Wednesday, November 26, 2014

พร้อมทะยานสู่ฟ้า

สวัสดีครับ,

NOVEMBER 26, 2014


หากจำกันได้ผมได้เขียนสรุปไว้ในบทความ “ทำธุรกิจด้วยกฎ 9 ข้อสไตส์ Buffett” เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนครับว่า หุ้นใน SET50 จะกลับเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป และก็เป็นอย่างที่คาด เพราะเมื่อหุ้นเล็ก-หุ้นจิ๋วโดนมาตรการสกัดความร้อนแรงจากตลาดหลักทรัพย์ (แม้จะมีผลจริงในปีหน้า) ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้นดังส้มหล่นทับ ซึ่งหากดูจากกราฟจะเห็นชัดเจนครับว่า ดัชนี SET50 ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ของปีไปก่อนแล้วเรียบร้อยในขณะที่ดัชนี SET ยัง (ณ เวลา 10.50 วันที่ 26 พ.ย.)



ความจริงอีกข้อก็คือ นักลงทุนไทยยังต้องซื้อ LTF อีกเยอะครับโดยเม็ดเงิน LTF ที่คาดว่าจะเข้ามาในตลาดหุ้นปีนี้ทั้งปีอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท (ปีที่แล้ว 4.3 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจนถึงตอนนี้ผ่านไปเกือบ 11 เดือน คาดว่ามียอดซื้อ LTF รวมเพียงประมาณกึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่รอ เพื่อซื้อในช่วงสุดท้ายของปีโดยหวังว่าหุ้นจะลงแต่จริงๆ ดันไม่ลง (หุ้นขึ้นด่ะตั้งแต่ต้นปี) ดังนั้นเดือนธ.ค.ปีนี้น่าจะมีเฮโลนะครับ ตลาดหุ้นไทยเตรียมพร้อมรับเม็ดเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาทได้เลย

สุดท้าย เพื่อยืนยันกันอีกครั้ง ทางทีม Quantitative Model ของเราก็ได้ทำนายไว้ครับว่า เดี๋ยวเถอะ เดือนหน้านิแหละ จะมี Flows จากทั้งนักลงทุนสถาบันและต่างชาติทยอยกันเข้ามา สังเกตได้จากเจ้า Volume Flow Indicator ที่กำลังฟอร์มตัวสวยพร้อมทะยานสู่ฟากฟ้า ดังนั้น ใครที่เทรด SET50 Index Futures อยู่ด้วยแล้วถือหน้า Short ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นนะครับ

Wednesday, November 12, 2014

ทำธุรกิจด้วยกฎ 9 ข้อสไตส์ Buffett

สวัสดีครับ,

วันนี้มีประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังก่อนกระโดดจะไปสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยครับ จริงอยู่ เรารู้จัก Warren Buffett ในฐานะตำนานนักลงทุนเน้นคุณค่าของโลก แต่ในแง่การทำธุรกิจแล้ว Buffett ก็ถือเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ และนี่ก็คือ กฎ 9 ข้อในการทำธุรกิจของเขา (จากบทความของ Alex Crippen ในเว็บไซต์ CNBC) ซึ่งผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ จึงเรียบเรียงมาให้อ่านดังนี้

กฎข้อแรก เงียบสงบสยบความเคลื่อนไหว อย่าไปตื่นตระหนกกับความผันผวนของกำไร Buffett บอกว่าเค้ายอมให้กำไรของบริษัทผันผวนปรู๊ดปร๊าดแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 15% ดีกว่ากำไรอยู่นิ่งแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 12%

กฎข้อสอง ยาวดีกว่าสั้น Buffett ยกตัวอย่างว่าเค้าไม่เคย split หุ้นบริษัท (Class A) ของเค้าเลย ด้วยเหตุนี้ราคาหุ้น Berkshire จึงสูงถึง USD217,000 หรือ 7 ล้านกว่าบาทต่อหุ้น ที่ทำเช่นนี้เพราะเค้าต้องการให้นักลงทุนถือหุ้นยาวๆ ไม่ซื้อขายสั้นๆ (สังเกตว่าหุ้นที่ราคาต่ำๆ จะมีการซื้อขายหมุนเวียนเพื่อเก็งกำไรบ่อยครั้งกว่าหุ้นที่มีราคาสูงๆ)

กฎข้อสาม เน้นเข้าไว้ บริษัทไม่ว่าจะดีสุดยอดแค่ไหนก็ต้องมีช่วงเวลาที่ซบเซาด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งนั่นอาจทำให้เราเลิกสนใจมันและหันไปสนใจธุรกิจธรรมดาๆ แทน Buffett เลยบอกว่าอย่ากระนั้นเลยให้เน้นของเดิมที่เจ๋งๆ ไว้ดีกว่า อย่าปล่อยให้ของดีหลุดมือไปเพียงเพราะเหตุการณ์ร้ายเพียงชั่วคราว

กฎข้อสี่ ขอถูกๆ Buffett บอกว่าต้นทุนที่ถูกนิแหละที่เป็น Key Success Factor ของ GEICO (บริษัทประกันรถที่ใหญ่อันดับ 2 ในอเมริกา และเป็นบริษัทลูกของ Berkshire) พอต้นทุนถูก ก็ตั้งราคาถูกได้ซึ่งนั่นก็เป็นการรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราได้นาน และเมื่อลูกค้าประทับใจก็จะเกิดการบอกต่อนั่นยิ่งทำให้ต้นทุนถูกลงไปอีก

กฎข้อห้าจ่ายเงินพนักงานด้วยวิธีง่ายๆ Buffett บอกว่าเค้าไม่ชอบจ่ายผลตอบแทนพนักงานด้วยเครื่องมือที่ต้องมานั่งลุ้น (Buffett ใช้คำว่า Lottery ticket) อย่างเช่น Stock options ซึ่งมูลค่าสุดท้ายเป็นได้ตั้งแต่ 0 จนถึงสูงมาก แถมเค้ายังไม่สามารถควบคุมได้ (ว่าพนักงานจะใช้สิทธิ์เมื่อไหร่) ความจริงก็คือหลักการจ่ายมันควรเป็นไปตามผลประกอบการของธุรกิจ วัดได้ง่าย และเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่พนักงานปฏิบัติ

กฎข้อหก อยู่ไกลๆ กับปัญหา Buffett บอกว่าเค้าชอบ “วางแผนกลับด้าน” (Reverse engineer) หมายถึง ถ้าเรารู้ว่าทำอะไรลงไปแล้วผลลัพธ์ที่จะเกิดเราไม่สามารถรับได้ ก็อย่าคิดแม้จะไปเริ่มทำมัน เหมือนอย่างที่คู่หูเค้า Charlie Munger ชอบบอกว่า “ถ้ารู้ว่าไปที่ไหนแล้วผมต้องจะตาย ผมก็จะไม่ไปที่นั่น แค่นั้น”
 
กฎข้อเจ็ด ถ้าหุ้นคุณถูก.. เก็บมันไว้เอง พูดง่ายๆ เมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นบริษัทของคุณในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ให้ซื้อมันเก็บไว้เองเลย! (ซื้อหุ้นคืน) Buffett ถึงกับกร้าวว่าในช่วงเวลานั้น แม้จะเจอธุรกิจที่สุดยอดที่ราคาสมน้ำสมเนื้อ เค้าก็ไม่เอา
 
กฎข้อแปด เล็กเข้าไว้ Buffett เชื่อว่าองค์กรยิ่งใหญ่ ยิ่งเยอะ ยิ่งทำให้คิดช้า ทำงานยาก จึงเป็นสาเหตุให้สำนักงานใหญ่ของ Berkshire มีจำนวนพนักงานแค่หยิบมือ และงานในการบริหารจัดการส่วนใหญ่ไปอยู่ในมือผู้จัดการส่วน ซึ่งผู้จัดการส่วนเหล่านั้นก็ทำงานทุ่มเทเสมือนกับว่าเค้าเป็นเจ้าของบริษัทยังไงหยั่งงั้นเลย
 
กฎข้อเก้า รักษาชื่อเสียงยิ่งชีพ กฎข้อนี้สำคัญที่สุด*** Buffett เคยถึงกับพูดกับพนักงานบริษัทของเค้าว่า “หากคุณทำบริษัทเสียเงิน ผมจะยอมเข้าใจ แต่หากทำบริษัทเสียชื่อเสียง แม้เพียงเล็กน้อย ผมก็จะไม่ปรานี” เหมือนกับที่เค้าเคยย้ำอยู่เสมอครับว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีสร้างขึ้นมา แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีทำลายมัน”
 
ดูเหมือนผมจะไม่มีพื้นที่เหลือให้สรุปภาพรวมตลาดมากนัก แต่ก็หวังว่า 9 ข้อที่นำมาฝากจะหนำใจคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนไหวของหุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัว เช่น กลุ่ม PTT, CPALL, ADVANC ซึ่งผมเชื่อว่าอาจจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนถึงสิ้นปี ในช่วงที่พลังเม็ดเงิน LTF และ RMF เข้าสู้ตลาดหุ้นผ่านทางนักลงทุนสถาบันในประเทศ และหุ้นใน SET50 ก็น่าจะเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป

Monday, November 10, 2014

พี่ Mark พระโขนง !?

8 พ.ย. 2557


โพสต์เรื่องพี่ Mark (พระโขนง?... ไม่ใช่!) เมื่อวานได้รับความสนใจมากทีเดียวครับ วันนี้เลยขอเก็บตกอีกประเด็นที่น่าสนใจ นำมาฝากกัน

มีคนถามพี่ Mark ต่อว่า "แล้ว Facebook ตอนนี้ดูขาดสีสัน หรือ เริ่มขาดความน่าสนใจแล้วรึป่าวครัช ?"

พี่ Mark ตอบว่า..

"บ่องตง เป้าหมายของพี่ไม่เคยคิดที่จะทำให้ Facebook ดูเฟี้ยวครับน้อง พี่เองก็ไม่ใช่คนเฟี้ยว (Cool) และไม่เคยพยายามที่จะทำให้ตัวเองดูเฟี้ยว"

"เป้าหมาย (ในการทำธุรกิจของพี่) ไม่จำเป็นจะต้องทำให้สินค้าหรือบริการดูเฟี้ยวฟ้าวน่าตื่นเต้นที่จะใช้ เพียงแค่เราทำให้ให้มันมีประโยชน์ที่จะใช้.. ก็พอ (คำนี้ขีดเส้นใต้เลยนะครับ)"

พี่ Mark เปรียบเทียบการใช้ Social network กับการใช้ไฟฟ้าหรือน้ำประปาครับ เค้าบอกว่า เราคงไม่แบบกลับถึงบ้านปุ๊ปเปิดไฟแล้วร้อง wow อะไรแบบนี้ เพียงแต่มันจำเป็นต้องเปิดต้องใช้ แม้จะไม่ wow ก็ตาม ซึ่งประเด็นนี้ผมว่าสำคัญเลย จึงขอสรุปเป็นคำพูดของตัวเองง่ายๆ ครับว่า

"ในการทำธุรกิจให้สุดยอด คุณต้องเปลี่ยนความรู้สึกลูกค้าต่อสินค้าและบริการของคุณจาก 'ใช้หรือไม่ใช้ก็ได้' ให้เป็น 'ไม่ใช้ไม่ได้' เท่านี้แหละ เฟี้ยวที่สุดแล้น!"


Friday, November 7, 2014

Mark Zuckerberg: First public Q&A

7 พ.ย. 2557



พี่ Mark Zuckerberg ได้จัด first public Q&A บน Facebook (เรียกพี่เพราะอายุมากกว่าผม 3 ปี แต่เกิดเดือนเดียวกัน) โดยให้คนเข้าไปคอมเม้นถามอะไรก็ได้ หรือไป vote คำถามที่ชอบโดยการกด Like แล้วเค้าจะมาตอบแบบสดๆ

มีอยู่คำถามนึงผมชอบมากครับ มีคนถามพี่ Mark ว่า “Why do you wear the same T-shirt every day?”

ไอคนฟังก็คิดว่า เอ๊ะ เฮียจะหยอดมุกอะไรกลับมานะ.. แต่ป่าวครับ พี่ Mark ตอบแบบซีเรียสกลับมาว่า (ขออนุญาตแปลเอง)

“เอิ่ม คือมันมีทฤษฎีทางจิตวิทยาบอกไว้อะนะว่าไอการตัดสินใจจุกจิกหยุมหยิม เช่น วันนี้จะใส่ชุดอะไรดี หรือจะกินข้าวเช้าอะไรดีนะ พวกนี้ มันทำให้เราเสียเวลา เสียพลังงานไปมาก ผมไม่อยากจะไปเสียเวลากับการคิดอะไรพวกนี้”

“บอกตรง ผมโชคดีแค่ไหนที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ได้ตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วแบบว่าได้ดูแลคนมากกว่าพันล้านคนบนโลกออนไลน์แห่งนี้ ดังนั้น ผมจึงอยากจัดการชีวิตของผมให้มันแบบมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจน้อยที่สุด โดยเฉพาะเรื่องโง่ๆ หรือเรื่องที่ไม่สำคัญในชีวิต บ่องตง เรื่องเดียวตอนนี้ที่ผมแคร์ คือ How to best serve this community (Facebook) !!”

“ผมว่าอย่าง Steve Jobs หรือ Barack Obama เองก็ใช้ทฤษฎีเดียวกับผม ถ้าสังเกตส่วนใหญ่ทุกวันเค้าก็ใส่เสื้อรูปแบบเดิมๆ นั่นละ ยิ่ง Jobs เนี่ยนะ เค้าบอกเลยว่าอยากให้ทุกคนใน Apple ใส่เสื้อตัวเดียวกันด้วยซ้ำ กระต๊ากก!!”

“สุดท้าย ผมอยากบอกว่าผมมีเสื้อสีเทานี้หลายตัว ไม่ได้ใส่ซ้ำนะคร้าบบ 55+”

ที่มาเล่า เพราะผมเองก็มีแนวคิดเรื่องนี้คล้ายๆ พี่ Mark ครับ ผมมักจะกินข้าวเช้าร้านเดิมๆ เพราะขี้เกียจมาเสียเวลาคิดว่าจะกินอะไร การแต่งตัวผมแต่ละวันก็เพลนๆ ใส่ชุดรูปแบบเดิมๆ นิละไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง

ส่วนใครอยากดูคลิปที่เฮียพูด ตามลิ้งค์ล่างนี้เลยครับ นาทีที่ 42 นะ https://www.facebook.com/video.php?v=828790510512059&set=vb.823440467713730&type=2&theater


Wednesday, October 29, 2014

แนวต้านสำคัญ

สวัสดีครัชชช
เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2557

หากจำกันผมได้เขียนไว้ในบทความ “ยืนหัวโด่”เมื่อต้นเดือน พร้อมกับตอกย้ำในบทความ “มีเสียว” เมื่อกลางเดือนไว้ว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะยืนได้ที่ระดับ 1520-1530 ก่อน ซึ่งเป็น gap ที่ดัชนีเคยเปิดเอาไว้เมื่อครั้งกระโน้น ซึ่ง SET ก็ทำให้เราไม่ผิดหวังครับเพราะได้ทำจุดต่ำสุดของเดือนไว้แค่ที่ 1519.76 จากนั้นก็ซิกแซกขึ้นเรื่อยๆ มาจนถึงระดับ 1560 ในปัจจุบัน

ตรงนี้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative model) ของหลักทรัพย์บัวหลวงก็คอนเฟิร์มครับเพราะไอเจ้า Medium-term Bull2Bear ratio ได้ตกจากพื้นที่เสี่ยงสูง (High risk zone) มาอยู่ต่ำกว่าพื้นที่ปกติ (Neutral zone) เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายถึงความเสี่ยงขาลงจำกัด และตลาดพร้อมปรับตัวขึ้น



อีกทั้งหากเหลือบไปดูเจ้า Yield spread ระหว่างพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี กับอัตราเงินปันผลล่วงหน้าของตลาดหุ้น จะพบว่ามันตกจากพื้นที่แพงมาอยู่ในพื้นที่ปกติเรียบร้อยแล้ว แบบนี้ถึงตลาดหุ้นไทยอาจจะยังไม่ได้ขึ้นแรงจากนี้ไป แต่ผมว่าโอกาสลงแรงๆ ในช่วงนี้ถือว่าค่อนข้างน้อยแล้วละ 



สุดท้ายขอแวะมาแตะเจ้าอนุพันธ์สะบั้นหัวใจซะหน่อยครับ เจ้า SET50 Index Futures !!! คือตอนนี้ มันหล่อมากอะ บอกเลย แต่ผมอยากให้ดูอย่างนี้ครับว่า ในช่วงที่ดัชนีปรับฐานลงมา หากลากเส้นแนวโน้มขาลงก็จะได้กรอบดังรูป โอเคละการที่ดัชนีไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ก็ถือได้ว่าแนวโน้มขาลงได้ถูกสกัดไปแล้วระดับหนึ่ง แต่สัญญาณที่จะคอนเฟิร์มนั้นผมอยากให้ดูว่ามันจะสามารถเบรกและขึ้นมาปิดสวยเหนือกรอบนั้นได้รึป่าว (แถว 1036-1040) ถ้าได้ ดัชนีก็มีลุ้นขึ้นสวรรค์อีกรอบ แต่ถ้าไม่ได้ตรงนี้ละที่เค้าเรียกว่า“แนวต้านสำคัญ” 



Wednesday, October 15, 2014

มีเสียว

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 15 ตุลาคม 2557

เห็นช่วงนี้ฮิตกันเหลือเกินเรื่องน้ำมันโลกลงรุนแรงก็เลยเอากราฟตั้งกะปีมะโว้มาให้ดูแล้วก็ขอพูดถึงซักกะหน่อย



จริงๆ แล้วน้ำมันโลกลงรุนแรงหนะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมครับเนื่องจากเราเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันสุทธิ (Net oil importer) เพราะงั้นเวลาน้ำมันลง จะหมายถึงต้นทุนนำเข้าถูกลง ซึ่งนักวิเคราะห์ของบัวหลวงเราได้ทำประมาณการไว้แล้วว่าทุกๆ 5% ของราคาน้ำมันที่ลงจะส่งผลให้ GDP บวกประมาณ 0.45% แต่ (ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจดีๆ) จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมลดลงเล็กน้อย ประมาณ 0.1% (เนื่องจากกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนค่อนข้างมากใน SET Index ถึง 1/5)
   
ผมคงไม่ล้วงลึกไปกว่านี้ในเรื่องราคาน้ำมัน ด้วยความรู้เพียงผิวเผิน แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของ demand supply นั่นละครับ รวมถึงมีเรื่องของต้นทุนการผลิตเข้ามาเกี่ยวด้วย ซึ่งโดยประมาณแล้วน่าจะอยู่ที่ราว 80 เหรียญต่อ 1 บาร์เรล (แต่มัน vary มากนะครับ บางแหล่งขุดเจาะต้นทุนการผลิตแค่ 30 เหรียญก็มี)
  
กลับมาที่ภาพตลาดเราก็เป็นไปอย่างที่เดาไว้ในสัปดาห์ที่แล้วครับว่าระดับ 1520-1530 น่าจะยังเอาอยู่ก่อน แต่ความเสียวหลังจากนี้น่าจะเริ่มเพิ่มขึ้นแล้วละ เพราะทั้งเจ้าแท่งเทียนรายสัปดาห์ของ SET และ SET50 ได้ออกมาโชว์เดี่ยวอยู่นอกกรอบขาขึ้นที่ลากไว้ตั้งต้นปีซะแล้น แบบนี้คงต้องพึ่งพลังนักลงทุนสถาบันในประเทศ พลังกองทุน LTF, RMF และพลังรายย่อยว่าจะดันกันไปได้ถึงไหน เพราะฝรั่งหัวเขียวคงจะไม่เข้ามาหนักๆ ในช่วงนี้เป็นแน่แท้กระมัง


Wednesday, October 8, 2014

ยืนหัวโด่

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2557

ไม่ได้เจอกัน 2 สัปดาห์กลับมาอีกที ดัชนี SET ลงจากจุดสูงสุดที่ 1602 เมื่อวันที่ 29 ก.ย. มาแชแม้อยู่แถว 1530-1540 ซะแล้น ซึ่งรอบนี้ถือว่าเป็นการปรับตัวลงราว 4% ครับ ทำให้ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยลงมาอยู่ที่ราว +18% นับจากต้นปี

อย่างไรก็ดี หากท่านสังเกตจากกราฟ จะเห็นว่าดัชนี SET50 ออกอาการทรงเสียก่อน (คือหลุดจากกรอบขาขึ้นก่อนดัชนี SET) แสดงว่าต้องเกิดจากหุ้นใหญ่แน่ๆ ที่พัดพาเราลงมา ซึ่งพอไปดูแล้วก็จริงครับ เป็นกลุ่ม Bank และ ICT นั่นละที่ลงมากกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นพลังงานตัวใหญ่อย่าง PTT ยังยืนหัวโด่อยู่ได้ 


นัยของผมก็คือ หุ้นตัวใหญ่ๆ เวลาลงแรงๆ หากพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ ประเดี๋ยวมันก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา (ทั้งจากนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ) แล้วยิ่งชำเลืองไปเห็นว่าเมื่อวันที่ 13 สิงหา ทั้งดัชนี SET และ SET50 ได้เปิด gap ไว้แถว 1520-1530 และ 1020-1025 ..เอ๊ะ มันช่างใกล้กับดัชนีที่ระดับปัจจุบันซะเหลือเกิน ผมก็เลยเดาว่าด่านแถว 1530 น่าจะเอาอยู่ก่อนรึป่าวนะ? อาจจะมีเด้งก่อนไหม? แล้วจะขึ้นจะลงอย่างไรก็ว่ากันอีกทีดีมั้ย?

แต่ที่ต้องย้ำก็คือ เนื่องจากตลาดได้หลุดจากกรอบขาขึ้น (ที่ผมลากจากต้นปี) ไปแล้วเรียบร้อย ตรงนี้แปลว่าถึงจะมีการรีบาวด์ แต่โอกาสที่จะขึ้นทางเดียวเหมือนเดิมนั่นท่าจะยากซะแล้วละครับ จากนี้ ตลาดน่าจะอยู่ในรูปแบบไซด์เวย์ไปเรื่อยๆ และความผันผวนในช่วงที่เหลือของปีน่าจะมีมากขึ้นหากเทียบกับช่วงต้นปีครับ 

Wednesday, September 24, 2014

แก๊งค์ขาซิ่ง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2557

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านจะเห็นขาใหญ่แต่ละกลุ่มที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาช่วยพยุงตลาด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงานนำโดยพี่ใหญ่ PTT กลุ่มธนาคารนำโดยแบงค์ดอกบัว BBL และล่าสุดก็กลุ่ม ICT นำซิ่งโดย 3 โจ๋ ADVANC DTAC INTUCH
  
โดยเฉพาะกลุ่ม ICT และ พลังงานที่ยัง underperform ดัชนี SETอยู่ราว 4% และ 9% ตามลำดับหากนับจากต้นปีจนถึงปิดเช้าวันที่ 24 ก.ย. (กลุ่มธนาคารปล่อยไปเหอะเพราะ outperform แต่ยังช่วยพยุงอีก)



แม้ท่านกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯได้ออกมาเตือนแล้วว่าให้ดูดีๆนะ หุ้นบางตัวที่ PE หลายร้อยเท่าราคามันอาจไม่สมเหตุสมผลต้องระวัง ต้องวิเคราะห์ให้ดีก่อนลงทุน แต่หากมองในภาพรวมแล้ว ก็นั่นละครับ หุ้นในกลุ่มใหญ่ยังช่วยพยุงตลาดไว้อยู่ดี
  
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เมื่อเร็วๆ นี้ท่านนายกฯประยุทธ์ได้บัญชาให้จัดหนักจัดเต็มกับเงินงบประมาณเริ่มในไตรมาสสี่ปีนี้ครับ มูลค่าก็ไม่มากไม่น้อย 1.1 ล้านล้านบาทเท่านั้น.. หลักๆ ที่จะไปลงก็คือการลงทุนในประเทศนั่นละ ซึ่งถ้าคิดบวกลบคูณหารแบบง่ายๆ โดยให้ GDP ประเทศไทยเรา 14 ล้านล้านบาท แปลว่ามูลค่าตกประมาณ3 ล้านล้านบาทต่อ 1 ไตรมาส ท่านนายกฯให้จัด 1.1 ล้านล้านบาท นั่นหมายถึง 37%ของ GDP เลยเชียวนะ! เพราะงั้นไม่แน่ GDP ไตรมาส 4 ปีนี้อาจจะโตถึง 2 หลักก็เป็นได้ โฮะๆๆ
  
เอาละท้ายสุด ก็อยากฝากไว้ครับว่า หากท่านยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้จริงจังก็อย่าไปลงทุนในหุ้น PE หลักร้อยเลยครับ เสี่ยงไป ยังมีหุ้นดีๆ อีกหลายตัวที่พร้อมให้ท่านสอย หรือหากยังไม่เจอจริงก็ถือเงินสดไว้ก่อนก็ได้ไม่ต้องรีบ ตำนานนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ยังเคยบอกไว้เลยครับว่า “จริงๆ แล้วการถือเงินสดก็เหมือนกับการถืออนุพันธ์ประเภทหนึ่งที่ไม่มีวันหมดอายุ เพราะเราสามารถที่จะเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินชนิดใดและเมื่อไหร่ก็ได้” นั่นละครับไม่พร้อมก็รอ พร้อมเมื่อไหร่ ค่อยจัดหนักจัดเต็มไปเลย!

Wednesday, September 17, 2014

PTT และผองเพื่อน

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 17 กันยายน 2557

ในที่สุดเราก็ได้เห็นธนาคารชาติจีน (PBOC) จัดหนักจัดเต็ม ด้วยการอัดฉีดเงิน 5 แสนล้านหยวน (ราว 2.6 ล้านล้านบาท) เข้าสู่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของเค้า 5 แห่ง (ตกธนาคารละ 1 แสนล้านหยวน) ผ่านโปรแกรมที่เรียกว่า Standing Lending Facility เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากตัวเลข Factory output และ Retail sales ของเค้าเมื่อเดือนก่อนประกาศออกมาโหลยโท่ย นักวิเคราะห์ต่างพากันคำนวณครับว่าการอัดฉีดครั้งนี้เทียบเท่ากับการลดอัตรากันสำรองของธนาคาร (RRR) ลงถึง 50 basis point เลยทีเดียวเชียว แต่ตลาดหุ้นจีนก็ไม่ได้ตอบสนองต่อข่าวนี้มากนัก เนื่องจากได้มีการคาดการณ์มาก่อนบ้างแล้ว อย่างไรก็ดี ผมมองว่าการลงไม้ลงมือของธนาคารแห่งชาติจีนครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าเค้าพร้อมจัดหนักจัดเต็มนะหากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งมันช่างคล้ายกับการจัดหนักจัดเต็มของธนาคารแห่งชาติอเมริกา (Fed) ยุโรป (ECB) ญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึงอังกฤษ (BOE) ในช่วงที่ผ่านมาซะเหลือเกิน
  
ส่วนบ้านเรา ก็ไม่รู้ซินะ พอเห็นเรื่องการปฏิรูปราคาพลังงานในไทยแล้วก็พลันไปนึกถึงเหตุการณ์ปฏิรูปพลังงานที่เกิดขึ้นในประเทศจีนและอินเดียในช่วงปี 2008-14 ซะอย่างนั้น Morgan Stanley เค้าได้ประเมินไว้ครับว่า หากยึดหุ้นพลังงานอย่าง PetroChina, Sinopec, BPCL, และ ONGC เป็นหลักในการคำนวณ หุ้นกลุ่มพลังงานของจีนและอินเดียในช่วงนั้นได้ถูก Re-rate P/E ขึ้น จาก 8-9 เท่า เป็น 11-12 เท่าเลยเชียวละ โอ้วว แล้วบ้านเราละ.. เอากะเค้าบ้างไหม?



พอเป็นซะแบบนี้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานในบ้านเรามีขนาดใหญ่ถึง 1/5 ของมูลค่าตลาดหุ้นไทย ผมก็เลยคิดว่าโอกาสที่ตลาดจะลงแรงๆ แบบเทกระจาดในช่วงนี้น่าจะ ‘ยากส์’ เพราะข่าวเรื่องการปฏิรูปราคาพลังงานนี้คงทำให้หุ้นอย่าง PTT และผองเพื่อนช่วยกันพยุงตลาดเอาไว้อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง อย่างดีตลาดหุ้นไทยก็อาจลงมาพักฐานแถวเป้า Base-case ปีนี้ของหลักทรัพย์บัวหลวงที่ 1530 เว้นซะเสียว่ารัฐบาลจะมีเซอร์ไพรส์ออกนโยบายใหม่ในทางตรงกันข้ามกับที่ตลาดคาดการณ์หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ แย่งเซอร์ไพรส์ก่อนด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้นั่นละครับ 



Wednesday, September 10, 2014

ยุ่นปี่

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 กันยายน 2557

ผมเคยเขียนถึงการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในบทความเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เชียร์ให้ซื้อ แต่ก็แอบดีใจว่าตลาดหุ้นจีนก็ได้ขึ้นมาราว 6%จากวันนั้นถึงวันนี้.. คราวนี้เลยจะพาคุณผู้อ่านไปเที่ยวประเทศอื่นในแถบเอเชียเหนืออีกดูบ้าง ประเทศนั้นคือประเทศยุ่นปี่ ญี่ปุ่นครัช
  
Morgan Stanley ยักษ์ใหญ่การเงินชื่อดังของโลกได้ออกบทวิเคราะห์สะท้านทรวงเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาครับว่า ตอนนี้เค้าชอบหุ้นญี่ปุ่นที่ซู้ดด เหตุผลก็เพราะว่าการส่งออกของญี่ปุ่นจะค่อยๆ ดีขึ้นจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดี แม้ว่าการบริโภคในประเทศจะยังอ่อนแอ แต่นั่นจะทำให้ธนาคารกลางของเค้า (BOJ) ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก (ลุ้นผลประชุมปลายเดือนตุลาฯ) เอ้า งี้เยนก็ยิ่งอ่อน ส่งออกก็ยิ่งดีนะซิ!



ยิ่งไปกว่านั้น หันไปดูในแง่ผลประกอบการบ้าง Morgan Stanley บอกว่าบริษัทในญี่ปุ่นอ่ะประกาศผลกำไรมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ถึง 7 ไตรมาสติดกันแล้วนะ แม้กระนั้น PE ก็ยังถูกอยู่เลย.. ทีมวิเคราะห์เค้าเลยคาดการณ์กันว่า ROE ของบริษัทจะโตอีก 50 bps ในปีปฏิทิน 2015 เลยเชียวละ (อ๊ะๆ เหลือบไปดู upside จาก Target price เฮียเค้าให้ไว้ถึง 15% เลย)



หันกลับมาบ้านเรา ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ควรจะมีการปรับตัวบ้างเล็กน้อยเช่นเดียวกันกับตลาดอนุพันธ์ละครับ หลังจากเกิดสัญญาณ Bearish Divergence บนตัวเจ้า SET50 Futures ในภาพรายวันเมื่อสิ้นวันที่ 9 ก.ย. ที่ระดับ RSI เข้าใกล้เขตซื้อมาก (ใกล้ 70) อย่างไรก็ดีผมคิดว่าการปรับตัวรอบนี้จะไม่ได้รุนแรงอะไร (ไม่น่าหลุดกรอบขาขึ้น) แนะนำให้ลองดู RSI ประกอบ ถ้าถอยลงมามากเท่าใดดีกรีการปรับตัวน่าจะค่อยๆเบาลงมากเท่านั้นครับ


แล้วพบกันใหม่บทความหน้าครับ : )