Saturday, July 30, 2011

เพดานหนี้ นี้ใครครอง? (Democrat or Republican)

สวัสดีครับ ช่วงนี้นักลงทุนหลายท่านที่ติดตามสภาพเศรษฐกิจโลก คงได้ยินข่าวเรื่องการปรับเพดานหนี้ของสหรัฐกันหนาหูเชียว แต่รู้กันหรือไม่ว่าจริงๆแล้วเพดานหนี้ของสหรัฐ หรือ US Debt ceiling นั้น เค้ากำหนดไว้เท่าไหร่ และมีรายละเอียดอย่างไร วันนี้จะมาเล่าให้ฟังคร่าวๆกันครับ

USA มีเพดานหนี้ หรือเรียกว่า วงเงินที่สามารถก่อหนี้ได้ (เหมือนวงเงินบัตรเครดิตอะครับ) อยู่ที่ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 443 ล้านล้านบาท พูดง่ายๆว่า USA สามารถก่อหนี้ได้ถึง 50 เท่าของ GDP ประเทศไทยเลยทีเดียว (สูงโฮกๆ) ซึ่งตอนนี้พี่เมกา ก็ใช้เงินเต็มวงเงินแล้วละครับ ซึ่งถ้าสภาคองเกรสไม่ยอมแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มเพดานหนี้ขึ้นไป มันก็คล้ายกับเราใช้วงเงินบัตรเครดิตเต็มแล้ว ไม่มีตังจ่าย แล้วจะทำไงต่อไปละ...

จริงๆแล้ว USA เพิ่มเพดานหนี้มานานแล้วละครับ ตั้งแต่ปี 1980 โดยขึ้นหนักๆในยุคของ เรแกน (17ครั้ง), คลินตัน (4ครั้ง), บุช (7ครั้ง) และล่าสุดถ้าครั้งนี้ขึ้นอีก ก็เป็นครั้งที่ 4 ในสมัยของโอบามาครับ


แล้วทำไมจะต้องมาเถียงกันด้วยว่าเพิ่มไม่เพิ่ม เพราะสุดท้ายแล้วก็ประเทศเดียวกัน? 
คืองี้ครับ เรื่องมันก็คล้ายๆกับบ้านเรานั่นแหละ ไม่พ้นเรื่องการเมือง เพราะสองพรรคของเมกาต่างก็จะอยากจะปกป้องฐานเสียงของตัวเองไว้ โดย Democrat ต้องการขึ้นภาษีคนรวย แต่ Republican ไม่ยอมเพราะจะไปกระทบฐานเสียงส่วนใหญ่ของเขาซึ่งก็คือคนรวย เลยบอกว่า ทำไมไม่ไปไปลดเงินเดือน ลดค่าใช้จ่าย ลดสวัสดิการสังคมแทนละ Democrat ก็ไม่ยอมอีกเพราะไปกระทบชนชั้นกลางที่เป็นฐานเสียงใหญ่ของเขา และก็เป็นอย่างนี้มาทุกยุคสมัย ที่ 2 พรรคนี้ต้องต่อรองกันก่อนเพิ่มเพดานหนี้ เพราะถ้าไม่เพิ่มก็จะจ่ายเงินบำนาญไม่ครบ ทั้งเงินเดือนลูกจ้างรัฐ, การจ่ายสวัสดิการทหารผ่านศึก และค่ารักษาพยาบาลก็ลดลง ต้องไปลดงบประมาณ FBI หรือ CIA รวมถึงเลิก Food Stamp และอื่นๆอีกมากมาย

ถ้าเพิ่มเพดานหนี้ได้ แล้วไงต่อละ?

คำตอบคือช่วงแรกบรรยากาศจะดูดีขึ้นครับ เพราะอเมริกาไม่ต้องขึ้นชื่อว่าผิดนัดชำระหนี้ (ลองคิดดูว่าถ้าประเทศที่ Rating สูงที่สุดในโลกอย่างอเมริกายังผิดนัดชำระหนี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับประเทศอื่นละครับ) แต่ในระยะกลางถึงระยะยาวแล้ว ผมเชื่อว่าปัญหายังคงอยู่ ถ้ารัฐสภาสหรัฐยังไม่ปรับปรุงลดรายจ่ายต่างๆ ลง และเพิ่มอัตราภาษีบางอย่างขึ้น มันก็แค่แก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้นครับ เหมือนจ่ายหนี้บัตรเครดิตด้วยการไปเปิดใช้บัตรใหม่แล้วกดเบิกเงินสดล่วงหน้าจากบัตรใหม่เอาไปจ่ายชำระหนี้บัตรเก่า ผ่านไปอีกพักก็จะแย่อีก และยิ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐโตไม่เร็วพอ ซึ่งก็คือไม่สามารถเพิ่มรายได้ได้ทันค่าใช้จ่าย หรือจะแก้เรื่องนี้ ก็ต้องให้ได้ดุลด้วยการลดค่าใช้จ่ายลง 40% (คิดจาก 1 ดอลลาร์ที่สหรัฐใช้ เกิดจากการกู้ 40%) ซึ่งทำอย่างนั้นก็จะกระทบเศรษฐกิจอย่างหนัก เพราะคนจะยิ่งไม่มีเงินไปใช้จ่าย ธุรกิจก็แย่ลง อัตราการว่างงานก็เพิ่มขึ้น ธุรกิจก็ซบเซา คนก็ตกงานเพิ่มขึ้นอีก... วนเวียนกันอยู่อย่างนี้

แล้วขึ้นหรือไม่ขึ้น Debt Ceiling มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไร?
ประเด็นนี้ผมว่าคนพูดเยอะแล้วครับ ไม่พูดถึงดีกว่า ไม่ตื่นเต้น...

Tuesday, May 10, 2011

บทเรียนของหุ้น P/E สูง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 พฤษภาคม 2554

เมื่อไม่นานมานี้มีหุ้นตัวหนึ่งซึ่งผมติดตามมาได้ซักพักแล้ว ราคาลงมาจนน่าใจหาย (จนถึง Floor) ภายในเวลาไม่นาน ซึ่งอาการแบบนี้ของหุ้นตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และทุกครั้งที่เกิดก็ได้ทำให้นักลงทุนหลายท่านเจ็บหนักไปตามๆกัน

มาย้อนดูประวัติหุ้นตัวนี้ซักเล็กน้อยครับ พบว่าราคาหุ้นได้ขึ้นมามากกว่า 5-6 เท่าในระยะเวลาเพียงปีเศษๆ นี่ไม่ใช่เฉพาะราคาที่ปรับตัวขึ้น แต่ปริมาณการซื้อขายก็สูงขึ้นเป็นร้อยหรือเป็นพันล้านบาทต่อวันด้วย ทั้งๆที่ไม่ใช่หุ้นขนาดใหญ่ ด้วยเหตุผลที่เชื่อว่า รายได้หลักของบริษัทจากธุรกิจให้บริการอินเตอร์เนตจะเติบโตขึ้นมากใน 4-5 ปีข้างหน้า เพราะหากย้อนไปดูข้อมูลจำนวนผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตในประเทศไทย (Penetration Rate) ก็พบว่าต่ำเพียง 26.3%  ซึ่งต่ำกว่าประเทศที่มี GDP per Capita ใกล้เคียงกับเรา เช่น เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ประเทศที่แนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตไม่ต่างกับเรา อย่างไต้หวันหรือมาเลเซียนั้น Penetration Rate ก็อยู่สูงกว่า 60% หรือแม้แต่ในประเทศพัฒนาแล้วก็เฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 70% ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอินเตอร์เนตในระยะยาวนั้น มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นสาธารณูปโภคสำคัญในชีวิตประจำวันของเราเสียแล้วครับ... นอกจากนี้อาจจจะอยู่ที่กลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทก็เป็นได้ หลังจากที่สามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานในเรื่องหนี้สินหรือขาดทุนสะสมเก่า บริษัทก็ได้ดำเนินการวางกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ การเข้าสู่ธุรกิจบรอดแบนด์อินเตอร์เนตนั่นเองครับ ด้วยเห็นว่าธุรกิจนี้จะเป็นโอกาสทองในอนาคต จนกว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีไร้สาย 3G จะเป็นจริง ซึ่งบริษัทก็อาจต้องเพิ่มกลยุทธ์อื่นๆเข้ามาต่อไป ด้วยเหตุผลคร่าวๆ ที่กล่าวมาทำให้นักลงทุนหลายท่านเชื่อว่าบริษัทที่ว่านี้จะมีแนวโน้มเติบโตที่ดีในระยะยาว หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น Growth company แต่อย่าลืมว่าราคาหุ้นอาจจะไม่ได้ถูกแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นหากเราไม่ไ้ด้เข้าใจในธุรกิจหรือบริษัทนั้นอย่างถ่องแท้ ทุกครั้งที่คิดจะซื้อหุ้น อย่างน้อยก็ควรดูค่า P/E, P/BV ไว้บ้าง แล้วเราอาจจะตัดสินใจใหม่ได้ว่าจะซื้อหุ้นตัวนั้นหรือไม่ ถ้าพบว่าบริษัทนี้ดีจริงๆ แต่ราคาหุ้นหรือ P/E สูงไป (สูงหรือไม่ลองเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น หรือเฉลี่ยย้อนหลังซัก 5 ปีของบริษัทก็ได้ครับ) ก็รอครับ ไม่ต้องรีบ ยังมีหุ้นดีๆในตลาดให้เลือกอีกมาก
สุดท้ายนี้ผมยกคำพูดของดร.นิเวศน์ ที่เขียนถึงหุ้นกลุ่มหนึ่งไว้ว่า "หุ้นพวกนั้นเป็นตัวอย่างของการแสดงอยู่บนเวที” นั่นคือราคาหุ้นกำลังดีดตัวถึงขีดสุด กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น ปริมาณการซื้อขายหุ้นติดอันดับสูงสุดสิบอันดับเป็นว่าเล่นทั้งที่ไม่ใช่เป็นหุ้นตัวใหญ่ นักลงทุนหลายคนก็เข้าไปซื้อด้วยมีนักลงทุนรายใหญ่บอกมา และหวังว่าราคาจะขึ้นไปได้อีกไกล อีกทั้งนักวิเคราะห์หลายแห่งก็ปรับเป้าขึ้น(ตามราคาหุ้นที่ขึ้นไปแล้ว)อย่างจ้าละหวั่น ซึ่งเราคงต้องรอดูกันต่อไปครับว่าราคาหุ้นจะเป็นเช่นไรหลังจาก “จบการแสดง”