Wednesday, April 8, 2015

ความผันผวนมีสาเหตุ

สวัสดีครับ,

ผมนั่งตรึกตรองอยู่นานว่าจะหาประเด็นอะไรมากล่าวถึงนอกเหนือไปจากเรื่องสภาวะตลาดที่ต้องอัพเดทให้อ่านกันเป็นประจำ ว่าแล้วก็นึกว่าถึงเรื่องของความผันผวนของตลาดในช่วงที่ผ่านมาที่ทำให้หุ้นบางตัวต้องลงหนัก พอดีกับที่ผมได้เหลือบไปเห็นข้อมูลที่ส่งต่อๆ กันทางไลน์ ที่บอกว่าสาเหตุนั้นเกิดจากแรงขายหุ้นของผู้ออก DW หลายเจ้าผสมโรงกับแรงขายปกติที่เกิดตามกลไกตลาด ผมเลยอยากจะอธิบายหลักการคร่าวๆ ว่ามันเป็นจริงอย่างที่กล่าวหรือไม่ตามความเข้าใจของผมนะครับ



ก่อนอื่นเลยต้องขอให้รู้จักอักษรกรีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Delta (Δ, δ) ค่านี้เป็นค่าหนึ่งที่ market maker หรือผู้ที่ออก Derivative Warrants (DW) ให้ความสำคัญพอสมควร เพราะมันบ่งบอกถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา DW เมื่อราคาหุ้นอ้างอิงเปลี่ยนไป เช่น ถ้า DW ประเภท call ของหุ้น BBL มีค่า Delta เท่ากับ 0.5 นั่นหมายถึงถ้า BBL ปรับตัวขึ้นไป 1 บาท ราคา DW ก็ควรจะปรับขึ้นไป 0.5 บาท (และในทางกลับกันถ้าปรับตัวลดลง) โดยอีกคอนเซ็ปต์หนึ่งที่ต้องทราบก็คือเมื่อผู้ออกออก DW ประเภท call เค้าจะต้องซื้อหุ้นอ้างอิงนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง ในขณะที่ถ้าเค้าออก DW ประเภท put เค้าก็จะต้องขายหุ้นอ้างอิงนั้นล่วงหน้าเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงเช่นกัน

ทีนี้คำถามคือแล้วผู้ออก DW จะต้องซื้อหุ้นหรือขายหุ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นจำนวนเท่าใด? เท่ากับจำนวน DW ที่ออกเลยไหม? คำตอบคือไม่ครับ ตรงนี้แหละที่ค่า Delta จะถูกนำมาใช้ในการคำนวณ เช่น ถ้าผู้ออกต้องการออก DW ประเภท call ของ BBL จำนวน 10,000 หน่วย ซึ่งมีค่า Delta เท่ากับ 0.5 และมีอัตราการใช้สิทธิต่อหน่วยเท่ากับ 1 ผู้ออกจะต้องซื้อหุ้น BBL เพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นจำนวน 0.5*10,000 ซึ่งเท่ากับ 5,000 หุ้น (ไม่ใช่ 10,000 หุ้นนะครับ)

ไฮไลท์มันอยู่ตรงที่ว่าเจ้าค่า Delta นี้ดันไม่ได้คงที่อะครับ มันแปรเปลี่ยนไปตามราคาหุ้นที่ขึ้นลง เช่นในกรณีของ DW ประเภท call ของ BBL ที่ยกตัวอย่าง ถ้าหุ้น BBL ขึ้น ค่า Delta ก็จะปรับขึ้นตาม หรือถ้าหุ้น BBL ลง ค่า Delta ก็จะปรับลงตาม นั่นแปลว่า market maker หรือผู้ออก DW ต้องคอยทยอยซื้อหุ้นเพิ่มหรือขายหุ้นออกตามราคาที่ขึ้นหรือลงเพื่อป้องกันความเสี่ยงอยู่ตลอด จึงสรุปได้ว่าหากหุ้นตัวใดมีผู้ออก DW ใช้ในการอ้างอิงซะเยอะหุ้นตัวนั้นอาจจะมีความผันผวนมากกว่าปกติครับ ซึ่งตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่างั้นแปลว่า market maker ต้องคอย monitor ราคาหุ้นตลอดเวลาเลยหรอ? คำตอบคือใช่ครับ แต่เค้ามีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยนะ เพราะงั้นสบายมากหายห่วง แต่ต้องบอกเพิ่มเติมว่าการป้องกันความเสี่ยงโดยค่า Delta นี้ก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่าหากราคาหุ้นผันผวนมากๆ market maker ก็อาจบาดเจ็บได้ครับ (เพราะซื้อแพงขายถูก) ดังนั้นก็อาจต้องมีวิธีป้องกันความเสี่ยงด้วยค่าอื่นๆ มาช่วย เช่นค่า Gamma (Γ, γ), Vega 

เอาละ คงพอกระจ่างขึ้นบ้างนะครับ ส่วนภาพตลาดตอนนี้ผมอยากให้จับตาดูราคาน้ำมันเป็นพิเศษ ถ้าน้ำมันสามารถกลับมาเป็นขาขึ้นได้ (หลังจากที่ลดลงมาครึ่งหนึ่งจากปีที่แล้ว) ตลาดหุ้นบ้านเราก็น่าจะแข็งแกร่งได้เลยเหมือนมีคนคอยเสริมพลัง (หุ้นพลังงานมีสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของ market cap ตลาดหุ้นไทย) แต่ถ้ายังยืนแข็งๆ ไม่ได้ ตลาดเราก็คงซึมๆ ขึ้นลงเบาๆ ในกรอบแบบนี้ไปอีกซักพักกระมังครับ



Wednesday, March 25, 2015

โมเดลหลักทรัพย์

สวัสดีครับ,

ก่อนที่ผมจะสรุปภาพรวมตลาดหุ้นและตราสารอนุพันธ์ บทความวันนี้อยากจะขอย้อนมากล่าวถึงเรื่องของประเภทนักลงทุนซักหน่อย เป็นที่ทราบกันดีครับว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน นั่นคือ 1.สถาบันในประเทศ 2.บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 3.นักลงทุนต่างประเทศ และ 4.นักลงทุนทั่วไปในประเทศ แม้ว่าในตลาดอนุพันธ์บ้านเราจะยังไม่ได้จัดนักลงทุนประเภท “บัญชีบริษัทหลักทรัพย์” ออกมาต่างหากเหมือนกับในตลาดหุ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วง 3-4 ปีให้หลังมานี้ นักลงทุนประเภทนี้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทย แต่ก็ได้ความผันผวนที่มากขึ้นเป็นของแถมตามมา ซึ่งความผันผวนนั้นถูกส่งต่อไปถึงตลาดอนุพันธ์ในที่สุด โชคดีเหลือเกินครับที่หนังสือที่ผมเพิ่งได้รับมาที่ชื่อว่า “การเงินปฏิวัติ” เขียนโดย คุณสฤณี อาชวานันทกุล มีพูดถึงการใช้โมเดลในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่นักลงทุนประเภท “บัญชีบริษัทหลักทรัพย์” ในไทยบางแห่งอาจกำลังใช้อยู่พอดี เลยอยากจะนำข้อมูลบางส่วนมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ

หนังสือเล่มนี้อ้างอิงถึงบทความ “The Terminator Comes to Wall Street” ในปี 2009 ที่เขียนโดย Joseph Fuller ผู้ร่วมก่อตั้ง Monitor หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก โดย Fuller กล่าวว่าโมเดลซื้อขายที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี 1997 จนถึงทุกวันนี้นั้นมี “ปัญหาในตัวเอง” 3 ข้อหลักไม่ว่าผู้คิดค้นจะเก่งกาจปานใดก็ตาม ปัญหาแรกก็คือ คนที่สร้างโมเดลนั้นมักจะไม่เข้าใจตลาดการเงินดีพอ เพราะเค้าคือผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็ฟิสิกส์ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ้น ตราสารหนี้ หรือจิตวิทยา อีกทั้งโมเดลนั้นจำลองอดีต ดังนั้นแม้จะมีการ Back-testing กี่ครั้ง แต่นักสร้างก็ไม่สามารถใส่สถานการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้ ปัญหาที่สองคือ ผู้บริการกองทุนควอนท์ (Quantitative fund) บ่อยครั้งไม่เข้าใจคนเขียนโมเดลดีพอ เพราะบางทีโมเดลก็ซับซ้อนมากจนแม้แต่คนเขียนเองก็วิเคราะห์ผลกระทบต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้ไม่ครบ และปัญหาสุดท้ายก็คือ โมเดลเหล่านี้ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เนื่องจากโมเดลแต่ละอันถูกออกแบบมาให้ทำตามกลยุทธ์ของตัวเองเพื่อกำไรสูงสุด ดังนั้นหากเกิดภาวะคับขันโมเดลต่างๆ ก็จะสั่งขายหลักทรัพย์แทบจะพร้อมกันและกอดเงินสดเอาไว้เพื่อหยุดผลขาดทุนของกองทุนโดยไม่คำนึงถึงบทบาทของโมเดลอื่นที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยกัน สุดท้ายแล้วก็จะทำให้ตลาดดิ่งเหว สภาพคล่องเหือดแห้ง ดังที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤตการเงินปี 2008



อย่างไรก็ดี Fuller นั้นไม่ได้พูดแต่ปัญหา แต่เค้าได้เสนอทางแก้ไว้ด้วยครับ แนวคิดหลักของเค้าก็คือ ต้องหาทางลดความผันผวนที่เกิดขึ้นจากโมเดลเหล่านี้ให้ได้ โดยเริ่มจากคณะกรรมการและผู้บริหารสถาบันการเงินควรเข้าใจตรรกะในการสร้างโมเดลให้ดี ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารความเสี่ยงเป็นหลัก รวมถึงเสนอให้เชิญนักค้าหลักทรัพย์หรือผู้จัดการกองทุนที่คร่ำหวอดในวงการมาจับเข่าคุยกับพ่อมดโมเดลอย่างสม่ำเสมอ จะได้เข้าใจตรงกันว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และควรหาวิธีปรับปรุงให้โมเดลเผื่อพื้นที่สำหรับพฤติกรรมที่ทำด้วยอารมณ์ของมนุษย์ด้วย

ในฐานะที่ผมเองพอจะมีประสบการณ์พูดคุยกับนักลงทุนประเภทบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้โมเดลซื้อขายรวมถึงผู้จัดการ Hedge Fund ต่างประเทศอยู่บ้าง ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับแนวคิดของ Fuller ครับ จริงอยู่ที่ตลาดทุนบ้านเรายังไม่ได้พัฒนาถึงขนาดที่มีนักลงทุนสถาบันที่เป็น Quantitative fund ที่ซื้อขายหลักทรัพย์ตามโมเดลคอมพิวเตอร์ที่เขียนโปรแกรมไว้ล่วงหน้าอย่างแพร่หลายเหมือนในประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในเชิงของนักลงทุนประเภทบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ หรือนักลงทุนรายย่อยนั้น ก็เริ่มมีการใช้โปรแกรมในการซื้อขายบ้างแล้ว โดยประโยชน์ของมันนอกจากจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับตลาด ยังช่วยลดต้นทุนการซื้อขายของนักลงทุนลงอย่างมาก ซึ่งก็ถือว่าเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงตลาดการเงินได้มากกว่าในอดีต แต่นั่นก็ต้องมาพร้อมกับความรู้ความเข้าใจในการลงทุนเป็นอย่างดีด้วยนะครับ  

จะเห็นว่าการใช้โมเดลในการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นแม้จะมีความเสี่ยงอยู่พอสมควร แต่หากนักลงทุนรู้จักใช้ให้ถูกวิธีและปิดความเสี่ยงในด้านต่างๆ ก็จะพบว่ามันมีประโยชน์ไม่น้อยเลยละครับ... อ๊ะๆ หน้ากระดาษกำลังจะหมดเสียแล้วผมยังไม่ได้พูดถึงภาพตลาดเลย เอาเป็นว่าผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าจะไปไหนไกลในช่วงนี้ครับ จากตัวเลขต่างๆ ที่มีแต่จะถูกปรับลดลง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจ การส่งออก หรือแม้แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียน แต่ถามว่าแล้วตลาดจะลงไปลึกเลยมั้ย ก็ขอตอบว่ายังไม่น่าลึกมากครับ เหตุผลลองย้อนกลับไปอ่านบทความ “เจ้ามือตัวจริง” ที่ผมเขียนไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนดู โชคดีครับ  

Wednesday, March 11, 2015

เจ้ามือตัวจริง

สวัสดีครับ,

สุดท้ายแล้วแม้ว่าเจ้า SET Index จะยื้ออยู่แถว 1600 อยู่หลายต่อหลายครั้ง จนเหล่ากูรูหลายท่านทนไม่ไหวคิดว่าตลาดคงไม่ลงแล้ว แต่ด้วยผลประกอบการของบริษัทที่ห่อเหี่ยว (วิ่งไม่ทันราคาหุ้นที่วิ่งไปไกล) และในเชิงเทคนิคเองการที่ดัชนีย่ำอยู่ที่เดิมหลายต่อหลายครั้ง แม้จะไม่ลงในทันที แต่นั่นก็เป็นการสร้างแนวต้านสำคัญขึ้นมาแถว 1600-1620 บ่งบอกว่าดัชนีพร้อมจะลง อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น ซึ่งและแล้วมันก็ลงมาจริงๆ ครับ ณ เวลาที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ SET Index อยู่ที่ 1525 จุด



หากจำกันได้ในบทความก่อน (ณ ขณะนั้น SET Index อยู่ที่ 1603 จุด) ผมได้เตือนไปว่าเจ้าเครื่องมือ Volume Flow ของตลาดหุ้นไทยได้ส่งสัญญาณ outflows เป็นครั้งแรกในรอบปีแล้วนะให้ระวังหน่อย ซึ่ง ณ ขณะนี้สัญญาณนั้นก็ยังเป็น outflows อยู่ครับ บ่งบอกว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะยังไม่ได้ฟื้นตัวเร็วนัก โดยในแง่ของ downside ตลาดมีแนวรับแรกอยู่ที่ 1513 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดหุ้นไทยยืนได้หลายครั้งในอดีต และบังเอิญไปตรงกับเลขฟีโบนัชชีที่ 61.8% พอดี แต่ถ้ายังหลุดอีก ก็คงเจอกันแนวรับถัดไปที่ 1480 ครับ

ในแง่ของ valuation การที่ตลาดลงแรงเมื่อวานทำให้ Trailing P/E ของ SET Index ตอนปิดตลาด ลงมาอยู่ที่ 21.20 เท่า จากจุดสูงสุดที่ 22.05 เท่าเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ในขณะที่ Trailing P/E ของ MAI Index ลงมาอยู่ที่ 79.81 เท่า จากจุดสูงสุดที่ 91.39 เท่าเมื่อปลายเดือนก่อน ซึ่งก็นับว่ายังสูงมากอยู่ดีครับ


ที่ต้องจับตาไว้หน่อยก็คือแรงขายจากนักลงทุนสถาบันในประเทศนิละ เพราะหากไปดูตัวเลขในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สถาบันในประเทศนิละครับที่สะสมหุ้นไทยไปถึง 1.8 แสนล้านบาท (ปี 2013 1.1 แสนล้าน และปี 2014 อีก 7 หมื่นล้าน) โดยล่าสุดหากนับจากต้นปี สถาบันในประเทศก็ยังเป็นยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยอยู่ 2.4 พันล้านบาท นั่นแปลว่าเขามีของตรึม และพร้อมที่จะขายออกมาหากเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้อย่างหนึ่งครับว่า ข้อดีของการที่สถาบันในประเทศเป็นผู้ถือหุ้นไทยแทนที่จะเป็นนักลงทุนต่างชาติ (ฝรั่งขายหุ้นไทยไปราว 2.3 แสนล้านบาทนับตั้งแต่ต้นปี 2013) ก็คือ เค้าน่าจะไม่เทกระจาดหุ้นไทยเหมือนกับฝรั่งหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะนักลงทุนสถาบันในประเทศส่วนใหญ่มีทางเลือกให้ลงทุนแค่ในประเทศ ไม่เหมือนฝรั่งที่สามารถลงทุนได้ทั้งภูมิภาค อีกอย่างสถาบันในประเทศเองก็มีความคุ้นเคยกับตลาดหุ้นไทยมากกว่า ซึ่งถ้าไปดูจริงๆ แนวการลงทุนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบเน้นคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น เช่นกองทุนประกันสังคม กบข. หรือบริษัทประกันต่างๆ
  
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ยังแนะนำให้นักลงทุนลงทุนโดยยึดหลักพื้นฐานตามผลประกอบการของบริษัทเป็นหลักนะครับ เพราะในระยะยาวแล้ว เจ้ามือตัวจริงของตลาดไม่ใช่นักลงทุนสถาบันในประเทศ ไม่ใช่ฝรั่ง ไม่ใช่เสี่ย ไม่ใช่ป๋าๆ (ขา) แต่มันคือผลประกอบการของบริษัท (กำไร) นั่นละครับ!

Wednesday, February 18, 2015

เฮง เฮง เฮง

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ (新正如意 新年发财),

ในบทความเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนผมได้เตือนไว้ครับว่าหุ้นพลังงานบ้านเราได้ขึ้นมามากกว่าราคาน้ำมันที่เด้งแล้วนะ ให้ระวังการถอยไว้หน่อย ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกจริงๆ ครับว่า ในขณะที่ราคาน้ำมันยังคงค่อยๆ เด้งต่อ แต่หุ้นพลังงานตัวใหญ่บ้านเราอย่าง PTT และ PTTEP กลับค่อยๆ ซึมลง ซึ่งถ้าเปรียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่น้ำมันลงแรงแต่หุ้นพลังงานบ้านเรากลับขึ้น ก็เป็นที่น่าสนใจครับว่าหุ้นพลังงานเราก็ไม่ได้วิ่งตามราคาน้ำมันซะทีเดียวละ พอถึงจุดๆ หนึ่งที่มันสมดุล หุ้นมันก็เคลื่อนไหวไปในทิศทางของมันเองแล้ว (decouple)



อย่างไรก็ดีแม้ว่าหุ้น PTT และ PTTEP จะปรับลงมา 6%และ 8% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. แต่ตลาดหุ้นไทยกลับไม่ได้ปรับตัวลงจากวันนั้นเท่าใดนักครับ สาเหตุหนึ่งก็เพราะได้แรงหนุนจากหุ้นปิโตรเคมีอย่าง IVL, IRPC หุ้นวัสดุก่อสร้าง (ที่มีส่วนผสมของปิโตรเคมี) อย่าง SCC และหุ้นโรงพยาบาล BGH ที่ช่วยกันขึ้นพยุงตลาดเอาไว้ หลังจากมีโบรกฝรั่งบางเจ้าเชียร์ซื้อจากการคาดการณ์ว่าผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีจะดูดีขึ้นเป็นลำดับ
  
แต่ เพื่อความไม่ประมาท ผมได้นำสัญญาณเตือนที่ต้องจับตาจากทีมนักวิเคราะห์เชิงปริมาณของบัวหลวงเรามาฝาก ซึ่งพี่ๆ เค้าก็ได้แย้ปไว้ครับว่าเจ้าเครื่องมือ Volume Flow ของตลาดหุ้นไทยได้ส่งสัญญาณ outflows เป็นครั้งแรกในรอบปีแล้วนะ ในขณะที่ 4 ตลาดที่เหลืออย่าง อินโดฯ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และเกาหลี ยังส่งสัญญาณ inflows อยู่เลย นอกจากนี้หากไปดูพลังยอดสะสม 12 เดือนล่าสุดของ fund flows (USD) ที่เข้าตลาดหุ้นไทย (รูปซ้ายบน) ก็จะเห็นครับว่าเรามาไกลจริงๆ คือมันเกินค่าเฉลี่ยระยะยาวไป 1SD ล้าว ตรงนี้เลยเป็นที่กังวลกันว่ามันใกล้จะถึงจุดกลับตัวแล้วรึเปล่า?



อย่างไรก็ดีสัญญาณเหล่านี้มีไว้เพื่อเตือนให้เราลงทุนด้วยความไม่ประมาทเท่านั้นครับ เพราะโอกาสที่สัญญาณจะผิดก็ใช่ว่าจะไม่มี ดังนั้นหากเราศึกษาข้อมูลมาดีแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกลัว เพียงแค่เพิ่มความระมัดระวังไปหน่อย แล้วก็อย่าลืมหลักสำคัญในการลงทุนที่ว่า “อย่าใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว” หรือ “รู้จักกระจายความเสี่ยง” นะครับ.. สุดท้ายนี้ผมก็ขอให้แฟนคลับคอลัมน์นักค้าหน้าหยกทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุน สุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยๆ เฮง เฮง เฮง ต้อนรับตรุษจีนปีนี้นะ โย่!

Wednesday, February 4, 2015

ไทยสะบาเดเฮ้

สวัสดีครับ,

กราฟด้านล่างนี้ผมเคยนำมาให้ดูแล้วในบทความเมื่อต้นเดือนก่อน ตอนนั้นราคาน้ำมันลงเอาๆ ทำจุดต่ำสุดใหม่ไม่เว้นแต่ละวัน ในขณะที่หุ้นพลังงานตัวใหญ่ของบ้านเราอย่าง PTT และ PTTEP กลับไม่ได้ทำจุดต่ำสุดใหม่ตาม ผมเลยตั้งข้อสังเกตไว้ว่าหุ้นพลังงานบ้านเราอาจจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วรึป่าวนะ ทำไมดูแข็งจัง และหากเมื่อใดก็ตามที่ราคาน้ำมันเด้งแรง เจ้าหุ้นพลังงานอาจจะมีเฮและทำให้ตลาดหุ้นไทยสะบาเดเฮ้ด้วยก็เป็นได้



จากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาประมาณ 1 เดือนครับ ผมเลยนำกราฟมาอัพเดทให้ดู (ราคาปิดภาคเช้า 4 ก.พ.) ซึ่งก็เป็นที่น่าสนใจว่าราคาน้ำมันได้เด้งขึ้นแบบพรวดพราดถึง 18% ในระยะเวลาอันสั้นนับจากจุดต่ำสุด สาเหตุเกิดจากการ short covering รวมถึงเจ้า Dollar Index ที่ได้อ่อนตัวลงมาจากการที่ค่าเงินยูโรแข็งขึ้น เพราะนักลงทุนคลายความกังวลจากข่าวที่ว่ากรีซจะไม่ขอ Haircut กับเจ้าหนี้ทั้งหลาย แต่จะใช้วิธีแลกเปลี่ยนหนี้กับ growth-linked bonds ที่อิงกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศแทน ซึ่งก็ต้องมาดูต่อว่ากลุ่ม Troika (ที่ประกอบไปด้วย European Commission, IMF และ ECB) จะว่าอย่างไร แต่ที่แน่ๆ หุ้นทั่วโลกบวกรับข่าวดีนี้กันถ้วนหน้าครับ

อย่างไรก็ดี หุ้น PTT และ PTTEP ได้ขึ้นมาแล้วกว่า 29% และ 24% นับจากจุดต่ำสุดในเดือนธันวาคม มากกว่าราคาน้ำมันที่เด้งซะอีก ก็ต้องระวังกันหน่อยนะครับ อย่าเทรดกันเพลิน เพราะภาพใหญ่แล้วเหล่ากูรูหรือเจ้ามือโลกเค้าก็ยังเชื่อว่าการเด้งแรงของน้ำมันในรอบนี้เป็นเพียง dead cat bounce หรือเด้งเพียงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งกราฟด้านล่างนี้ก็เป็นอีกรูปที่น่าสนใจ โดย Goldman Sachs เค้านำราคาน้ำมันในปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับช่วงปี1980 ครับ ลองไปตีความกันต่อดู!



Wednesday, January 21, 2015

ขอเวลาอีกไม่นาน

สวัสดีครับ,

เริ่มต้นปีได้ไม่ทันใดก็มีข่าว shock โลกเมื่อธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB: Swiss National Bank) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ตัดสินใจยกเลิกเพดานการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนฟรังก์สวิสที่ใช้มากว่า 3 ปี ที่กำหนดไว้ที่ 1.20 ฟรังก์สวิส ต่อ 1 ยูโร พร้อมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกจาก -0.25% เป็น -0.75% (แปลว่าฝากเงินต้องเสียค่าธรรมเนียม) ซึ่งหลังจากประกาศค่าเงินฟรังก์สวิสก็แข็งค่าทันทีถึง 41% เทียบกับค่าเงินยูโร และแข็งค่ามากกว่า 15% เทียบกับอีก 150 สกุลเงินทั่วโลก (ข้อมูลโดย Bloomberg) ถึงขนาดที่ Roger Federer นักเทนนิสที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์โลกชาวสวิสฯ และเป็นมือ 2 ของโลกในปัจจุบัน ต้องออกมากล่าวว่า “แบบนี้ผมก็ยิ่งต้องชนะมากขึ้นนะสิ (ถ้ายังอยากได้เงินรางวัลเท่าเดิม)” เพราะเวลา Federer เดินสายแข่งทั่วโลกเค้าได้เงินรางวัลเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นๆ หรือดอลลาร์สหรัฐฯ เวลาแลกกลับเป็นฟรังก์สวิสซึ่งเป็นสกุลเงินบ้านเกิดจะต้องใช้เงินมากขึ้น



ผมเชื่อว่านัยที่ SNB ต้องการจะสื่อถึงก็คือ เค้าไม่ต้องการเอาค่าเงินของเค้าไปเสี่ยงกับค่าเงินยูโรอีกต่อไป ด้วยเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรที่มีความไม่แน่นอนสูง ในขณะที่เศรษฐกิจของสวิสเซอร์แลนด์นั้นแข็งแกร่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กอปรกับถ้าเกิดธนาคารกลางยุโรป (ECB: European Central Bank) ออก QE ชุดใหญ่ในการประชุมวันที่ 22 ม.ค.นี้ขึ้นมา SNB จะยิ่งต้องใช้เงินทุนสำรองจำนวนมากในการสู้เพื่อรักษาระดับค่าเงินไว้ที่ 1.20 ฟรังก์สวิส ต่อ 1 ยูโร (เพราะนักเก็งกำไรค่าเงินจะต้องยิ่งขายยูโรซื้อฟรังก์สวิสอย่างหนัก) ฉะนั้นรีบยกเลิกก่อนดีกว่า (ขืนถ้าสู้ SNB จะต้องซื้อยูโรแล้วขายฟรังก์สวิสสวน แล้วเกิด ECB ออก QE จริง ค่าเงินยูโรก็จะยิ่งอ่อน ทำให้ SNB ยิ่งขาดทุนหนักจากเงินยูโรที่มีในพอร์ต)
  
ความจริงแม้ว่าผลกระทบของ QE จากยุโรป (ถ้าออก) จะมีผลมากต่อค่าเงินยูโร แต่อาจจะมีผลจำกัดต่อตลาดหุ้นก็เป็นได้ครับ ECB อาจใช้วิธีให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศในกลุ่มยูโร (NCBs: National Central Banks) ช่วยซื้อตราสารหนี้ของประเทศตัวเอง แทนที่ ECB จะเป็นผู้ซื้อเองทั้งหมด (ด้วยความต่างของขนาดเศรษฐกิจ กฎเกณฑ์ และนโยบายต่างๆ) ซึ่งการซื้อตรงนี้สุดท้ายแล้วก็เพื่อเป็นการส่งผ่านให้ธนาคารปล่อยกู้ได้มากขึ้น ให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ประชาชนมีความคาดหวังว่าสินค้าจะมีราคาสูงขึ้น จึงเกิดการใช้จ่ายมากขึ้น และต่อเนื่องไปถึงสินทรัพย์ทางการเงินที่อาจมีราคาสูงขึ้น แต่ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่ผมต้องเรียนให้ทราบก็คือ สินทรัพย์ทางการเงินของคนในกลุ่มยูโรคิดเป็น 49% ของความมั่งคั่งสุทธิเท่านั้น ในขณะที่ของอเมริกาและอังกฤษจะมากถึง 82% และ 62% ตามลำดับ (ข้อมูลจาก Forbes) จึงอาจสรุปได้ว่าจากลักษณะการทำ QE ดังกล่าวกอปรกับลักษณะเชิงโครงสร้างของประชากรในกลุ่มยูโร ความมีประสิทธิภาพของ QE ฝั่งยุโรปน่าจะน้อยกว่า QE ฝั่งอเมริกาหรืออังกฤษอย่างเห็นได้ชัดครับ
  
กลับมาพูดถึงตลาดหุ้นไทยซักนิด เมื่อสัปดาห์ก่อนทีมนักวิเคราะห์ของบัวหลวงเราเพิ่งจะหั่นเป้าดัชนี SET ปีนี้ลงไปเหลือ 1670 จากการปรับประมาณการ GDP และกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆ มองว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะโตเท่าไหร่ด้วยครับ เช่น หากคิดว่าจะโตเพียง 10% ด้วยระดับ forward PE ปี 15 ที่ 16 เท่า เป้าดัชนี SET ก็จะเหลือเพียง 1589 เท่านั้น ในขณะที่ Flow จากนักลงทุนต่างชาติก็เป็นขายหุ้นไทยสุทธิแทบทุกวัน หลงจ้งนับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 20 ม.ค. ก็ร่วม 2 หมื่นล้านบาทเข้าไปแล้ว แต่แปลกตรงที่เค้ายัง net long SET50 Futures อยู่ 7,955 สัญญา ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ผมเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะยังซื้อขายอยู่ในกรอบแถวนี้ไปซักพัก แต่ความผันผวนน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากนั้นไม่นานก็น่าจะถึงเวลาที่จะต้องเลือกข้างซักที



Wednesday, January 7, 2015

2014 สะท้านถึง 2015

สวัสดีปีใหม่ครับ,

เราเริ่มปีนี้กันด้วยข่าวเดิมๆ ก็คือเรื่องราคาน้ำมันที่ลงทะลุอเวจีไม่มีหยุดยั้ง แต่เป็นที่น่าสนใจครับว่า ในขณะที่ราคาน้ำมันทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่หุ้นพลังงานตัวหลักในบ้านเราอย่าง PTT และ PTTEP กลับไม่ได้ทำจุดต่ำสุดตาม (ราคา ณ เช้าวันที่ 7 ม.ค.) ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มคุ้นชินกับราคาน้ำมันที่มันลงแบบ non-stop ซะแล้ว บางทีถ้าน้ำมันลงไปมากกว่านี้นักลงทุนอาจจะเฉยๆ ชิลๆ ร้องแล้วไงละ แต่ถ้ามันเด้งเมื่อไหร่ตลาดหุ้นไทยอาจมีเฮก็เป็นได้ครับ



ถัดมา ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ เพราะผมได้เขียนสรุปภาพรวมสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องค่าเงินสกุลหลักๆ นำมาฝากทุกท่านครับ
  
เริ่มที่ค่าเงินดอลลาร์ จากรูปจะเห็นว่า Dollar index (ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ถ่วงด้วยตะกร้าเงิน 6 สกุลหลัก ได้แก่ ยูโร เยน ปอนด์ ดอลล์แคนาดา โครนาสวีเดน และฟรังก์สวิส) แข็งเป๊กครับ สะท้อนถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาที่ดีขึ้นเป็นลำดับ (แทบจะ decouple จากประเทศอื่นๆ เลยก็ว่าได้) แต่คงต้องมาดูกันอีกทีว่าที่ดี มันดีเพราะยาแรงในช่วงที่ผ่านมารึเปล่า แล้วพอหมดยาแรง มันจะเหี่ยวหรือไม่? แต่นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันอ่อนทะลุทรวงในช่วงที่ผ่านมาครับ



ต่อที่ค่าเงินยูโรที่อ่อนยวบ เป็นผลจากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในยูโรโซนจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงต่อเนื่อง แถมประเด็นเรื่องกรีซจะออกไม่ออกจากยูโรโซนยังโดนเอากลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง (ซึ่งหุ้นกรีซก็โดนจัดหนักจริงในช่วงที่ผ่านมา) และ ECB ที่อาจต้องประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินอย่าง QE (ทั้งที่จริงๆ ไม่ค่อยอยากใช้) ในการประชุมช่วงปลายเดือนนี้

ส่วนค่าเงินเยนก็อ่อนเทียบดอลลาร์แบบนี้มาซักพักละครับ เป็นผลจาก Abenomics ลูกศรดอกที่ 2 ที่เพิ่มปริมาณเงินมหาศาลในระบบควบคู่ไปกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำต้องการให้เงินเฟ้อทะลุ 2% ให้จงได้  (ศรดอกแรกคือเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ศรดอกที่สามคือ ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ)
  
ส่วนค่าเงินบาทเรา (ไม่มีรูปให้ดู) ที่ดูเหมือนจะทรงๆ อ่อนนิดๆ มาตลอด แต่จริงๆ เราแข็งมากนะครับ เพราะถ้าเทียบกับดอลลาร์ตลอดทั้งปี 2014 ค่าเงินบาทเราอ่อนเพียง 0.5% เท่านั้น (เจ๋งสุดในอาเซียนแล้ว) แปลว่าช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมาที่เงินดอลลาร์แข็งโป๊กนั้น ค่าเงินบาทเราก็แข็งไปกับเค้าด้วยนั่นละ ตัวเลขส่งออกไทยก็เลยเป๋อย่างที่เห็น
  
ในขณะที่ทอง (บางช่วงก็ถูกมองว่าเป็น Safe haven บางช่วงก็เป็น Risky asset) แท้จริงก็เปรียบได้เหมือนเงินสกุลหนึ่งของโลกนั่นละครับ จากรูปจะเห็นว่ามันอ่อนยั่วเยี้ยมาพักใหญ่ละ และยิ่งในช่วงนี้ที่เป็นยุคดอลลาร์แข็งโฮก ยิ่งน่าจะยากที่ทองจะกลับมาเป็นขาขึ้นยาวๆ แบบเก่า และผมต้องบอกว่า QE จากอเมริกานี่แข็งแกร่งที่สุดละครับ Impact QE จากที่อื่นอย่างไรก็ไม่น่าจะมีผลเท่า (เป็นเพราะจุดประสงค์ในการออกมันต่างกันตั้งแต่ต้น) เพราะงั้นพอหมด QE เมกา ทองมันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนั่นแล
  
เรื่องสุดท้ายที่เป็นประเด็นเสียวในช่วงที่ผ่านคงหนีไม่พ้นเรื่องค่าเงินรูเบิลของรัสเซียครับ จริงๆ จะเรียกว่าพังเละเทะเลยก็ว่าได้ (ผมถึงกับต้องแยกกราฟมาให้ดูเลยทีเดียว) สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะประเทศเค้ามีรายได้จากน้ำมันเยอะ (ส่งออกน้ำมันเป็นอันดับ 2 ของโลก) พอน้ำมันลงแรง รายได้ก็หด แล้วมันก็สะท้านทรวงแบบนี้แหละ แถมปีนี้รัสเซียมีครบกำหนดชำระหนี้กับหลายประเทศในยุโรปเยอะอีก ทุนสำรองมีเท่าไหร่คงต้องโกยมากองให้พร้อมละครับ เพราะค่าเงินเค้าอ่อนไปกว่าเท่าตัวจากต้นปี 2014 เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ แปลว่าก็ต้องใช้เงินเยอะขึ้นในการชำระหนี้ด้วย



สรุป จะเห็นว่าในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ท้าทายพอสมควรครับ และผมเชื่อว่าปีนี้ก็จะท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะงั้นผมขอปิดท้ายด้วยการแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบเข้าใจง่ายเป็นภาษาอังกฤษที่ว่า Investing only in stuffs that you truly understand and trying not to get rich quick would be the key to me for this year. Cheers.

Wednesday, December 17, 2014

แรงกระเพื่อม

สวัสดีครับ,

DECEMBER 17, 2014


ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคมที่ตลาดหุ้นไทยได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีที่ 1603.89 นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้พบกับสีเขียวอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม ที่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้นั่งรถไฟเหาะตีลังกาแปดสิบตลบ เพราะตลาดลงไปทำจุดต่ำสุดของวันถึง 1375.99 แล้วก็แล่นทะยานขึ้นมาปิด 1478.49 ได้อย่างไรก็ไม่รู้ (คือลงไปมากกว่า 130 จุด แล้วก็เด้งกลับมากว่า 100 จุดโอ้แม่เจ้า) ผมเลยอยากจะแนะนำเพื่อนนักลงทุนให้ซื้อแว่นดังรูปด้านล่างนี้มาเตรียมใส่ไว้ก่อนครับ เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกอย่างไร เวลามอง พอร์ตท่านยังไงก็ยังคงเป็นสีเขียว  


แล้วยิ่งเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม หากท่านใดติดตามตลาด TFEX หรือ ตลาดอนุพันธ์สะบั้นหัวใจ เจ้า S50Z14 เปิดวันอังคารฟ้าใหม่ที่ราคา 971.3 เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ทันใดนั้นอุ้ยว้ายตาเถรแตกครับ ใครก็ไม่รู้มาทุ่มขายเจ้า S50Z14 ทำให้ราคาลงไปทำจุดต่ำสุดของวันที่ 921.6 ภายในไม่ถึง 5 นาทีนับจากตลาด TFEX เปิด ย้ำอีกครั้ง ภายในไม่ถึง 5 นาทีนับจากตลาด TFEX เปิด คือลงไปเกือย 50 จุด! จากนั้นก็ค่อยๆ ค่อยๆ ขึ้นมายืน แต่ผันผวนมากระหว่างวัน แล้วก็กลับไปปิดใกล้ราคาเปิดที่ 969.9 ตอนสิ้นวันจนได้

ประเด็นคือความผันผวนในตลาดไทยมีมากเหลือเกินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัปดาห์นี้ แต่ข่าวดีคือ ผมคิดว่ามันจะค่อยๆ ลดลงครับ เหมือนกับคุณโยนลูกปิงปองลงพื้นครั้งแรกจะเด้งขึ้นมาแรงหน่อย ครั้งที่สองเด้งแต่จะไม่เกินครั้งแรก แล้วก็ค่อยเด้งลดลงไปเรื่อยๆ หรือ เปรียบได้กับการกระเพื่อมของน้ำนั่นละครับ ในเชิง Quantitative model เองทางนักวิเคราะห์บัวหลวงเราก็ได้ประเมินไว้แบบนั้นเช่นกัน โดยดูจากเจ้าเครื่องมือที่เรียกว่า E-GARCH Vol ที่มันขึ้นมาทำหัวชี้ ประกอบกับเจ้าตัว E-GARCH Vol Forecast ที่ความชันมันลดลง แปลว่า ความผันผวนได้เจอจุดสูงสุดไปแล้วและจากนี้น่าจะค่อยๆ ลดลงครับ



ล่าสุด ตลาดหุ้นไทย ณ เวลาที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ (14.41) ก็บวกไปกว่า 20 จุด ขอแสดงความยินดีกับผู้กล้าทุกท่านด้วยนะครับ

Wednesday, December 3, 2014

เรื่องของน้ำมัน

สวัสดีครับ,

December 3, 2014


นับจากต้นปี ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ลงมาแล้วกว่า 30% และทำจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปีเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สาเหตุหลักๆ เกิดจากภาวะอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม Non-OPEC และการคงระดับการผลิตของกลุ่ม OPEC ไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งยังมีข่าวการผลิตน้ำมันจากหินดินดาน (Shale) ในอเมริกาและแคนาดามากดดันเพิ่มเติม อย่างไรก็ดีสถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าแตกต่างจากช่วงปี 2008-09 (ที่น้ำมันลงจาก 140 เหรียญต่อบาร์เรล เป็น 30 เหรียญต่อบาร์เรล) อย่างสิ้นเชิงครับ ช่วงนั้นสภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงถดถอยจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เป็นเรื่องของ Demand Shock ผลประกอบการของบริษัทลดลงพรวด แต่ครั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทไม่ได้ลดลง แต่แค่ปริมาณการผลิตน้ำมันเกินกว่าความต้องการใช้ เป็นเรื่องของ Supply Shock ซึ่งผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพอราคาน้ำมันลงไปถึงจุดหนึ่ง ความต้องการซื้อก็จะกลับมาและทำให้ราคาเข้าสู่จุดดุลยภาพในที่สุด (Equilibrium Price) ผู้บริโภคทั่วโลกจะเป็นผู้ได้ประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ เพราะต้นทุนการผลิตลดลงไปเยอะและประเทศที่เป็น Net oil importer อย่างไทยจะได้รับประโยชน์แบบจัดเต็ม



อย่างไรก็ดี ส่วนตัวแล้วผมไม่คิดว่าน้ำมันจะอยู่ที่ระดับต่ำแบบนี้ได้นานครับ เพราะต้นทุนการผลิตน้ำมันของหลายๆ เหมืองอยู่ที่ราว 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล แปลว่าถ้าราคาน้ำมันลงต่ำกว่านี้ไปมากๆ เหมืองบางแห่งอาจต้องปิดตัวลงเพราะขาดทุนบักโกรก ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ Supply ลดลงและราคาน้ำมันก็จะกลับมาในที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำนายราคาน้ำมันซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ชนิดหนึ่ง มันเป็นอะไรที่พูดยากและยากมากครับ (มันก็คือการเดาดีๆ นิแหละ) แต่หากนำข้อมูลเชิงสถิติมาประกอบจะพบว่า ราคาน้ำมันตอนนี้ได้ลงมาต่ำกว่าระดับ 2SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นระดับเดียวกับช่วงปี 2008-09 (เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนหน้านั้น) แปลว่าโอกาสที่น้ำมันจะลงต่ำกว่านี้มากๆ เริ่มมีน้อยแล้วละครับ
   
ผมเขียนถึงราคาน้ำมัน เพราะเห็นว่ามันสนุกดี นานๆ จะได้เห็นสินทรัพย์ที่ลงแรงๆ พรวดๆ แบบนี้ซักที (ยกเว้นหุ้นปั่นบ้านเรา) แต่หากไปดูสัดส่วน GDP ไทยจะพบว่า 2 อุตสาหกรรมแรกที่มีสัดส่วนสูงสุดคือ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (14.6%) ตามมาด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (10.7%) ไม่ใช่พลังงานหรือธนาคารพาณิชย์เหมือนในตลาดหุ้น แปลว่าราคาน้ำมันที่ลงอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นบ้าง แต่ในเชิงพื้นฐานหรือเศรษฐกิจประเทศภาพใหญ่แล้ว เราได้ประโยชน์นะ และยิ่งมีเรื่อง Energy reform ที่จะช่วยปลดแอกภาระขาดทุนบักโกรกในบางธุรกิจของเจ้าหุ้นพลังงานตัวใหญ่อย่าง PTT รวมถึงหุ้นโรงกลั่นบางตัวอยู่ ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะทรงๆ และอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้ไปจนถึงสิ้นปีครับ

Wednesday, November 26, 2014

พร้อมทะยานสู่ฟ้า

สวัสดีครับ,

NOVEMBER 26, 2014


หากจำกันได้ผมได้เขียนสรุปไว้ในบทความ “ทำธุรกิจด้วยกฎ 9 ข้อสไตส์ Buffett” เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนครับว่า หุ้นใน SET50 จะกลับเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป และก็เป็นอย่างที่คาด เพราะเมื่อหุ้นเล็ก-หุ้นจิ๋วโดนมาตรการสกัดความร้อนแรงจากตลาดหลักทรัพย์ (แม้จะมีผลจริงในปีหน้า) ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้นดังส้มหล่นทับ ซึ่งหากดูจากกราฟจะเห็นชัดเจนครับว่า ดัชนี SET50 ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ของปีไปก่อนแล้วเรียบร้อยในขณะที่ดัชนี SET ยัง (ณ เวลา 10.50 วันที่ 26 พ.ย.)



ความจริงอีกข้อก็คือ นักลงทุนไทยยังต้องซื้อ LTF อีกเยอะครับโดยเม็ดเงิน LTF ที่คาดว่าจะเข้ามาในตลาดหุ้นปีนี้ทั้งปีอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท (ปีที่แล้ว 4.3 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจนถึงตอนนี้ผ่านไปเกือบ 11 เดือน คาดว่ามียอดซื้อ LTF รวมเพียงประมาณกึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่รอ เพื่อซื้อในช่วงสุดท้ายของปีโดยหวังว่าหุ้นจะลงแต่จริงๆ ดันไม่ลง (หุ้นขึ้นด่ะตั้งแต่ต้นปี) ดังนั้นเดือนธ.ค.ปีนี้น่าจะมีเฮโลนะครับ ตลาดหุ้นไทยเตรียมพร้อมรับเม็ดเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาทได้เลย

สุดท้าย เพื่อยืนยันกันอีกครั้ง ทางทีม Quantitative Model ของเราก็ได้ทำนายไว้ครับว่า เดี๋ยวเถอะ เดือนหน้านิแหละ จะมี Flows จากทั้งนักลงทุนสถาบันและต่างชาติทยอยกันเข้ามา สังเกตได้จากเจ้า Volume Flow Indicator ที่กำลังฟอร์มตัวสวยพร้อมทะยานสู่ฟากฟ้า ดังนั้น ใครที่เทรด SET50 Index Futures อยู่ด้วยแล้วถือหน้า Short ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นนะครับ