Wednesday, August 8, 2012

ว่าด้วยเรื่องธนาคาร และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของหุ้นธนาคาร

สวัสดีแฟนคลับทุกท่านครับ,,,
เขียนเมื่อ 8 สิงหาคม 2555


ใกล้เข้ามาแล้ว กับอีกวันสำคัญของคนไทยทุกคน วันแม่แห่งชาติ”… ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของลูกทุกคน ที่ต้องทำให้ทั้งคุณแม่และคุณพ่อมีความสุข... ไม่ใช่เฉพาะวันนี้แต่เป็นทุกวันที่มี... ในขณะที่ ชาวไทยอีกก๊วนหนึ่งก็กำลังทำหน้าที่ตัวแทนประเทศในฐานะนักกีฬาโอลิมปิกอยู่ที่อังกฤษ... ลุ้นครับ ขออีกซักเหรียญสามเหรียญ... ผมเชื่อว่าครับว่าคนไทยทำอะไร ถ้าตั้งใจ ไม่แพ้ชาติใดในโลก! เอาละ... กลับมาที่เรื่องของเรา... ทุกท่านทราบไหมครับว่าในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) นอกจากพระเอกอย่าง SET50 Index Futures แล้ว พระรองที่มีชื่อว่า “Single Stock Futures” หรือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงราคาหุ้นรายตัว ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน... ข้อต่างหลักๆ มีเพียง สินค้าอ้างอิง ที่ไม่ใช่ SET50 Index แต่เป็นหุ้นรายตัวเท่านั้นครับ... ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย ผมขออนุญาตไม่เล่า เพราะคิดว่าทุกท่านสามารถหาข้อมูลได้ไม่ยาก... ลองคลิกนี่ดูครับ http://www.tfex.co.th/th/products/stock-spec.html ส่วนวิธีการลงทุน... ผมก็ไม่เล่าอีกนั่นแหละ... เพราะก็ไม่ต่างจากการลงทุนใน SET50 Index Futures เท่าใดนัก (ลองค้นบทความนักค้าหน้าหยกย้อนหลังดู)... อ่าว แล้วงี้จะเล่าไรละ!? (เสียงตะโกนแทรกพร้อมกับข้าวของเตรียมปา) ใจเย็นๆครับ... วันนี้ผมจะมาเล่าถึงภาพรวมของธุรกิจธนาคารไทย และแนะนำถึง Single Stock Futures ที่มีสินค้าอ้างอิงเป็นหุ้นธนาคารรายตัว
เริ่มที่:  ธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงการคลัง ได้กำหนดรูปของธนาคารพาณิชย์ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Sector Master Plan) ออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกันครับ คือ 1) ธนาคารพาณิชย์ 2) ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย 3) ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ และ 4) สาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ... ซึ่งกฎเกณฑ์ในการจัดตั้งธนาคารแต่ละประเภทค่อนข้างต่างกันพอสมควร... โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ เช่น ธนาคารพาณิชย์ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท... ตรงนี้ ถ้าจำกันได้ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) ก็เพิ่งได้ปรับฐานะจากธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยขึ้นมาเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มตัวเมื่อไม่นานมานี้เองครับ... ซึ่งทำให้ธนาคารสามารถประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้อย่างเต็มรูปแบบ  และให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น 
ว่าต่อ:  อุตสาหกรรมธนาคารไทยนั้นจัดได้ว่าอยู่ในตลาดที่ผู้เล่นน้อยรายครับ (oligopoly market) โดยผู้เล่นรายใหม่จะเข้าสู่ตลาดได้ยาก เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยมีกฎเกณฑ์ในการจัดตั้งที่เข้มงวด, มี Protection สูง (เพราะธุรกิจธนาคารในบ้านเราถือว่าค่อนข้างใหม่ถ้าเทียบกับประเทศอื่น) มีกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่ครองความเป็นผู้นำในตลาด และมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า (family relationship-based) เช่น ถ้าครอบครัวท่านใช้ผู้จัดการธนาคารคนนี้ ท่านก็อาจจะใช้ด้วย... อีกทั้งโดยมากนิสัยคนไทยจะค่อนข้างติด Brand ไม่ค่อยเปลี่ยนธนาคารถ้าไม่จำเป็น... ตรงนี้ ทำให้ยากสำหรับธนาคารขนาดเล็กที่จะเข้าไปตีตลาด หรือดึงลูกค้ามาครับ...  ซึ่งจะเห็นได้ว่าระยะหลังมานี้ ธนาคารขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางมีการปรับตัวค่อนข้างมาก เพื่อให้สามารถแข่งขันกับธนาคารขนาดใหญ่ได้อย่างไม่เป็นรอง... รวมทั้งเตรียมพร้อมต่อ The Upcoming AEC. 
ก่อนส่งท้าย:  แคบลงมาอีกนิด (ชิดๆเข้ามาอีกหน่อย)... ในหมู่นักวิเคราะห์เอง ก็มีการจัดกลุ่มเฉพาะของธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์และเปรียบเทียบผลการดำเนินงานครับ... โดยแบ่งตามขนาดสินทรัพย์ (Asset) ออกได้เป็น 3 กลุ่ม (Tier) ด้วยกัน ได้แก่:
1.     First Tier หรือ ธนาคารขนาดใหญ่ ประกอบด้วย BBL, SCB, KBANK, KTB
2.     Second Tier หรือ ธนาคารขนาดกลาง ประกอบด้วย BAY, TMB, TCAP
3.     Third Tier หรือ ธนาคารขนาดเล็ก ประกอบด้วย KK, TISCO, LHBANK, CIMBT, SCBT, UOBT, ICBCT (3 ชื่อหลังไม่ได้ list ในตลาดหลักทรัพย์แล้วนะครับ)
ซึ่งทางตลาดอนุพันธ์ก็ได้เลือกหุ้นธนาคารใน 2 กลุ่มแรก มาใช้เป็นสินค้าอ้างอิงในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Single Stock Futures) นั่นเองครับ... มีทั้งหมด 7 ตัว... แต่ละตัวก็มีความน่ารักจิ้มลิ่มต่างกันออกไป... แต่สำหรับมือใหม่ผมแนะนำให้เริ่มศึกษาที่ KTB Futures ก่อนละกัน เพราะตัวนี้สภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย สบายมือ... อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้เสมอครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน
บ๊ายบาย:  ข้อมูลบางส่วนของบทความในวันนี้ อ้างอิงมาจากบทสัมภาษณ์ที่ผมได้ไปพบท่านผู้บริหาร (CFO) ของธนาคารขนาดเล็กแห่งหนึ่งในฐานะนักศึกษาปริญญาโท ต้องขอขอบคุณท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ... ในครั้งหน้า ผมจะมานำเสนอวิธีการวิเคราะห์ภาพรวมกลุ่มธนาคารแบบง่ายๆ และแถมด้วยประเด็นเด็ดจากที่ผมได้เข้าพบท่านผู้บริหารสูงสุด (President) ของธนาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง... ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งกับการลงทุนในหุ้น และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงราคาหุ้นธนาคาร... ห้ามพลาดครับ!

Wednesday, August 1, 2012

เหล่ากูรู SET50 Index Futures เค้ารู้อะไรกัน?

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 1 สิงหาคม 2555


เข้าสู่สัปดาห์ที่ 7 กันแล้ว กับผม นักค้าหน้าหยก!”... ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ :) เอาละ เข้าเรื่องเลยดีกว่า... เพื่อนๆพี่ๆ ที่ลงทุนในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) เคยสงสัยกันมั้ยครับว่า ทำไมราคาของ SET50 Index Futures บางทีมันก็มากกว่า SET50 Index... บางทีก็น้อยกว่า SET50 Index... ตัวอย่างเช่นช่วงต้นสัปดาห์นี้ ที่ราคา SET50 Index Futures น้อยกว่า SET50 Index ร่วมๆ 8-10 จุดด้วยกัน... แต่เช้าวันนี้ลดลงมาเหลือเพียง 4-5 จุด... เอ น้อยกว่าแปลว่าถูกรึป่าว? หรือถ้ามากกว่าแปลว่าแพงใช่มั้ย?... กูรูเค้าดูที่อะไรกัน ลองมารู้กันครับ
การวิเคราะห์หาราคายุติธรรม (Fair Value Pricing Analysis):  ในโลกแห่งการลงทุน... เมื่อท่านได้ตัดสินใจซื้อสัญญาซื้อขายสินค้าล่วงหน้าแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่ต่างกับการที่ท่านกู้เงินเพื่อมาซื้อสินค้าอ้างอิงโดยตรง และเก็บรักษาไว้จนถึงวันส่งมอบของสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้น... ซึ่ง! การที่ท่านถือครองสินค้าโดยตรง แน่นอนครับว่ามันต้องมีต้นทุนการถือครอง (Holding cost) ที่ท่านต้องรับภาระเพิ่มขึ้น อาทิ ค่าจัดเก็บสินค้า, ค่าขนส่ง ในขณะที่การถือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไม่มี แต่! มีเสีย ก็ต้องมีได้... การที่ท่านถือครองสินค้าโดยตรง ท่านอาจจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น (Holding return) เช่น ถ้าท่านถือครองหุ้น ท่านก็ได้เงินปันผล ถ้าถือครองอสังหาริมทรัพย์ ท่านก็ได้ค่าเช่า หรือถ้าถือครองตราสารหนี้ ท่านก็ได้ดอกเบี้ย... ในขณะที่ถ้าถือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ท่านไม่ได้นะ... และด้วยหลักการนี้เองทำให้นำไปสู่แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเรียกน่ารักๆ ว่า Cost of Carry Model ครับผม
สมการด้านบน มีที่มาที่ไปมาจากหลักการของการทำ Arbitrage และ Law of One Price ครับ (ถ้าไม่คุ้นศัพท์ ก็กูเกิลนะ!) สรุปง่ายๆ คือ สินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ราคาของสินค้าชนิดนั้นย่อมมีมูลค่าเท่ากัน (เอ๊ะ! แล้วทำไมน้ำมันดิบ Brent กับ West Texas Intermediate (WTI) ราคามันไม่เท่ากันละ? ตรงนี้มันมีปัจจัยอื่นมากระแทกครับ เช่น เรื่องของสภาพ Over Supply, ค่า Logistic ที่สูงกว่า... ตรงนี้ ถ้ามีโอกาสผมจะมาขยายความให้ฟังนะครับ) นอกจากนี้ ยังมีศัพท์หรู ที่เหล่ากูรูเค้าใช้กัน ได้แก่ ผลต่างของราคา SET50 Index Futures กับราคา SET50 Index (Futures price – Spot price) ที่เค้าเรียกกันว่า Basis... ซึ่งค่านี้แหละ ที่ทำให้เราสามารถวิเคราะห์หรือประเมินสถานการณ์ของตลาดล่วงหน้าได้ ว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด โดยหากว่าราคา SET50 index Futures มีค่าน้อยกว่าราคา SET50 Index (Basis ติดลบ) เรียกว่า Futures ตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว~ หรือ Backwardation (ดังเช่นในปัจจุบัน)แต่ถ้า ราคา SET50 index Futures มากกว่า ราคา SET50 Index (Basis เป็นบวก) จะเรียกว่าสภาวะ Contango ครับ 
สรุป:การที่ราคา SET50 Index Futures มากกว่าราคา SET50 Index (Basis เป็นบวก) ไม่ได้หมายความว่าราคา Futures นั้นแพงเสมอไป หรือถ้าราคา SET50 Index Futures น้อยกว่าราคา SET50 Index (Basis เป็นลบ) ก็ไม่ได้แปลว่าว่าถูกเสมอไป... สิ่งที่จะบอกว่า Futures แพงหรือถูก คือ ราคายุติธรรม (Fair Value) ครับ... ซึ่งค่านี้จะช่วยให้เราสามารถประเมินได้ว่า ณ ราคา SET50 Index Futures ปัจจุบัน ฝั่งซื้อ (Long) หรือฝั่งขาย (Short) จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ... ก็อย่างที่ผมได้เกริ่นไว้ในสัปดาห์ที่แล้วครับว่า Futures ก็ไม่ต่างจากหุ้น มีราคาพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ตั้งเป้าไว้ ฝันให้ไกลไปให้ถึง... แม้ในความจริงจะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ราคามักไม่ค่อยจะเท่ากับมูลค่าที่แท้จริง... แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหลายครับ เพราะเหล่ากูรู เค้ารู้กันทั้งนั้นแหละ!