importer) เพราะงั้นเวลาน้ำมันลง จะหมายถึงต้นทุนนำเข้าถูกลง ซึ่งนักวิเคราะห์ของบัวหลวงเราได้ทำประมาณการไว้แล้วว่าทุกๆ 5% ของราคาน้ำมันที่ลงจะส่งผลให้ GDP บวกประมาณ 0.45% แต่ (ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจดีๆ) จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมลดลงเล็กน้อย ประมาณ 0.1% (เนื่องจากกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนค่อนข้างมากใน SET Index ถึง 1/5)
ผมคงไม่ล้วงลึกไปกว่านี้ในเรื่องราคาน้ำมัน ด้วยความรู้เพียงผิวเผิน แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของ demand supply นั่นละครับ รวมถึงมีเรื่องของต้นทุนการผลิตเข้ามาเกี่ยวด้วย ซึ่งโดยประมาณแล้วน่าจะอยู่ที่ราว 80 เหรียญต่อ 1 บาร์เรล (แต่มัน vary มากนะครับ บางแหล่งขุดเจาะต้นทุนการผลิตแค่ 30 เหรียญก็มี)
กลับมาที่ภาพตลาดเราก็เป็นไปอย่างที่เดาไว้ในสัปดาห์ที่แล้วครับว่าระดับ 1520-1530 น่าจะยังเอาอยู่ก่อน แต่ความเสียวหลังจากนี้น่าจะเริ่มเพิ่มขึ้นแล้วละ เพราะทั้งเจ้าแท่งเทียนรายสัปดาห์ของ SET และ SET50 ได้ออกมาโชว์เดี่ยวอยู่นอกกรอบขาขึ้นที่ลากไว้ตั้งต้นปีซะแล้น แบบนี้คงต้องพึ่งพลังนักลงทุนสถาบันในประเทศ พลังกองทุน LTF, RMF และพลังรายย่อยว่าจะดันกันไปได้ถึงไหน เพราะฝรั่งหัวเขียวคงจะไม่เข้ามาหนักๆ ในช่วงนี้เป็นแน่แท้กระมัง

Wednesday, October 8, 2014
ยืนหัวโด่
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2557
ไม่ได้เจอกัน 2 สัปดาห์กลับมาอีกที ดัชนี SET ลงจากจุดสูงสุดที่ 1602 เมื่อวันที่ 29 ก.ย. มาแชแม้อยู่แถว 1530-1540 ซะแล้น ซึ่งรอบนี้ถือว่าเป็นการปรับตัวลงราว 4% ครับ ทำให้ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยลงมาอยู่ที่ราว +18% นับจากต้นปี
อย่างไรก็ดี หากท่านสังเกตจากกราฟ จะเห็นว่าดัชนี SET50 ออกอาการทรงเสียก่อน (คือหลุดจากกรอบขาขึ้นก่อนดัชนี SET) แสดงว่าต้องเกิดจากหุ้นใหญ่แน่ๆ ที่พัดพาเราลงมา ซึ่งพอไปดูแล้วก็จริงครับ เป็นกลุ่ม Bank และ ICT นั่นละที่ลงมากกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นพลังงานตัวใหญ่อย่าง PTT ยังยืนหัวโด่อยู่ได้

นัยของผมก็คือ หุ้นตัวใหญ่ๆ เวลาลงแรงๆ หากพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ ประเดี๋ยวมันก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา (ทั้งจากนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ) แล้วยิ่งชำเลืองไปเห็นว่าเมื่อวันที่ 13 สิงหา ทั้งดัชนี SET และ SET50 ได้เปิด gap ไว้แถว 1520-1530 และ 1020-1025 ..เอ๊ะ มันช่างใกล้กับดัชนีที่ระดับปัจจุบันซะเหลือเกิน ผมก็เลยเดาว่าด่านแถว 1530 น่าจะเอาอยู่ก่อนรึป่าวนะ? อาจจะมีเด้งก่อนไหม? แล้วจะขึ้นจะลงอย่างไรก็ว่ากันอีกทีดีมั้ย?
แต่ที่ต้องย้ำก็คือ เนื่องจากตลาดได้หลุดจากกรอบขาขึ้น (ที่ผมลากจากต้นปี) ไปแล้วเรียบร้อย ตรงนี้แปลว่าถึงจะมีการรีบาวด์ แต่โอกาสที่จะขึ้นทางเดียวเหมือนเดิมนั่นท่าจะยากซะแล้วละครับ จากนี้ ตลาดน่าจะอยู่ในรูปแบบไซด์เวย์ไปเรื่อยๆ และความผันผวนในช่วงที่เหลือของปีน่าจะมีมากขึ้นหากเทียบกับช่วงต้นปีครับ
Wednesday, September 24, 2014
แก๊งค์ขาซิ่ง
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2557
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านจะเห็นขาใหญ่แต่ละกลุ่มที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาช่วยพยุงตลาด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงานนำโดยพี่ใหญ่ PTT กลุ่มธนาคารนำโดยแบงค์ดอกบัว BBL และล่าสุดก็กลุ่ม ICT นำซิ่งโดย 3 โจ๋ ADVANC DTAC INTUCH
โดยเฉพาะกลุ่ม ICT และ พลังงานที่ยัง underperform ดัชนี SETอยู่ราว 4% และ 9% ตามลำดับหากนับจากต้นปีจนถึงปิดเช้าวันที่ 24 ก.ย. (กลุ่มธนาคารปล่อยไปเหอะเพราะ outperform แต่ยังช่วยพยุงอีก)

แม้ท่านกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯได้ออกมาเตือนแล้วว่าให้ดูดีๆนะ หุ้นบางตัวที่ PE หลายร้อยเท่าราคามันอาจไม่สมเหตุสมผลต้องระวัง ต้องวิเคราะห์ให้ดีก่อนลงทุน แต่หากมองในภาพรวมแล้ว ก็นั่นละครับ หุ้นในกลุ่มใหญ่ยังช่วยพยุงตลาดไว้อยู่ดี
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เมื่อเร็วๆ นี้ท่านนายกฯประยุทธ์ได้บัญชาให้จัดหนักจัดเต็มกับเงินงบประมาณเริ่มในไตรมาสสี่ปีนี้ครับ มูลค่าก็ไม่มากไม่น้อย 1.1 ล้านล้านบาทเท่านั้น.. หลักๆ ที่จะไปลงก็คือการลงทุนในประเทศนั่นละ ซึ่งถ้าคิดบวกลบคูณหารแบบง่ายๆ โดยให้ GDP ประเทศไทยเรา 14 ล้านล้านบาท แปลว่ามูลค่าตกประมาณ3 ล้านล้านบาทต่อ 1 ไตรมาส ท่านนายกฯให้จัด 1.1 ล้านล้านบาท นั่นหมายถึง 37%ของ GDP เลยเชียวนะ! เพราะงั้นไม่แน่ GDP ไตรมาส 4 ปีนี้อาจจะโตถึง 2 หลักก็เป็นได้ โฮะๆๆ
เอาละท้ายสุด ก็อยากฝากไว้ครับว่า หากท่านยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้จริงจังก็อย่าไปลงทุนในหุ้น PE หลักร้อยเลยครับ เสี่ยงไป ยังมีหุ้นดีๆ อีกหลายตัวที่พร้อมให้ท่านสอย หรือหากยังไม่เจอจริงก็ถือเงินสดไว้ก่อนก็ได้ไม่ต้องรีบ ตำนานนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ยังเคยบอกไว้เลยครับว่า “จริงๆ แล้วการถือเงินสดก็เหมือนกับการถืออนุพันธ์ประเภทหนึ่งที่ไม่มีวันหมดอายุ เพราะเราสามารถที่จะเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินชนิดใดและเมื่อไหร่ก็ได้” นั่นละครับไม่พร้อมก็รอ พร้อมเมื่อไหร่ ค่อยจัดหนักจัดเต็มไปเลย!
Wednesday, September 17, 2014
PTT และผองเพื่อน
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 17 กันยายน 2557
ในที่สุดเราก็ได้เห็นธนาคารชาติจีน (PBOC) จัดหนักจัดเต็ม ด้วยการอัดฉีดเงิน 5 แสนล้านหยวน (ราว 2.6 ล้านล้านบาท) เข้าสู่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของเค้า 5 แห่ง (ตกธนาคารละ 1 แสนล้านหยวน) ผ่านโปรแกรมที่เรียกว่า Standing Lending Facility เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากตัวเลข Factory output และ Retail sales ของเค้าเมื่อเดือนก่อนประกาศออกมาโหลยโท่ย นักวิเคราะห์ต่างพากันคำนวณครับว่าการอัดฉีดครั้งนี้เทียบเท่ากับการลดอัตรากันสำรองของธนาคาร (RRR) ลงถึง 50 basis point เลยทีเดียวเชียว แต่ตลาดหุ้นจีนก็ไม่ได้ตอบสนองต่อข่าวนี้มากนัก เนื่องจากได้มีการคาดการณ์มาก่อนบ้างแล้ว อย่างไรก็ดี ผมมองว่าการลงไม้ลงมือของธนาคารแห่งชาติจีนครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าเค้าพร้อมจัดหนักจัดเต็มนะหากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งมันช่างคล้ายกับการจัดหนักจัดเต็มของธนาคารแห่งชาติอเมริกา (Fed) ยุโรป (ECB) ญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึงอังกฤษ (BOE) ในช่วงที่ผ่านมาซะเหลือเกิน
ส่วนบ้านเรา ก็ไม่รู้ซินะ พอเห็นเรื่องการปฏิรูปราคาพลังงานในไทยแล้วก็พลันไปนึกถึงเหตุการณ์ปฏิรูปพลังงานที่เกิดขึ้นในประเทศจีนและอินเดียในช่วงปี 2008-14 ซะอย่างนั้น Morgan Stanley เค้าได้ประเมินไว้ครับว่า หากยึดหุ้นพลังงานอย่าง PetroChina, Sinopec, BPCL, และ ONGC เป็นหลักในการคำนวณ หุ้นกลุ่มพลังงานของจีนและอินเดียในช่วงนั้นได้ถูก Re-rate P/E ขึ้น จาก 8-9 เท่า เป็น 11-12 เท่าเลยเชียวละ โอ้วว แล้วบ้านเราละ.. เอากะเค้าบ้างไหม?

พอเป็นซะแบบนี้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานในบ้านเรามีขนาดใหญ่ถึง 1/5 ของมูลค่าตลาดหุ้นไทย ผมก็เลยคิดว่าโอกาสที่ตลาดจะลงแรงๆ แบบเทกระจาดในช่วงนี้น่าจะ ‘ยากส์’ เพราะข่าวเรื่องการปฏิรูปราคาพลังงานนี้คงทำให้หุ้นอย่าง PTT และผองเพื่อนช่วยกันพยุงตลาดเอาไว้อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง อย่างดีตลาดหุ้นไทยก็อาจลงมาพักฐานแถวเป้า Base-case ปีนี้ของหลักทรัพย์บัวหลวงที่ 1530 เว้นซะเสียว่ารัฐบาลจะมีเซอร์ไพรส์ออกนโยบายใหม่ในทางตรงกันข้ามกับที่ตลาดคาดการณ์หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ แย่งเซอร์ไพรส์ก่อนด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้นั่นละครับ

Wednesday, September 10, 2014
ยุ่นปี่
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 กันยายน 2557
ผมเคยเขียนถึงการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในบทความเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เชียร์ให้ซื้อ แต่ก็แอบดีใจว่าตลาดหุ้นจีนก็ได้ขึ้นมาราว 6%จากวันนั้นถึงวันนี้.. คราวนี้เลยจะพาคุณผู้อ่านไปเที่ยวประเทศอื่นในแถบเอเชียเหนืออีกดูบ้าง ประเทศนั้นคือประเทศยุ่นปี่ ญี่ปุ่นครัช
Morgan Stanley ยักษ์ใหญ่การเงินชื่อดังของโลกได้ออกบทวิเคราะห์สะท้านทรวงเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาครับว่า ตอนนี้เค้าชอบหุ้นญี่ปุ่นที่ซู้ดด เหตุผลก็เพราะว่าการส่งออกของญี่ปุ่นจะค่อยๆ ดีขึ้นจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดี แม้ว่าการบริโภคในประเทศจะยังอ่อนแอ แต่นั่นจะทำให้ธนาคารกลางของเค้า (BOJ) ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก (ลุ้นผลประชุมปลายเดือนตุลาฯ) เอ้า งี้เยนก็ยิ่งอ่อน ส่งออกก็ยิ่งดีนะซิ!

ยิ่งไปกว่านั้น หันไปดูในแง่ผลประกอบการบ้าง Morgan Stanley บอกว่าบริษัทในญี่ปุ่นอ่ะประกาศผลกำไรมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ถึง 7 ไตรมาสติดกันแล้วนะ แม้กระนั้น PE ก็ยังถูกอยู่เลย.. ทีมวิเคราะห์เค้าเลยคาดการณ์กันว่า ROE ของบริษัทจะโตอีก 50 bps ในปีปฏิทิน 2015 เลยเชียวละ (อ๊ะๆ เหลือบไปดู upside จาก Target price เฮียเค้าให้ไว้ถึง 15% เลย)

หันกลับมาบ้านเรา ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ควรจะมีการปรับตัวบ้างเล็กน้อยเช่นเดียวกันกับตลาดอนุพันธ์ละครับ หลังจากเกิดสัญญาณ Bearish Divergence บนตัวเจ้า SET50 Futures ในภาพรายวันเมื่อสิ้นวันที่ 9 ก.ย. ที่ระดับ RSI เข้าใกล้เขตซื้อมาก (ใกล้ 70) อย่างไรก็ดีผมคิดว่าการปรับตัวรอบนี้จะไม่ได้รุนแรงอะไร (ไม่น่าหลุดกรอบขาขึ้น) แนะนำให้ลองดู RSI ประกอบ ถ้าถอยลงมามากเท่าใดดีกรีการปรับตัวน่าจะค่อยๆเบาลงมากเท่านั้นครับ

แล้วพบกันใหม่บทความหน้าครับ : )
Wednesday, September 3, 2014
10 ปีที่ผ่านมา
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2557
ผมรู้สึกว่าประเทศไทยเรากำลังวิ่งเข้าหาประเทศตะวันตกหรือประเทศพัฒนาแล้วในหลายๆ เรื่องครับ ลองนึกย้อนไปเมื่อซัก 10 กว่าปีก่อน ไม่ค่อยเห็นหรอกที่คนหนุ่มสาวหรือเด็กในวัยเรียนจะแยกจากพ่อแม่มาอยู่เอง ในขณะที่การทำแบบนั้นเป็นเรื่องปกติของฝรั่งมาช้านานแล้ว หันกลับมาดูปัจจุบัน การเดินทางในกรุงเทพฯ เริ่มสะดวกมากขึ้น มีคอนโดฯ ผุดขึ้นเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่รถไฟฟ้าผ่าน เราเริ่มจะรู้สึกว่าไม่แปลกแฮะที่เด็กสมัยนี้จะย้ายมาอยู่คอนโดฯ เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ในขณะที่ผู้ปกครองก็อาจมองว่าเป็นการฝึกให้ลูกๆ ได้รู้จักใช้ชีวิต และยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง มีการซื้อคอนโดฯ ไว้เพื่อเป็นแหล่งพักพิงแหล่งที่ 2 หรือบ้างก็ไว้เก็งกำไร.. ลองคิดเล่นๆ ครับว่าหากอนาคต 10-20 ปีข้างหน้ามีการเดินทางสะดวกสบายทั่วประเทศ พฤติกรรมคนต่างจังหวัดก็ต้องเปลี่ยน สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ต้องผุดตาม แล้วใครบ้างละที่ได้ประโยชน์?

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเปลี่ยนไปค่อนข้างชัดก็คือ “ความรู้สึกคนไทยกับการทำประกัน” ผมว่า 10 ปีที่ผ่านมานี้ภาพลักษณ์ธุรกิจประกันดูดีขึ้นนะ คนไทยเริ่มเห็นว่าการทำประกันไม่ว่าจะประกันชีวิตหรือประกันภัยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันช่วย “ปิดความเสี่ยง” ในขณะที่แท้จริงแล้วถ้ามองย้อนไปชาวตะวันตกเค้ารู้สึกแบบนี้มาช้านานแล้ว (ปัจจุบันคนอเมริกาถือประกันเฉลี่ยคนละ 5-6 ฉบับ คนไทยถือเฉลี่ยคนละไม่ถึง 1 ฉบับ!) ซึ่งแนวโน้มนี้ผมคิดว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตเพียงแต่อัตราเร่งจะมากจะน้อยก็ขึ้นกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ลองนึกดูว่าในอดีตจากที่คนเบือนหน้าหนีเลยเวลาใครมาเสนอขายประกัน อาจจะเปลี่ยนเป็นฟังซักหน่อยก่อนแล้วค่อยหนี หรือฟังนานขึ้นหน่อยแล้วหยวนๆ ซื้อ.. ไม่แน่ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนเป็นเราที่ต้องวิ่งเข้าหาคนขายประกันก็เป็นได้ครับ
สรุป หากลองนึกๆ ดีก็จะพบครับว่าพฤติกรรมคนไทยที่กำลังเปลี่ยนไปนั้น ได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนนานแล้วในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สาเหตุก็ง่ายๆ “เพราะมนุษย์เรามียีนเดียวกัน” ยังไงพฤติกรรมพื้นฐานควรจะต้องไม่ต่างกัน.. ความจริงมีอีกหลายเรื่องที่ผมรู้สึกว่าเปลี่ยนไปในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ไว้จะทยอยเล่าให้ฟังนะครับ (ใครนึกออกอีกก็แชร์กันก่อนได้) ส่วนภาพตลาดในสัปดาห์นี้ต้องบอกว่าเหนียวแน่นหนึบ มาจากความเชื่อมั่นที่มากขึ้นจากการที่ได้เห็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ผมมองว่าข้อดีอีกข้อหนึ่งของการที่เรามีรัฐบาลทหารก็คือสามารถลดขั้นตอนในการอนุมัติโครงการต่างๆ ออกไปได้ พูดง่ายๆ นโยบายใดที่ดีในรัฐบาลก่อนๆ ที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับการอนุมัติ น่าจะได้นำมาใช้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในรัฐบาลนี้ด้วยครับ
Wednesday, August 27, 2014
Chandelier Stop
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 27 สิงหาคม 2557
ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมายังคงไต่ผาสูงชันขึ้นมาเรื่อยๆ จนทำจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งในวันนี้ แต่ผมกลับรู้สึกว่าหุ้นขนาดใหญ่กลับไม่ค่อยขึ้นมากเท่าไหร่ เป็นหุ้นขนาดกลาง-เล็กซะมากกว่าที่ช่วยกันดันดัชนี (จำได้ว่าอาทิตย์ก่อนหุ้นอะไรนะ ABCDE ตัวเดียวมีผลทำให้ดัชนีในวันนั้นบวก 2-3 จุด!) ซึ่งตรงนี้ก็ไปสอดคล้องกับสัญญาณเตือนที่นักวิเคราะห์ของเราแจ้งมาครับว่าปริมาณการซื้อขายของหุ้นนอก SET100 ณ ขณะนี้อยู่ที่ 43% ของปริมาณการซื้อขายทั้งตลาดแล้วนะ! ซึ่งนี่เป็นระดับที่สูงผิดปกติ บอกเลย เพราะทุกครั้งที่ตัวเลขนี้เกิน 40% ตลาดจะมีการพักตัวหรือปรับฐาน เว้นอยู่ครั้งเดียวเมื่อเดือนมกราปี 2012 เพราะตอนนั้นตลาดยังไม่แพงมาก (ดูรูปประกอบ)


อย่างไรก็ดี ตรงนี้ก็เป็นแค่สัญญาณเตือนครับ ไม่ได้บอกว่าหุ้นจะต้องลงกระฉูดอย่าเพิ่งตกใจ เอางี้ละกัน สำหรับนักลงทุนเล่นรอบ นักเก็งกำไร หรือนักใช้ใจเทรด TFEX ผมขอแนะนำให้รู้จักกับเจ้า Trailing Stop หรืออีกชื่อหล่อๆว่า Chandelier Stop
(หลายท่านคงรู้จักดีอยู่แล้ว) หลักการของเจ้า Trailing Stop หรือ Chandelier Stop ก็ไม่มีอะไรมากครับ เพียงแค่หากท่านมีหุ้นก็ถือหุ้น หากมี Futures ก็ถือ Futures ต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่หลุดจุดที่เราตั้งไว้ (โดยไม่ต้องสนที่คนคาดว่าตลาดจะขึ้นหรือจะลงเพียงใด) และเราก็ปรับจุดนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามดัชนีหรือหุ้นที่เพิ่มขึ้น.. พูดง่ายๆ มันเป็นจุดที่เอาไว้ protect gains นั่นละครับ
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณซื้อ S50U14 ได้ที่ราคา 1020 ในขณะที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1049 คุณก็อาจจะตั้ง Trailing Stop ไว้ที่ 1040 หมายถึง ตราบใดที่ S50U14 ยังไม่หลุด 1040 เราก็ถือเจ้า S50U14 ต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่ขายทำกำไร หากในวันต่อมาเจ้า S50U14 ขึ้นต่อไปที่ 1060 คุณก็อาจจะขยับ Trailing Stop ตามมาที่ 1050 จุด (แม้เจ้า S50U14 จะแกว่งผันผวนเพียงใดขอเพียงแต่ไม่หลุด 1050 คุณก็ถือต่อ ถ้าหลุดก็ขาย) และถ้าวันถัดมาเจ้า S50U14 ยังขึ้นต่ออีก คุณก็แค่ขยับ Trailing Stop ตามไปอีกก็แค่นั้น
เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยลดโอกาสในการตื่นตกใจขายหมูของคุณไปได้เกือบครึ่งแล้วละครับ ลองดูนะ ไม่ยาก
Wednesday, August 13, 2014
นอกกรอบ
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2557
ผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาวกันไปกลับมาเริ่มงานใหม่ ตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นให้ชื่นใจไล่ตามตลาดภูมิภาคในช่วงที่ปิดไปอย่างน่าเกรงขาม จากรูป จะเห็นว่า SET Index วิ่งเลี้ยงตัวสวยในกรอบขาขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีและก็ยังไม่มีท่าทีจะหลุดนอกกรอบให้วุ่นวายใจ แถมยังยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน (สีฟ้า) ได้อย่างสวยหรูอีก แบบนี้ก็คงไม่ต้องสืบละนะครับว่าเชียลงไปก็มีแต่ปวดร้าว เว้นเสียแต่มันจะหลุดกรอบขาขึ้นนี้แบบหมดจดเท่านั้น

ในขณะที่ เหลือบไปมองเจ้ากองตุน เอ้ย กองทุนไทย ก็แหมขยันออกกันจัง Trigger funds เนี่ย ผุด ผุด ผุด รวมๆกันในช่วงนี้ก็กว่า 3 พันล้านบาทเข้าให้ ตลาดหุ้นไทยเลยเหนียวซะยิ่งกว่าตังเมซะอย่างนั้น

ถัดมาลองมาดูตัวเลขสัดส่วนการซื้อขายของฝรั่งกันครับ จะเห็นว่าลดลงพรวดในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ (จาก 30.1% ในไตรมาส 1 เป็น 18.9% ในไตรมาส 3) ในขณะที่รายย่อยอย่างเราๆ นั่นละครับ ตัวดี ซื้อขายกันจัง สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเห็นๆ (จาก 47.5% ในไตรมาส 1 เป็น 61.7% ในไตรมาส 3) บ้างก็เลยเอามาสรุปกันว่าฝรั่งเค้ารอจังหวะเป้งๆอยู่ตลาดหุ้นไทยลงเมื่อไหร่ สอยแหลกแน่... มันก็เลยไม่ลงซักทีนะซิ ฮือๆ

สุดท้ายของบทความนี้แต่ไม่ท้ายสุด ผมนำเรื่องของเพดานการคุ้มครองเงินฝากมาฝากครับ เพราะว่ามันกำลังจะถูกลดลงครึ่งหนึ่งจากที่คุ้มครอง 50 ล้านบาท เหลือ 25 ล้านบาทในวันที่ 11 สิงหาคมปีหน้า และจะเหลือคุ้มครองเพียง 1 ล้านบาท ในวันที่ 11 สิงหาคมอีกปีถัดไป ตรงนี้ก็เป็นที่คาดการณ์กันว่าอาจจะมีเงินบางส่วนวิ่งวนไปเข้าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่หุ้น (เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ราว 10 ล้านล้านบาท ถ้าปีหน้าลดการันตีลงมาครึ่งหนึ่งก็อาจจะมีสภาพคล่องราว 5 ล้านล้านบาทที่จะวิ่งไปหาสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น)

บทสรุปของผมก็คือ ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้น่าจะยัง resilient อยู่ครับ หมายถึง แม้จะมีปัจจัยภายนอกและภายในมากระทบทำให้หุ้นตกซักเพียงใด หุ้นไทยก็น่ามีแรงซื้อเข้ามาช่วยพยุงอยู่ได้ตลอด..แต่จะเป็นแบบนี้ไปได้อีกนานซักแค่ไหน อันนี้ก็ต้องติดตามตอนต่อไปละครับ!
Subscribe to:
Posts (Atom)