Wednesday, January 29, 2014

เรื่องใหม่แกะกล่อง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 29 มกราคม 2557

ตั้งแต่ 30 ตุลาคม 2556 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นในอาเซียนเราก็ห่อเหี่ยวเหือดแห้งด้วยสาเหตุต่างๆนานาทำให้ติดลบกันไปตามระเบียบ โดยเฉพาะไทย ซึ่งจากรูปก็ชัดเจนว่าเหี่ยวที่สุด ส่วนสาเหตุคงไม่ต้องพูดถึง...

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องใหม่แกะกล่องจากประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างอาร์เจนตินา ตุรกี เวเนซูเอล่า ที่เศรษฐกิจเค้ามีปัญหาในหลายจุดซ่อนเร้น โดยเฉพาะในอาร์เจนตินา ที่เงินเฟ้อสูงถึง 25% และทุนสำรอง ที่หดหายไปเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับปีก่อนโดยต่ำสุดในรอบ 7 ปี จนกดดันให้รัฐบาลต้องปล่อยค่าเงินตัวเองให้ลอยเท้งเต้ง (อ่อนไป 15% เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน) ตรงนี้เพื่อช่วยลดแรงกดดันจากตลาดมืดของเค้าด้วยครับ เพราะสายสืบผมบอกมาว่าเงินเปโซของเค้าซื้อขายกันถึง 13 เหรียญ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯในตลาดมืด เทียบกับตลาดจริง ที่ซื้อขายกันก่อนหน้านี้เพียง 6 เปโซ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะอ่อนตัวเป็น 8 เปโซ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ บัดนาว



ใบ้แบะๆว่า ค่าเงินโบลีวาร์ของเวเนซุเอลาในตลาดมืดโหดโฮกๆกว่านี้อีกครับ โดยซื้อขายกันที่ 75 ต่อดอลลาร์ เทียบกับ 6.3 โบลีวาร์ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐในตลาดจริง.. ยังมีอะไรหลายอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ที่เรายังไม่รู้ สิ่งที่น่าคิดก็คือ หากนักโจมตีค่าเงินเล็งเห็นตรงนี้ แล้วเข้าไปจัด (ดังที่มีคนเคยทำกับไทยเมื่อปี1997) ซึ่งหากประเทศนั้นทุนสำรองต่ำและพื้นฐานเศรษฐกิจไม่ดีจริง ก็มีสิทธิ์ ‘ไม่รอด’ ได้เช่นกัน 
   
ส่วนพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเรา ณ ปัจจุบัน ยังถือว่าแจ่ม ไม่แย่ ทุนสำรองยังมากกว่าหนี้ระยะสั้นอยู่เกิน 2 เท่า (ไม่เหมือนตอนปี 1997 ที่แทบไม่มี) ดังนั้น ไม่ตระหนกตกใจแต่ก็ไม่ประมาทครับ เพราะวิกฤตมักจะมาในเวลาที่เราคาดไม่ถึงเสมอ

Wednesday, January 22, 2014

สถานการณ์ฉึกฉึก

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 22 มกราคม 2557

นาทีนี้คงไม่มีข่าวใดฮอตไปกว่าการออกพ.ร.ก.ฉุนเฉินของรัฐบาลชุดปัจจุบัน สมควรหรือไม่ ผมคงมิกล้าออกความเห็น เพียงแต่ความจริงก็คือ ประเทศไทยได้ตกอยู่ในภาวะป่วยฉึกฉึกมาซักพักแล้วละ.. ในแง่การลงทุน ไม่ต้องสืบ เพราะหากเทียบกับการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตอนปี 53 เพียงวันทำการแรก ตลาดหุ้นไทยก็ลงพรวดไปถึง 3.5% ปู๊ดๆ และลงต่ออีกร่วม 10% จากนั้น.. ซึ่งทำให้ผลตอบแทนเทียบกับภูมิภาคในช่วงนั้นติดลบถึง 9% (ดูรูป)
ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมครับว่า ประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอยหรือไม่ก็ได้ เพียงแต่ให้ตระหนักไว้ว่าอาจมีบางเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ดังสุภาษิตฝรั่งที่ว่า History doesn't repeat itself, but it does rhyme. ดังนั้นไม่ต้องตระหนกตกใจ แต่ก็ไม่ประมาทในการลงทุนครับ
  
ในแง่ TFEX หลังจากฝรั่งซื้อ (Long) ต่อเนื่องมาถึง 12 วันนับจากต้นปี.. ณ บัดนาวเค้าได้พลิกกลับมาขาย (Short) ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ซะแล้ว (ดูรูป) สถานการณ์จะเป็นยังไงต่อไป.. โปรดติดตามต่อสัปดาห์หน้า

Wednesday, January 15, 2014

ฝรั่งมังค่า

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 15 มกราคม 2557

ความวุ่นวายทางการเมืองยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติกระปริบกระปรอยไม่กล้าซื้อหุ้นไทยเต็มกระบอกทั้งๆที่ขายไปปีที่แล้วทั้งปีเกือบ 2 แสนล้านบาท “โอกาส”มีอยู่ในทุกวิกฤต เพียงแต่วิกฤตที่ลากยาวกว่าปกติ ก็อาจทำให้เราเจอโอกาสที่ “ดีกว่า”ได้อยู่เรื่อยๆก็เป็นได้.. ผมได้นำข้อมูล (จาก SETSMART) มาให้ดูครับ จะเห็นว่าหากนับจากต้นปีนักลงทุนที่มียอดซื้อสะสมอยู่ก็คือ ฝรั่งกับพอร์ตโบรกในขณะที่นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายหนัก รวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อขายเกือบจะเท่ากัน 

แต่หากมาดูตัวเลขในตลาดอนุพันธ์ และเจาะจงไปเฉพาะ SET50 IndexFutures เป็นที่น่าแปลกว่านักลงทุนต่างชาติกลับเป็น ยอดซื้อ (long) สะสมมาตลอด “ทุกวัน” นับตั้งแต่ต้นปี..ตรงนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนเล็กๆว่า หากใครจะ ขาย (Short) SET50Index Futures เพื่อเก็งกำไรในช่วงนี้ อาจต้องเพื่อความระมัดระวังมากขึ้นและกำหนดจุดstop loss ให้ดีครับ

ขอจบบทความสั้นๆเพียงเท่านี้ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ^^

Wednesday, January 8, 2014

ตั้งสติก่อนสตางค์

สวัสดีปีใหม่ครับ,
เขียนเมื่อ 8 มกราคม 2557

การลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้ รวมถึง การเก็งกำไรในตราสารอนุพันธ์ อาจต้องใช้สติ (มากกว่าสตางค์) มากพอสมควรครับ สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันที่ไม่มีใครอาจรู้ได้ว่าจะจบเช่นไร เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทย underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา บางท่านถึงกับเปรียบสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้กับตัวอย่างหนึ่งของทฤษฎีเกมในทางเศรษฐศาสตร์ (Game Theory) ที่ชื่อว่า Prisoner's dilemma โดยบทสรุป ก็คือ ทั้ง 2 ฝ่ายไม่อาจยอม หรือ เลิกรากันได้ ไม่งั้นจะเกิดผลเสียต่อฝ่ายตนเองอย่างมหาศาล.. อย่างไรก็ดีทฤษฎีนี้มีทางออกอยู่ครับ ซึ่งผมขออุบไว้ก่อนละกัน

ในแง่มูลค่าพื้นฐาน ณ level ปัจจุบันถือว่า SET Index ไม่ได้แพงแล้วครับ คุณปรเมศร์ ทองบัว นักกลยุทธ์แห่งค่ายสถาบันของบัวหลวงได้ทำ chart ด้านล่างนี้ไว้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บ่งบอกว่า PE ตลาดหุ้นไทยถูกกว่าค่า PE เฉลี่ยของตลาดอินโด-ฟิลิปปินส์-มาเลเซีย และ ดัชนี S&P500 ของอเมริกา ถึงเกือบ 30% (เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 20%)

แต่ประเด็นก็คือ หากเรายังไม่สามารถหาทางออกของบ้านเมืองได้ ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะ trade ที่มูลค่า discount ใกล้ๆ 30% แบบนี้ไปอีกซักพักก็เป็นได้ครับ

ในแง่ของนักลงทุนต่างชาติ จากแผนภูมิด้านล่าง แสดงให้เห็นว่า ฝรั่งได้ขายหุ้นไทยในปีที่แล้วปีเดียวเป็นมูลค่าถึงเกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าที่เค้าซื้อสะสมมาตลอด 4 ปี (2009-2012) เสียอีก สาเหตุนอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นผลจากการลดการอัดฉีดเงิน (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเหตุผลอย่างหลังนี้ น่าจะยังคงหลอกหลอนนักลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยไปอีกตลอดปีนี้ครับ

Wednesday, December 25, 2013

ส่งท้ายปี

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 25 ธันวาคม 2556

ตลาดหุ้นในสัปดาห์สุดท้ายของปีคงไม่น่ามีอะไรมาก วันนี้มีแค่จีนและญี่ปุ่นที่เปิดตลาดเป็นเพื่อน SET Index ของเราครับ ลูกค้าผม หลังจากทำการ Roll over ตัว SET50 Index Futures ไปเป็นสัญญาที่หมดอายุเดือนมีนาแล้ว ก็ชะแว้ปไปเที่ยวกันหลายคนละ.. ส่วนท่านใดที่ยังไม่ได้ปิดสถานะตัว Z ก็อย่าลืมว่าวันที่ 26 ธันวานี้ เป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายแล้วนะครับ 
  
บทความฉบับนี้เป็นบทความสุดท้ายของปี 2013 ซึ่งน่าจะเป็นปีที่เหนื่อยสำหรับนักลงทุนหลายคน..ณ เวลาที่ผมเขียนอยู่นี้ ดัชนี SET ให้ผลตอบแทนติดลบ 4.5% หากนับจากต้นปีในขณะที่ดัชนี NIKKEI ของญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนถึง 37% และดัชนี Shenzhen ของจีนให้ผลตอบแทน 30%  .. แต่ อย่าเพิ่งเศร้าใจไปครับ! หากเราดูประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนิเซีย ดัชนี Jakarta ของเค้าติดลบถึง 18% ซึ่งก็แย่กว่าเราเยอะ ดังนั้น หากปีนี้ทั้งปีใครลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว“รักษาเงินต้นไว้ได้” หรือ พูดอีกอย่างว่า “ไม่ขาดทุน” ก็ถือว่าชนะคนส่วนใหญ่แล้วครับ!  ช่วงหยุดยาวนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะได้ทบทวนข้อผิดพลาดที่เราได้ลงทุนไปตลอดทั้งปี รวมถึงคิดแผนการวางกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนในปีหน้าด้วย
  
สุดท้าย เนื่องในโอกาสปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกดลบันดาลให้แฟนคอลัมภ์นักค้าหน้าหยกทุกท่าน พบแต่สิ่งดีๆ มีสุขภาพแข็งแรง และลงทุนอย่างมีความสุขมากๆครับ!
  
สุดท้ายจริงๆ .. นำรูปงาน TFEX New Year Party เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมาฝากครับ ทุกคนจัดเต็มมาก 555



Wednesday, December 18, 2013

คุ้มครอง ค้ำจุน เยียวยา

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2556

ก่อนที่จะไปรู้ผล QE ในคืนนี้ว่าจะถอน ถอนบางส่วน หรือ ไม่ถอนเลยลองมาทบทวนกันครับว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤตซับไพรม์ซึ่งมีสาเหตุมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ธนาคารกลางของเค้า ได้ใช้นโยบายการเงินเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง


หากเจาะจงไปเฉพาะ QE3 อาจกล่าวได้ว่า มันถูกออกมาเพื่อคุ้มครอง ค้ำจุน และ เยียวยา (Insurance policy) ต่อปัญหาทางการคลังของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหา Fiscal cliff เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ปัญหาขยายเพดานหนี้ และล่าสุดคือปัญหา government shutdown เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็ดูเหมือนว่าอเมริกาจะผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้แม้จะมีช่วงเวลาให้เสียวตื่นเต้นอยู่บ้าง อีกทั้งการที่สภาสูงสหรัฐฯเพิ่งผ่านร่างงบประมาณสำหรับ 2 ปีหน้า นั่นหมายถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิด government shutdown อีกครั้งในปี2014 มีน้อยลงไปเยอะ กล่าวโดยสรุปคือ เนื่องด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และปัญหาต่างๆก็คลี่คลายลงไปมาก มีโอกาสสูงที่ Fed จะลดขนาด QE ลงเร็วๆนี้ครับ
  
อย่างไรก็ดี ปีนี้ ฝรั่งขายหุ้นไทยแล้วเป็นมูลค่ากว่า US$ 5 พันล้าน ซึ่งนับว่าเป็นปีที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี1998 (ข้อมูลจาก Morgan Stanley) โดยหากนับเฉพาะช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง (ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2013) ฝรั่งเป็นยอดขายสุทธิถึง US$2.4 พันล้าน..ซึ่งผมเชื่อว่าตรงนี้หมายถึงข่าวเรื่อง QE Tapering ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นพอสมควรแล้วและแรงขายฝรั่งน่าจะค่อยๆน้อยลงเมื่อใกล้สิ้นปี หุ้นไทยก็น่าจะกลับมาสวีวี่วีได้อีกครั้ง โชคดีครับ : )

Wednesday, December 11, 2013

สะบั้นเป้า ไม่เศร้าใจ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 11 ธันวาคม 2556

แม้ความวุ่นวายทางการเมืองยังไม่จบแต่ตลาดยังสามารถยืนเหนือจุดต่ำสุดที่ 1345 ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้อย่างไม่แคร์สื่อ (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบทความ Déjà vu ของผมเมื่อ 27 พ.ย. รึเปล่า คริคริ) แม้กระนั้น พี่ปรเมศน์ ทองบัวนักกลยุทธ์ดีกรี CFA จากสายงานวิจัยลูกค้าสถาบัน หลักทรัพย์บัวหลวง ได้ออกมาสะบั้นเป้า SET Index ในปีหน้าจาก1670 เหลือเพียง 1510 ซึ่งเทียบเท่า PE ที่ 13.9 เท่า โดยยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 12 เท่าอยู่ 0.5SD


สาเหตุหลักชัดเจนครับว่าเป็นเพราะผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบของบ้านเมือง ซึ่งลองเทียบกับช่วงที่พรรคประชาธิปปัตย์คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อปี 2006 เดือนเมษายนจนสุดท้ายเกิดการรัฐประหารในเดือนกันยายน ช่วงนั้น เศรษฐกิจไทยโดยรวมอ่อนแอมาก และ SET Index ก็ underperform ตลาดในภูมิภาคเกือบตลอดทั้งปี



ถึงบรรทัดนี้ก็ต้องบอกว่า ท่านนักลงพุงและนักเกร็งลำไยทุกท่านอย่างเพิ่งสิ้นหวังครับ ข่าวดียังมี ซึ่งก็คือ Forward PE ของตลาดไทยในปีหน้ายังถูกกว่าค่าเฉลี่ยของ 3 ประเทศเพื่อนบ้าน (อินโด-มาเล-ฟิลิปปินส์) อยู่ถึง 15% แถมยังถูกกว่าดัชนี S&P500 ของอเมริกาอยู่ถึง 16% นั่นหมายถึง เมื่อใดก็ตามที่เรื่องราวความวุ่นวายจบลง ผมว่าฝรั่งพร้อม ไทยพร้อม ที่จะลุยอีกระลอก หรือพูดเป็นภาษาสวยๆว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2014 มีโอกาสสูงที่ fund flows จะไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยเต็มๆอีกครั้ง!

Wednesday, December 4, 2013

แค่ลอง หันมองหน่อย

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 4 ธันวาคม 2556

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ต้องบอกว่า ยืนได้ด้วยความหวังจริงๆครับ ความหวังที่ว่าความวุ่นวายในบ้านเมืองจะจบลงซึ่งหากจบลงจริง ตลาดจะหยิบประเด็นอะไรขึ้นมาเล่นต่อ นั่นเป็นคำถามที่ต้องตอบ
  
ผมไม่ใช่แฟนเพลงอ๊อฟ ปองศักดิ์ แต่เพลง คำถามที่ต้องตอบ ก็เป็นเพลงที่ผมได้ยินอยู่บ่อยๆ ซึ่งหลังจากนี้ตลาดหุ้นน่าจะเริ่มหันไปโฟกัสในเรื่องของตัวเลขเศรษฐกิจมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทย หรือ ของโลก
  
ของไทยเองนับว่าเป็นข่าวดี ที่ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account) ในเดือนพฤศจิกายนกลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง สอดคล้องกับ 2 ประเทศหลักในเอเซียที่มีปัญหาอย่างอินเดีย และ อินโดนิเซียที่รายงานตัวเลขดังกล่าวเซอร์ไพรส์ตลาด ดีขึ้นมวักๆ.. อย่างไรก็ดี ตัวเลขส่งออกบ้านเรายังแผ่ว นำเข้ายังอ่อน (แม้ตัวเลขนำเข้าที่อ่อนจะส่งผลให้ตัวเลขดุลเป็นบวกมากขึ้นแต่นั่นบอกเป็นนัยว่า domestic demand อ่อนแอ หมายถึง ภาคธุรกิจยังไม่กล้าใช้จ่าย หรือ สั่งสินค้าเข้ามามากเพื่อลงทุน หรือ ขยายธุรกิจ)
  
ส่วนเงินเฟ้อบ้านเราก็ทรงๆครับ บวกขึ้นมา 1.92% ในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับปีก่อน และถ้าดูตัวเลข 11 เดือนแรกของทั้งปีก็ +2.24% ซึ่งถือว่ายังอยู่ในกรอบที่แบงค์ชาติให้ไว้ที่ 0.5-3.0% นั่นหมายถึง แบงค์ชาติยังสามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายแบบนี้ต่อไปได้อีกซักพัก
  
ก่อนจะปิดท้าย ขอวกไปที่ระดับโลกนิดนึงอเมริกาจะมีการประกาศตัวเลขจ้างงานในวันศุกร์นี้ครับ โดยเฉพาะตัวเลขอัตราว่างงาน (Unemployment rate) เป็นที่ต้องจับตา ของเดิมคือ 7.3% แต่ตลาดคาดว่าจะดีขึ้นเป็น 7.2% ตรงนี้ถ้าประกาศออกมาแล้วดีขึ้นมากๆๆ (เช่น น้อยกว่า 6.5%) อาจจะเป็นการส่งสัญญาณว่า QE อาจถูกลดเร็วกว่าที่คิดไว้ โดย 17-18 ธันวาคมจะเป็นการประชุม FOMC ครั้งสุดท้ายของปีครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้.. หรือบางทีอาจถึงเวลาที่ต้องหันมามองน้องตราสารอนุพันธ์เพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยงบ้างซะกะละมัง



Wednesday, November 27, 2013

Déjà vu

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2556

ผมเพิ่งกลับจากฮ่องกง แวะไปเยี่ยมลูกค้าที่น่ารักมาครับกลับมาก็ตกใจ  เพราะทราบว่ามีบริษัทฝรั่งรายใหญ่เจ้าหนึ่งปรับลดอันดับหุ้นไทยโดยให้น้ำหนักเพียงต่ำกว่าตลาด (Underweight) โดยพ่วงอินโดนิเชียฮ่องกง และออสเตรเลีย ไปด้วย
  
ที่เค้าสะบั้นตลาดหุ้นไทยลงมา ส่วนหนึ่งเพราะเค้าเชื่อว่าตลาดหุ้นในอาเซียนน่าจะ underperform ตลาดหุ้นในเอเซียต่อไปจนถึงปีหน้า เหตุผลก็ง่ายๆครับเพราะเรา outperform คนอื่นมาตลอดตั้งแต่ปี 2006 – 2012 อีกทั้ง 2 ประเทศหลักอย่างไทยกับอินโดนิเซียก็ยังมีประเด็นเรื่องขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account deficit) กับ การขยายตัวของสินเชื่อที่ดูจะมากไปนิส (Excess credit growth) เค้าเลยสรุปว่าเจอกันอีกทีนู้นเลย ครึ่งหลังปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่การเมืองในไทยนิ่งและทุกอย่างถูกปรับเข้าสู่สมดุลแล้ว



มาถึงตอนนี้ก็ต้องยอมรับครับว่า หากมองในเชิงพื้นฐานโอกาสที่ตลาดจะกลับขึ้นไปสูงๆ.. ยาก ในขณะที่ downside ดูจะเปิดซะมากกว่าประเด็นความวุ่นวายทางการเมืองน่าจะส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยไปอีกซักพักอย่างไรก็ดี ผมกลับมีความรู้สึกเดจาวู มันเหมือนว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมนที่เหล่าสำนักเศรษฐกิจทยอยปรับลดคาดการณ์ต่างๆลงมาคล้ายกับช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2011 ซึ่งน่าแปลกที่ช่วงนั้นหุ้นไทยกลับไม่ค่อยลงเท่าไหร่
  
หลายๆอย่างอาจไม่เหมือนกัน แต่ลองดูตลาดหุ้นอียิปต์เป็นตัวอย่างครับช่วงเกิดเหตุการณ์รุนแรงมากๆในเดือนมิถุนา ดัชนี EGX30 ถูกถล่มลงไปราว20% แต่หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) ตลาดกลับเป็นบวกได้ราว17% และถ้านับ 1 ปีย้อนหลัง เป็นบวกถึง 27%



หากมองไปในอนาคต ผมก็มีความหวังลึกๆครับว่าครึ่งปีหลังของปี 2014 ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น และถ้าท่านเชื่อว่าหุ้นซื้อขายบนความคาดหวังเหล่านั้น ก็อาจสรุปได้ว่าณ ช่วงเวลาที่สิ้นหวัง หาทางออกไม่ได้ จนทำให้หุ้นตกหนัก นั่นอาจเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อก็เป็นได้

Wednesday, November 20, 2013

ณ จุดนั้น ชั้นทำอะไร

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2556

วันก่อนได้อ่านเปเปอร์สั้นๆฉบับหนึ่ง เจอรูปน่าสนใจดี เลยนำมาฝากแฟนๆคอลัมภ์ซะหน่อยครับ
ก่อนจะอธิบายรูป ผมอยากจะพูดถึงศาสตร์หนึ่งที่ชื่อว่า จิตวิทยามวลชน (Behavioral Finance) ก่อน ศาสตร์นี้เกี่ยวข้องกับพวกเรานักลงทุนแน่นอนครับ เพราะบางครั้งมันช่วยอธิบายถึงความไม่มีเหตุผลของราคาสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือ ตราสารอนุพันธ์ ว่าทำไมบางครั้งราคามันถึงไม่เป็นไปตามพื้นฐาน ทำไมหุ้นตัวนั้นแพงแล้วถึงแพงได้อีกแต่ทำไมบางตัวถูกอยู่อย่างนั้นสม่ำเสมอ หรือ ทำไมเมื่อมีความกังวลต่างๆเยอะแยะตาแป๊ะเป็นลม แต่หุ้น หรือ ตราสารอนุพันธ์ของหุ้นกลับไม่ลง.. บางทีมันก็อาจเป็นเรื่องของอารมณ์ และ ความคาดหวัง

คำอธิบายของ Behavioral Finance โดยตรงก็คือ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ครับ ไม่ว่าจะเป็นทางสังคม อารมณ์ หรือความรู้สึก เพื่อนำไปอธิบายถึงการตัดสินใจของนักลงทุนในสถานการณ์ต่างๆ ที่จะมีผลต่อราคาสินทรัพย์ เช่น พฤติกรรมตอบสนองมากเกินไปหรือน้อยเกินไป (Over-react and Under-react) พฤติกรรมแห่ตามคนส่วนใหญ่ เค้าว่าไงเราว่างั้น (Herd instinct) หรือ พฤติกรรมการซื้อขายตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง หุ้นผีบอก เค้าบอก (Noise trading) ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นักวิชาการเค้ามักนำมาใช้โต้แย้งกับทฤษฎีความมีประสิทธิภาพของตลาดครับ (Efficient market theory)

ผมคงไม่ลงในรายละเอียดมากไปกว่านี้ เพราะเขียนไปก็รู้สึกว่าเริ่มจะงงเอง.. กลับมาที่รูปดีกว่า คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตการลงทุนรึเปล่า เช่น รู้สึกว่า “โอ้วว ช่วงเวลานี้ฉันอยากลงทุนจริงๆเลย รู้สึกดีมากๆเลย ซื้อเต็มแมกส์!” นั่นละครับ ณ จุดความรู้สึกนั้น คุณอาจกำลังใกล้ถึงยอดดอย ซึ่งในรูปแทนด้วยคำว่า “Euphoria” (หมายถึง ความรู้สึกสนุกสนานตื่นเต้นเป็นที่สุด) ซึ่งจากนั้นไม่นาน หุ้นก็ลง หรือ คุณเคยรู้สึกหดหู่แบบนี้บ้างไหม “เอ้อ เล่นทีไร โดนทุกที เซงเป็ดพะโล้จริงๆ ตลาดหุ้นคงไม่เหมาะกับเรากระมัง ขายโล๊ะพอร์ต!” ซึ่งหารู้ไม่ว่า ณ จุดนั้นราคามันอาจกำลังจะถึงก้น และหลังจากนั้นไม่นาน มันก็เด้ง

ที่เขียนทั้งหมด เพียงเพื่อจะให้ตระหนักว่า บางทีอะไรๆที่เราคิด มันก็อาจไม่เป็นอย่างที่คิดครับ ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน (Uncertainty is the only certainty) การวิเคราะห์การลงทุน บางทีมองในแง่มุมเดียวคงไม่ได้ การบริหารความรู้สึก อารมณ์ เป็นเรื่องจำเป็น และที่สำคัญคือ รู้ให้เยอะเข้าไว้ครับ เพราะไม่ว่าสถานการณ์ใดมาถึง เราก็แค่เปิดลิ้นชัก หยิบความรู้ที่เรามีมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์  เท่านั้นเอง