สวัสดีครับ,,,,
เขียนเมื่อ 3 ตุลาคม 2555
Warren Buffet เคยกล่าวไว้เมื่อปี 2002 ครับว่า “In my view,
derivatives are financial weapons of mass destruction, carrying dangers
that, while now latent, are potentially lethal” แปลเป็นภาษาบ้านๆ ได้ว่า
“ในมุมของผม..
ตราสารอนุพันธ์เป็นอาวุธทางการเงินที่มีอานุภาพทำลายล้างมหาศาล
(ยิ่งกว่าพลังคลื่นเต่าของโงกุน..) แม้ตอนนี้จะยังซ่อนเร้น
แต่อันตรายของมันหน่ะ.. ถึงตาย!!” ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 5-6 ปี
ก็เกิดเหตุการณ์สะท้านโลกีย์ ที่ผมได้ยินทีไรก็สยิวกิ้วทุกครั้ง นามว่า
Subprime Crisis ขึ้น.. สาเหตุหลักๆ
เกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาลสหรัฐในการจัดการสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์
และการกำกับดูแลกลุ่มวาณิชธนกิจอย่างไม่รัดกุม..
ทำให้เกิดการลงทุนในตราสารอย่างมั่วซั่ว
จนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องและลุกลามไปจนเป็นโดมิโน..
โดยหนึ่งในตราสารเจ้าปัญหานั้น ก็คือ Credit Default Swap (CDS)
หรือตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่งนั่นเอง
อ๊ะ อ๊ะ อย่าเพิ่งตกใจ! ข้อความด้านบนมีไว้เพื่อเตือนสติ..
จะได้ระมัดระวังและศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน..
ไม่ได้เพื่อขู่ให้กลัวนะครับ (ยิ้ม)
ตราสารอนุพันธ์เองก็มีประโยชน์อยู่มากโข หากเรารู้จักใช้..
ดังที่ผมเคยกล่าวไว้ในบทความครั้งก่อนๆ (Risk management, Price discovery,
Speculative instruments) ที่สำคัญคือ ถ้าเราใช้เพื่อการเก็งกำไร
ต้องรู้วิธีจำกัดหรือควบคุมความเสี่ยง.. พูดง่ายๆคือ เจ็บแล้วรีบจบ..
พลาดแล้วรีบ cut.. อย่าฝืน! ยิ่งทางตลาดอนุพันธ์ (TFEX)
ได้ปรับลดอัตราหลักประกันของสินค้าต่างๆ (เพื่อดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่)
ลงมาพอสมควร (เริ่ม 1 ตุลาที่ผ่านมานี้)
นักลงทุนทุกท่านยิ่งต้องระวังมากขึ้น.. อย่าชะล่าใจ คิดว่าเอ๊ย!
ใช้เงินวางหลักประกันน้อยลง งั้นสัดส่วนกำไรก็เยอะขึ้นซิ งี้เล่นเยอะๆ
ดีกว่า.. คิดแบบนี้อย่างเดียว มะ มะ.. มันเสียวเกินไปนะครับ :3
ผมขอยกตัวอย่างหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin) แบบ Outright
(การสร้างสถานะด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว) ของ SET50 Index Future
ละกัน (ดูรูปด้านบน).. จะเห็นว่าล่าสุด
ทางตลาดอนุพันธ์กำหนดให้วางเงินเพียง 38,000 บาท (ลดลงจาก 47,500 บาท)..
ซึ่งถ้าเทียบกับมูลค่าสัญญา S50Z12 ที่ระดับ 890 จุด คือ 890,000 บาทนั้น
ลองคิดดูครับว่าต่างกันกี่เท่า.. ยิ่งเป็นนักลงทุนสถาบันด้วยแล้ว
ยิ่งวางหลักประกันต่ำลงไปอีก.. บางท่านอาจจะบอกว่า เอ๊ะ ไม่เห็นเป็นไร
งั้นเราก็วางเงินเข้าไปก่อนเยอะๆ ซิ แค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว..
เห็นด้วยครับ เป็นผลดีแน่นอนในเชิงจิตวิทยา
เพราะเราไม่ต้องเติมเงินบ่อยหากผิดทาง..
แต่แท้จริงแล้วมันอาจไม่ต่างจากการย้ายเงินจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวาก็ได้
นะ เพราะเติมช้าเติมเร็วสุดท้ายก็เงินเราอยู่ดี (เว้นแต่ท่านใช้ทุนพ.ก.
อิอิ).. สำคัญกว่านั้นคือท่านต้องรู้จักวิธีควบคุมความเสี่ยง “Stop loss
ให้เป็น” มิฉะนั้นคงไม่แคล้วเป็นไปตามที่ปู่บัฟกล่าวไว้
สุดท้ายนี้อยากขอจะฝากครับว่า.. “ความรู้นั้นเปรียบเสมือนชุดเกราะ..
ที่นักลงทุนต้องสวมทุกครั้งก่อนเข้าสู่สมรภูมิรบ” ซึ่งถ้าสงครามยังไม่จบ
ก็อย่าเพิ่งนับศพทหารนะ.. เย้ยย ไม่เกี่ยว! (ฮา).. โชคดีทุกท่านครับ
Wednesday, October 3, 2012
Wednesday, September 26, 2012
ความเชื่อทางเทคนิค...มันมีอะไรบ้างนะ?
สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 26 กันยายน 2555
คำทักทายบ้านๆ แต่ได้ยินแล้วก็รู้สึกดีทุกครั้งไป.. นิแหละความเป็นไทย (^_^) ที่จะมาพร้อมกับ “การไหว้” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยที่ยากจะหาที่ใดมาเทียบเคียง.. อย่าลืมช่วยกันอนุรักษ์สิ่งดีงามเหล่านี้ไว้นะครับ.. กระต๊ากก!?
กลับมาที่เรื่องของเรา.. สัปดาห์นี้นักค้าต้องขอออกตัวก่อนครับว่า เป็นสัปดาห์ที่ “เหนื่อยโฮกๆ” เพราะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติ สถาบัน รายย่อย หรือแม้แต่พอร์ตบริษัทที่ถือหรือลงทุนในสัญญา SET50 Index Futures (รวมทั้ง Single Stock Futures) จะต้องทำการเปลี่ยนสัญญา (Rollover) ที่จะหมดอายุลงในเดือนกันยายนนี้ เพื่อไปถือสัญญาที่จะหมดอายุในเดือนธันวาคมแทน.. ขอกระซิบเบาๆ ว่าบางวัน.. นักค้าหน้าหยก ถึงกับต้องทำรายการซื้อขายที่คิดเป็นมูลค่าตลาดถึง 6-7 พันกว่าล้านบาท.. บร่ะจะละเฮ้ย!!! บอกตรงๆ ครับ.. “เสียวสุดๆ” เพราะเกิดผิดพลาดขึ้นมานักค้าจะทำไงละค้า.. คงตกหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) ไปก่อนที่เศรษฐกิจอเมริกาจะตกในช่วงสิ้นปีนี้เลยกระมัง.. แงๆ (T-T) แต่.. ก็น่ะ.. โม้ซะนิดว่าจนถึงตอนนี้ ยังไม่ตกครับ อิอิ
ในการลงทุน.. ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือแม้แต่สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ.. นักค้าอาศัยหลักการนึงในการวิเคราะห์และเชื่อว่าทุกท่านก็คงรู้จักกันดี.. นั่นก็คือ.. แต่น แตน แต๊นนน! การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) นั่นเองครับ! ฮ่าๆ.. หลักการก็คือ วิธีนี้ เป็นการศึกษาพฤติกรรมของผลิตภัณฑ์หรือสินค้านั้นๆ โดยวิเคราะห์จากราคาและปริมาณการซื้อขาย.. ซึ่งตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า..
สุดท้ายนี้อยากจะฝากไว้ครับว่า.. สัญญาณของการวิเคราะห์ทางเทคนิค มันไม่ได้ถูกเสมอไป.. บางรูปแบบ ก็มีข้อจำกัด.. การใช้ Indicators หรือเส้นค่าเฉลี่ย มันก็รายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง (ผมอาจจะเล่าถึงในคราวถัดๆไป).. สำคัญคือ คุณต้องเตรียมทางหนีทีไล่ให้พร้อม หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน.. เช่นทำงานบนตึกสูง.. รู้รึยังว่าทางหนีไฟอยู่ที่ไหน?.. และ “ประสบการณ์” จะช่วยคุณได้.. ผมมั่นใจ :)
เขียนเมื่อ 26 กันยายน 2555
คำทักทายบ้านๆ แต่ได้ยินแล้วก็รู้สึกดีทุกครั้งไป.. นิแหละความเป็นไทย (^_^) ที่จะมาพร้อมกับ “การไหว้” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยที่ยากจะหาที่ใดมาเทียบเคียง.. อย่าลืมช่วยกันอนุรักษ์สิ่งดีงามเหล่านี้ไว้นะครับ.. กระต๊ากก!?
กลับมาที่เรื่องของเรา.. สัปดาห์นี้นักค้าต้องขอออกตัวก่อนครับว่า เป็นสัปดาห์ที่ “เหนื่อยโฮกๆ” เพราะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติ สถาบัน รายย่อย หรือแม้แต่พอร์ตบริษัทที่ถือหรือลงทุนในสัญญา SET50 Index Futures (รวมทั้ง Single Stock Futures) จะต้องทำการเปลี่ยนสัญญา (Rollover) ที่จะหมดอายุลงในเดือนกันยายนนี้ เพื่อไปถือสัญญาที่จะหมดอายุในเดือนธันวาคมแทน.. ขอกระซิบเบาๆ ว่าบางวัน.. นักค้าหน้าหยก ถึงกับต้องทำรายการซื้อขายที่คิดเป็นมูลค่าตลาดถึง 6-7 พันกว่าล้านบาท.. บร่ะจะละเฮ้ย!!! บอกตรงๆ ครับ.. “เสียวสุดๆ” เพราะเกิดผิดพลาดขึ้นมานักค้าจะทำไงละค้า.. คงตกหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) ไปก่อนที่เศรษฐกิจอเมริกาจะตกในช่วงสิ้นปีนี้เลยกระมัง.. แงๆ (T-T) แต่.. ก็น่ะ.. โม้ซะนิดว่าจนถึงตอนนี้ ยังไม่ตกครับ อิอิ
ในการลงทุน.. ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือแม้แต่สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ.. นักค้าอาศัยหลักการนึงในการวิเคราะห์และเชื่อว่าทุกท่านก็คงรู้จักกันดี.. นั่นก็คือ.. แต่น แตน แต๊นนน! การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) นั่นเองครับ! ฮ่าๆ.. หลักการก็คือ วิธีนี้ เป็นการศึกษาพฤติกรรมของผลิตภัณฑ์หรือสินค้านั้นๆ โดยวิเคราะห์จากราคาและปริมาณการซื้อขาย.. ซึ่งตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า..
- พฤติกรรมของราคาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น ได้ซึมซับเหตุการณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้ว: หมายความว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดก็ตามบนโลก.. ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือผลประกอบการของบริษัทเปลี่ยนไป.. ราคาของผลิตภัณฑ์ จะเป็นไปตามกฎของ Demand and Supply (ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์) ที่ว่า.. หากผู้ซื้อมีมากกว่าผู้ขาย ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้น.. แต่หากผู้ขายมีมากกว่าผู้ซื้อ ราคาสินค้าก็จะตกลง.. easy easy ม่ะ? ซึ่งการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมองไปที่ข้อสรุปของผลกระทบเลย ไม่สนสาเหตุ.. กล่าวคือ ถ้าราคาขึ้น.. นั่นแหละ.. มันดี! ถ้าราคาลง.. นั่นแหละ มัน..!! แต่ถ้าเป็นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) จะมองไปถึงสาเหตุว่าทำไม Demand มันเยอะนะ? Supply ทำไมมันน้อยละ? มีปัจจัยอะไรมากระทบ? แนวๆนี้
- รูปแบบราคาจะเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มเดิม จนกว่าจะเห็นแนวโน้มนั้นอ่อนตัวจนหมดลงไป: ตีความได้คือ เวลาลงทุนหรือเก็งกำไร นักลงทุนทุกท่านกรุณาชิดใน.. เย้ยย ไม่ใช่!? ให้เกาะแนวโน้มใหญ่เข้าไว้ครับ (Trend following) เช่น หากท่านใดลงทุนในตราสารอนุพันธ์ โดยเฉพาะในตลาดไทยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา.. การเก็งกำไรฝั่งซื้อ (Long position) จะได้เปรียบมากกว่าฝั่งขาย (Short position) เพราะแนวโน้มใหญ่เป็นขาขึ้น! พูดง่ายๆคือ รอซื้อดีกว่ารอขาย.. แต่หากท่านใดชอบเสียว คือชอบสวนแนวโน้มอะนะ.. ก็อาจจะเหนื่อยหน่อย.. ต้องมีวินัย กำหนดจุด Stop loss ให้ดี.. หากคิดช้า ทำช้า.. หนัก!
- ประวัติศาสตร์ชอบซ้ำรอย: ไม่รู้ข้อนี้สามารถใช้กับเหตุการณ์อื่นได้รึเปล่า.. เอาอยู่ป่าวละ? แต่ถ้าในเรื่องของหุ้น ตราสารอนุพันธ์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์.. พวกเนี้ย มันจะมี pattern หรือรูปแบบของมันอยู่.. ซึ่งรูปแบบเหล่านั้นก็จะแสดงถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในอดีต.. และถ้าท่านจ้องนานๆ อาจนำมาใช้ทำนายอนาคตได้นะ (ไม่ได้โม้!).. พวกเนี้ย ผมว่ามันเป็นศิลปะ.. กราฟมันก็แสดงถึงอารมณ์ของนักลงทุน ว่ากลัวหรือกล้ากันอยู่
- กฎการวิเคราะห์ทางเทคนิคทั้งหลายทั้งมวลจะใช้ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หากปัจจัยพื้นฐาน (ในกรณีของหุ้น) ไม่เปลี่ยน: ข้อนี้แถม เพราะเพิ่งบอกหยกๆ ว่าการวิเคราะห์เทคนิคไม่สนอะไรนะ.. ดูราคากับปริมาณการซื้อขาย (Volume) ก็พอ.. แต่เอาหน่ะ ถ้าจะให้สมบูรณ์ก็ศึกษามันไปเถอะครับ ทุกรูปแบบนั่นแหละ.. จะได้หล่อๆ (สวยๆ) กัน ไป.. กระต๊าก!?
สุดท้ายนี้อยากจะฝากไว้ครับว่า.. สัญญาณของการวิเคราะห์ทางเทคนิค มันไม่ได้ถูกเสมอไป.. บางรูปแบบ ก็มีข้อจำกัด.. การใช้ Indicators หรือเส้นค่าเฉลี่ย มันก็รายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง (ผมอาจจะเล่าถึงในคราวถัดๆไป).. สำคัญคือ คุณต้องเตรียมทางหนีทีไล่ให้พร้อม หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน.. เช่นทำงานบนตึกสูง.. รู้รึยังว่าทางหนีไฟอยู่ที่ไหน?.. และ “ประสบการณ์” จะช่วยคุณได้.. ผมมั่นใจ :)
Wednesday, September 19, 2012
ซุปเปอร์ไซย่า กับ 5 Sectors
สวัสดีครับ,,,,
เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2555
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศมาตรการไร้ (กระ) เทียมทานที่ถูกขนานนานว่า QE Infinity (QE3) ออกมา.. ตลาดหุ้นทั่วโลกก็เหมือนมีออร่าปกคลุมไปทั่วร่าง.. (ถ้าในเรื่องดราก้อนบอล ก็คงเป็นตอนที่โงกุนฝึกฝนฝีมือจนสามารถแปลงร่างเป็นซุปเปอร์ไซย่า 3 ได้สำเร็จ.. ย่ะ!) – อย่ากระนั้นเลยฟรีเซอร์! (ศัตรูตัวฉกาจของโงกุน) มาสนใจของเล่นใหม่กันดีกว่า.. “Sector Index Futures” ละเป็นไง~ (เปลี่ยนเรื่องง่ายๆ แบบงี้เลยเรอะ!? ใช่ครับ.. อิอิ)
เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2555
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศมาตรการไร้ (กระ) เทียมทานที่ถูกขนานนานว่า QE Infinity (QE3) ออกมา.. ตลาดหุ้นทั่วโลกก็เหมือนมีออร่าปกคลุมไปทั่วร่าง.. (ถ้าในเรื่องดราก้อนบอล ก็คงเป็นตอนที่โงกุนฝึกฝนฝีมือจนสามารถแปลงร่างเป็นซุปเปอร์ไซย่า 3 ได้สำเร็จ.. ย่ะ!) – อย่ากระนั้นเลยฟรีเซอร์! (ศัตรูตัวฉกาจของโงกุน) มาสนใจของเล่นใหม่กันดีกว่า.. “Sector Index Futures” ละเป็นไง~ (เปลี่ยนเรื่องง่ายๆ แบบงี้เลยเรอะ!? ใช่ครับ.. อิอิ)
ในวันที่ 29 ตุลาคม ที่จะถึงนี้..
นอกจากจะมีการปรับสัญญา SET50 Index
Futures และ SET50 Index Options ให้เป็นรูปแบบใหม่แล้ว ตลาดอนุพันธ์ (TFEX)
ยังกำหนดให้มีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับดัชนีหมวดธุรกิจ (Sector Index Futures) ขึ้นถึง 5 หมวดด้วยกันครับ.. ได้แก่
1. หมวดธนาคาร (BANK), 2. เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ICT),
3. พลังงาน (ENERG), 4. อาหารและเครื่องดื่ม (FOOD),
และ 5. พาณิชย์ (COMM).. ดังนั้น
ผมจึงขอถือโอกาสนี้นำข้อมูลที่น่าสนใจมาให้ชมกันแบบเบาๆ.. กระต๊าก!
ข้อมูลต่อไปนี้ผมนำมาจาก SETSMART ครับ..
อัพเดทล่าสุดวันที่ 18 ก.ย. นี้เลย.. คร่าวๆก็อยากจะให้ทราบกันว่าเวลาพูดถึง Sector
Index Futures ทั้ง 5 หมวด.. เค้าหมายถึงหุ้นอะไรกันบ้าง, ขึ้นมาแล้วกี่ % แล้วจากต้นปี (ในขณะที่ SET
ปรับขึ้นมาราว 24%) และ Valuation ตอนนี้เป็นอย่างไร..
ส่วนใครจะใช้ข้อมูลเหล่านี้สำหรับหาหุ้นเด็ดก็ไม่ว่า..
แต่อย่าลืมบอกนักค้าด้วยนะครับ! โชคดี
1. BANK: ปรับขึ้นมาจากต้นปีราว 34%, P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 14 เท่า
2. ICT: ปรับขึ้นมาจากต้นปีราว 46%, P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 22 เท่า
3. ENERG: ปรับขึ้นมาจากต้นปีราว 6%, P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 13 เท่า
4. FOOD: ปรับขึ้นมาจากต้นปีราว 30%, P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 14 เท่า
5. COMM: ปรับขึ้นมาจากต้นปีราว 43%, P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 30 เท่า
Subscribe to:
Posts (Atom)