Tuesday, November 13, 2012

Lengthening or Reducing

Hello,
Written on Nov 13, 2012

Investors are staying on the sidelines awaiting the results of European finance chiefs meeting in Brussels today as well as budget talks in Washington this week. If Congress doesn’t act by the end of the year, USD607 billion in automatic spending cuts and tax increases are programmed to take effect starting in Jan, with a potentially devastating impact on the world’s largest economy. While the ministers in Brussels will probably not approve USD40 billion of financial aid to Greece, despite Athens passing a new austerity budget, they will agree to prevent the nation from defaulting on EUR5 billion of bills that mature on Nov 16, maybe, by lengthening the maturities or reducing interest rates. Whatsoever it means Europe will just give Athens more time, again.


Politics: The PAD (Yellow shirts) has cancelled its political activities for the weekend of Nov 24-25 to allow its supporters to participate the anti-government rally planned by the Pitak Siam group, a regrouping of the anti-Thaksin yellow shirts, the multi-coloured shirts, and supporters of the Democrat Party. The leader, Gen Boonlert, has vowed to mobilise at least 1 million people for this time rally. He aims too high… Still, I just hope no violence happens, as if so, it will inevitably affect the stock market.

Monday, November 12, 2012

Concern for Thailand

Good morning,
Written on Nov 12, 2012

The Thai market is expected to slope downward following regional bourses after Japan’s economy shrank at the fastest pace since last year’s earthquake, adding to signs that slowing global growth and tensions with China are poking the world’s third-largest economy into recession. Many gurus thus predict the BOJ could leave policy unchanged at a review next week, but some expect the central bank to spur stimulus again at a Dec 19-20 meeting, shortly after the US Federal Reserve is due to meet. However, what concerns me is not the way things in Japan are, but rather the way it could happen in Thailand. As you may know, Japan’s economy outperformed most of its Group of Seven peers in the first half of this year on healthy private consumption and spending for reconstruction from last year’s catastrophe. But growth has stalled since then as the effect of rebuilding has faded. The Japanese government last week acknowledged that its index of leading indicators gauge fell to a level indicating the onset of a recession. So what’s about Thailand? I personally think we are quite in the same situation as the country faced major floods in Q4 last year, and the effect of reconstruction is gradually fading as well. Nonetheless, I’m not saying Thailand will encounter a recession but possibly meet an economic slowdown next year.



Politics: The anti-government Pitak Siam group has confirmed it will hold its second mass rally on Nov 24 at the Royal Plaza and insisted the gathering will not be protracted. Moreover, according to an Abac Poll, it showed 61.7% of surveyed people were more interested in the rally than the debate and subsequent no-confidence vote. Finger crossed.

Thursday, November 8, 2012

An Obama Victory

Good morning,
Written on Nov 8, 2012

I’m re-posting the excerpt from our strategist’s note for you after repeatedly highlighting on the Bloomberg chats yesterday. So far, he has almost been halfway right.

Downside of 3-4% in short-term in the case of an Obama victory 
In the absence of changes to the status quo, market concerns over legislative dysfunctionality could return. If the Republican-controlled House of Representatives refused to increase the federal deficit ceiling in Jan (it increased it seven times with no argument when Bush was president) and Obama declined to use an emergency order to get around the blockage, the US Federal government would seize up. That would hit not just the equity markets, but the economy as a whole.


The Energy and Petrochemical sectors should still be avoided under the case of slowing global growth. Our focus remains domestically-driven stocks with good earnings visibility, given Thailand’s healthy consumption trend. Our YE12 target of 1275 also reflects softening global growth in the approach to New Year.

My view: His ideas pointing that upside could be limited given the Thai market’s current high PER (14.1x for 2012E, and 11.8x for 2013E) and downside could be shielded thanks to the robust earnings growth profile (19% YoY for 2013E vs a 15% regional avg) along with a sexy dividend yield (3.8% for 2013E vs a 3% regional avg) are quite similar as what I told you the past few weeks. Only a catastrophic reversal in the macro view could prompt a deep de-rating of the market, in our view. Good luck.


Wednesday, November 7, 2012

9 อรหันต์นิรมิต..พิชิตใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์(DW)

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555


เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานักค้ารู้สึกตงิดสะกิดใจ เมื่อเหลือบไปเห็นอะไรยั้วเยี้ยวิ่งฉับไวอยู่ในตลาดหุ้น.. ช้ะช้า.. มันคือเจ้า ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ Derivative Warrants (DW) นั่นเอง.. อะโจ้ย (วิ่งมานานละเพิ่งจะเห็น..) วัยรุ่นบางท่านอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะ! เจ้า DW นิมันต่างกับ Warrant ทั่วไปอย่างไร? แล้วจะเทรด DW ต้องรู้อะไรบ้างนะ? วันนี้นักค้าจะมาไขให้กระจ่างขึ้นละกัน


Derivatives Warrant (DW) มีข้อแตกต่างจาก Warrant ทั่วไปที่วิ่งไฉไลอยู่ในตลาดหุ้นอยู่ 3 ประการครับ 1. DW ถูกออกโดยบริษัทหลักทรัพย์.. ในขณะที่ Warrant ถูกออกโดยบริษัทเจ้าของหุ้นนั้นๆ 2. DW มีทั้งแบบ put และ call ให้เลือกสอย.. ส่วน Warrant มีแต่ call อย่างเดียวให้เลือกสรร และ 3. DW ชำระเพียงเงินสดส่วนต่าง ณ วันส่งมอบ.. ในขณะที่ Warrant ณ วันส่งมอบ ต้องชำระทั้งเงินสดและส่งมอบหุ้นจริง.. ฮึ่มๆ
เอาละทีนี้จะเข้าเนื้อละนะครับ.. มาดูกันว่า 9 อรหันต์ที่เหล่ากูรูเค้าใช้ดูใช้คิดเพื่อพิชิตใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) มีอะไรบ้าง.. ยากหน่อยนะ.. พร้อม.. 3 2 1 ไป!

1) Effective Gearing (อัตราทดจริง) หมายถึง ค่าที่บอกเป็นนัยว่าราคา DW จะเปลี่ยนไปกี่ % เมื่อราคาหุ้นอ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1% เช่น ถ้า Effective Gearing ของ DW เท่ากับ 2.6 เท่า หมายความว่า ถ้าหุ้นอ้างอิงขึ้น 1% DW จะขึ้น 2.6% นะ.. (หมายเหตุ: โดยทั่วไป Out-of -the-Money DW จะมีค่า Effective Gearing สูงกว่า In-the-Money DW ครับ.. ดังนั้นหากใครใจเปรี้ยว ชอบเสียว.. ก็ลอง DW แบบ OTM ได้.. แต่อย่าลืม High Return ก็ High Risk นะจ๊ะ)

2) 1-Day Time Decay (การเสื่อมค่าตามเวลา) หมายถึง ค่าที่บ่งชี้ว่าราคา DW จะลดลงกี่บาทเมื่อเวลาผ่านไป 1 วัน หากราคาหุ้นอ้างอิงไม่เปลี่ยนแปลง.. เช่น 1-Day Time Decay ของ DW เท่ากับ -0.05 หมายความว่า ถ้าราคาเจ้าหุ้นอ้างอิงราคาอยู่นิ่ง 1 วัน.. ราคาของ DW จะลดลง 0.05 บาท.. คืองี้ครับ ค่านี้ถ้ายิ่งมาก.. ต้องยิ่งเล่นสั้น.. เพราะราคาของ DW จะยิ่งลงเร็ว (หมายเหตุ: ยิ่งใกล้วันหมดอายุเท่าใด ผลของ 1-Day Time Decay จะยิ่งมีนัยมากขึ้น.. เนื่องจาก Time Value ของ DW จะลดลงอย่างรวดเร็วมาก.. หากราคาหุ้นอ้างอิงอยู่คงที่)

3) Implied Volatility (ค่าความผันผวนแฝง) หมายถึง ค่าที่บอกถึงความถูกแพงของ DW โดยเปรียบเทียบกับ DW ที่มีหุ้นอ้างอิงเดียวกัน.. แต่มีวันหมดอายุ, ราคาใช้สิทธิ, และอัตราใช้สิทธิต่างกัน.. สรุปง่ายๆคือ DW ไหนมี Implied Volatility ต่ำกว่า.. ตัวนั้นก็ถูกกว่า.. จบป้ะ? (หมายเหตุ: ตรงนี้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าบริษัทหลักทรัพย์ที่ออก DW ที่นำมาเปรียบเทียบกัน มี Credit Rating เท่ากัน.. หากไม่เท่า ผู้ออกที่มี Credit Rating ต่ำกว่าก็ควรขาย DW ที่ราคาถูกกว่า เพราะมี Default Risk สูงกว่า.. ซึ่ง! ทาง TRIS Rating ก็เพิ่งปรับเพิ่มอันดับเครดิตหลักทรัพย์บัวหลวงจาก A-/Positive เป็น AA-/Stable เมื่อเร็วๆนี้เองครับ.. โฮะๆๆ)

*ข้อ 4-6 นักค้าขอ assume อัตราการใช้สิทธิต่อ 1 หุ้นอ้างอิง (Conversion ratio) เท่ากับ 1 DW ต่อ 1 หุ้น* 
4) All-in-Premium หมายถึง ค่าที่บ่งชี้ว่าราคาหุ้นต้องเปลี่ยนไปกี่ % จึงทำให้การลงทุนใน DW คุ้มทุน หากถือจนหมดอายุ.. ค่านี้ยิ่งต่ำยิ่งดีครับ.. แต่ต้องใช้เปรียบเทียบบนสินค้าอ้างอิงตัวเดียวกันและอายุคงเหลือใกล้เคียงกันนะ ตัวอย่างเช่น ค่า All-in-Premium เท่ากับ 40% หมายถึง ราคาหุ้นอ้างอิงต้องขึ้นถึง 40% (โอ้วว) การลงทุนใน DW ถึงจะคุ้มทุน

5) Break-even point หมายถึง ค่าที่บ่งบอกว่าราคาหุ้นอ้างอิงต้องวิ่งไปปิดที่กี่บาท จึงทำให้การลงทุนใน DW คุ้มทุน หากถือจนหมดอายุ เช่น Break-even point เท่ากับ 100 หมายถึง หุ้นอ้างอิงต้องปิดที่ 100 บาทในวันซื้อขายสุดท้ายของ DW จึงจะทำให้ DW ที่ลงทุนไปคุ้มทุนนะ.. แต่เอาเข้าจริงนักค้าว่าค่านี้แค่รู้ไว้ใช่ว่าเฉยๆครับ เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนไม่ค่อยถือ DW ไปจนถึงวันหมดอายุอยู่แล้ว

6) Doubling Factor หมายถึง ค่าที่บ่งชี้ว่าราคาหุ้นอ้างอิงต้องวิ่งไปกี่ % จึงจะทำให้ราคาของ DW ขึ้นได้ถึง 100% (กระต๊าก!) หากถือจนหมดอายุ ตัวอย่างเช่น Doubling Factor เท่ากับ 33% หมายถึง ราคาหุ้นอ้างอิงต้องขึ้นไป 33% ราคาของ DW ถึงจะขึ้นได้ 100% นะ.. แหะๆ

7) %Share Outstanding (รายงานการถือครอง DW โดยนักลงทุน).. ค่านี้ตลาดหลักทรัพย์จัดให้ทุกสิ้นเดือนครับ.. ดูได้ที่ลิ้งค์นี้ http://www.set.or.th/set/dwoutstanding.do?country=th&language=TH โดยนักค้าแนะนำให้เลือก DW ที่ค่านี้ไม่สูงจนเกินไปนัก

8) Indicative Price หมายถึง ราคารับซื้อ DW คืนโดย Market Maker (เฉพาะ DW01) โดยนักลงทุนควรเลือก DW ที่มี Indicative Price และราคาซื้อขายในกระดานปัจจุบันไม่แตกต่างกันมากครับ

9) Market Maker Behavior หมายถึง พฤติกรรมของผู้ดูแลสภาพคล่อง.. อันนี้จี๊ดนะ.. เพราะเพื่อนๆต้องคอยสังเกตกันเองว่า Market Maker เจ้าไหนดูแล DW ของตนเองดี.. ซึ่งสังเกตง่ายๆได้จาก เช่น ช่วง Bid-Ask Spread ไม่ห่างกันมากนัก, การเคลื่อนไหวของ DW สอดคล้องกับหุ้นอ้างอิงอยู่เสมอ, และที่สำคัญต้องมีสภาพคล่องสูง (จะได้ซื้อขายง่าย) หรือลองดูที่ลิ้งค์นี้เป็นข้อมูลประกอบก็ได้ครับ http://www.set.or.th/set/mmperformance.do?country=TH&language=th 

เอาละ.. เขียนเสร็จนักค้าก็ปาดเหงื่อแฮ่กๆ.. มันยากส์! ที่จะรู้จะเข้าใจหมด.. เข้าใจ! แต่มันจำเป็น! หากท่านจะลงทุนในใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ (DW) อย่างปลอดภัย ไม่เป็นเหงื่อของรายใหญ่รายโต.. ซึ่งหากท่านใดอ่านจบแล้วยังงงหรือสงสัยอะไรเพิ่มเติม เวปไซต์นี้ http://www.blswarrant.com/DW01_Home มีข้อมูลน่าสนใจให้ทุกท่านเข้าไปต่อยอดอ่านกันให้หนำใจครับ.. Fight!

Wednesday, October 31, 2012

เมื่อ ส.ส. กับ Sector Index Futures มาเกี่ยวพัน ... มันจะเป็นอย่างไร?

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2555


ช่วงนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นรวมถึงตลาดอนุพันธ์บ้านเรา.. ผมว่านักลงทุนหลายท่านต้องมีร้อนมีหนาวอยู่บ้างละ.. ก็แหม ตลาดผันผวนซะขนาดนั้น.. ขึ้นๆลงๆให้สะหยิวกิ้วกันอยู่ทุกวัน.. อะเจ้ยย!? อ๊ะเดี๋ยวข่าวยุโรป.. อ๊ะเดี๋ยวข่าวอเมริกา.. อ๊ะเดี๋ยวข่าวจีน.. และก็เดี๋ยวข่าวไทย (เรื่องอะไรเดากันเองนะครับ อิอิ) ในสภาพการณ์แบบนี้ผมมักจะนึกถึงตัวอักษร 2 ส ที่ต้องจัดการให้ได้ก่อนที่จะลงทุนครับ.. ได้แก่ 1. ส เสี่ยง กับ 2. ส เสียว.. ส แรกนั้นเราสามารถหาวิธีจำกัดมันได้ไม่ยาก.. วิธีหนึ่งที่ผมเคยแนะนำก็คือ Diversification หรือ การกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง.. เครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้และทุกท่านก็คงทราบกันดี ก็คือ การใช้ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) เพื่อ hedge positions ในพอร์ตการลงทุน.. ซึ่งในขณะนี้ก็เป็นที่น่ายินดีครับที่ตลาดอนุพันธ์บ้านเรากำลังพัฒนาอย่างหนัก (แต่บางทีอาจจะเร็วไปนิดรึป่าว?) ล่าสุดมีการออกสินค้าใหม่ที่ชื่อว่า Sector Index Futures มาให้พี่น้องชาวไทยได้ลิ้มลอง.. เอ้า! งั้นลองมาแลดูว่าเราสามารถประยุกต์ใช้เจ้าสินค้าใหม่นี้เพื่อลดความเสี่ยงได้อย่างไร
จากรูปด้านบน เป็นการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของราคาของดัชนีต่างๆในแต่ละกลุ่ม.. จะเห็นว่า ดัชนีหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT), หมวดพาณิชย์ (COMM), และหมวดอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD) มี correlation กับดัชนี SET50 และดัชนีหมวดอื่นค่อนข้างต่ำ (หมายถึงมันจะไม่ค่อยเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันมากอะนะ).. เพื่อนๆจึงสามารถเลือกพวกกลุ่มนี้แหละ! ไว้ซื้อขายในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ค่อยสู้ดีนัก หรือเลือกใช้เพื่อ hedge positions กับการลงทุนใน SET50 index ก็ได้.. ซึ่งวิธีนี้เค้าเรียกกันว่า Pair Trading นั่นละครับ.. ซึ่ง! (ไม่ใช่ซึ้ง.. เพราะมันเอาไว้นึ่งนะเจ้ย!) เพื่อความหล่อขึ้นไปอีกขั้น.. นักค้าจึงขออนุญาตนำข้อมูลจากเว็บไซต์ TSI ที่อธิบายถึง ส เสี่ยง (Risk) ใน Futures แต่ละชนิดมาให้ดูซะเลย (ต้องขอขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ)   




จากรูปด้านบน: กระผมสรุปความได้ว่า.. ในกรณีที่ท่านนักลงทุนไม่ต้องการรับความเสี่ยงเฉพาะเจาะจงของหุ้นรายตัว (Unique risk) แต่อยากวัดใจกับหุ้นทั้ง sector เลย.. ให้ท่านจัด Sector Futures แทน Stock Futures ไว้ในครอบครอง อย่าได้กระมิดกระเมี้ยนครับ..  ในขณะที่ ถ้าท่านไม่ต้องการกระจายความเสี่ยงในหลายหมวดธุรกิจพร้อมกัน เพราะมองว่าการลงทุนในรายกลุ่มธุรกิจจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโดยภาพรวม.. ท่านกรุณาจัด Sector Futures แทนเจ้า SET50 Futures ไว้ในอ้อมอก อย่าได้รีรอ.. เรื่องราวก็ประมาณนี้อะนะ

ส่วน ส ที่ 2 ส เสียว.. วิธีควบคุมก็ไม่ยากครับ.. นักค้าแนะนำให้นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ (หรืออ่านบทความผมนิแหละ.. ช่วยได้! อิอิ) การลงทุนบางทีมันก็ง่ายแสนง่าย.. นอกจากเรื่องความรู้ มันก็อยู่ที่การควบคุมอารมณ์และจิตใจ.. มันก็เหมือนกับคนอ้วน ที่รู้ทั้งรู้ว่าทำอย่างไรให้ผอม แต่ก็ทำไม่ได้.. สาเหตุก็เพราะเรื่องอารมณ์นิแหละครับ.. เมื่อเห็นอาหารหน้าตาชวนชิม กลิ่นหอมเย้ายวน ใครเล่าจะอดใจไหว.. ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราเห็นหุ้นแกว่งยั่วยวน, Futures เคลื่อนไหวหยอกเย้า.. โอ้ว! มันช่างน่าสอยเสียนิกระไร.. แต่ทำไมสอยทีไร เจ็บจี๊ดๆทุกที.. มันก็แค่นี้แหละ.. อารมณ์ จิตใจ.. ควบคุมให้ได้ครับ.. สู้ๆ