Wednesday, January 27, 2016

สะสมพลัง

สวัสดีครับ,

ท่านจะรู้หรือไม่ว่าท่ามกลางความหนาวเหน็บในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งสะสมพลังคลื่นฟ้าในตลาด TFEX บ้านเราอย่างเงียบๆ และตารางด้านล่างนี้คือหลักฐานชิ้นดีครับ

คนกลุ่มนั้นไม่ใช่ใครดอกครับ พวกเค้าคือนักลงทุนต่างชาตินิเอง และแท้จริงแล้วไอความหนาวเหน็บมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เค้ามา ซื้อสะสมสุทธิ” SET50 Index Futures ในตลาด TFEX บ้านเราถึง 4 วันติดดอก เพียงแต่พอไปดูตัวเลขหลงจ้งตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ยอดซื้อสะสมสุทธิเค้าพุ่งทะยานไปถึง 70,895 สัญญา (มูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการ ปิดสถานะจากการที่เค้าขายสุทธิมาเยอะเมื่อปีก่อน หรือจะเป็นการ เปิดสถานะใหม่ ผมว่ายังไงภาพก็ดูดีขึ้นทั้งนั้นครับ เพราะมันหมายถึงเค้าเริ่มมองภาพทิศทางตลาดหุ้นไทยดีขึ้นแล้ว


อย่างไรก็ดี ผมว่าประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นก็คือ ราคาน้ำมัน เพราะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีมูลค่าตลาดคิดเป็นสัดส่วนถึงเกือบ 1/5 ของตลาดหุ้นไทยครับ แปลว่าถ้าน้ำมันพลิกกลับมาเป็นขาขึ้นได้ SET Index น่าจะวิ่งได้โอ้ลัลล้าเลยละ.. บังเอิญเหลือเกินที่วันก่อนผมได้ไปเจอบทความชิ้นนึงที่น่าสนใจบนเวปไซต์ของ MarketWatch เค้าจั่วหัวไว้ว่า “Here’s how to know if oil prices have hit bottom” โดยสรุปได้ว่าหากพบสัญญาณ 5 ข้อต่อไปนี้ มีโอกาสสูงครับที่จะตีความได้ว่าราคาน้ำมันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว: 1) การผลิตน้ำมันลดลงและความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น 2) ราคาน้ำมันวิ่งแรงได้รอบหลังจากที่ถูกขายหนักมานาน 3) ตลาดน้ำมันไม่ตอบสนองต่อข่าวตามที่เราคาด เช่น มีข่าวร้ายออกมาแต่ราคาน้ำมันกลับเด้งสวน (นั่นแปลว่าข่าวร้ายอาจถูก price in ไปมากแล้ว) 4) ทุกคนบอกพร้อมกันว่าราคาน้ำมันจะตกลงไปอีก และ 5) บริษัทน้ำมันประกาศผลขาดทุนหนักหรือถึงขึ้นปิดตัว

ทั้งหมดนี้ถ้าถามความเห็นผม ผมคิดว่ามีอยู่ประมาณ 3 ข้อที่ตรงกับสถานการณ์ในปัจจุบันครับ แล้วยิ่งอากาศหนาวๆ ทั่วโลกแบบนี้ เดี๋ยวคนในตลาดก็จะได้เหตุผลใหม่มาสนับสนุนอีกว่าความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นแล้วนะ อากาศเย็นเจี๊ยบขนาดนี้ อย่างไรก็ดี บางข้อจาก 5 ข้อที่เห็นมันก็เป็นเรื่องของความรู้สึกครับ ซึ่งแต่ละคนอาจจะตีความได้ต่างกันแล้วแต่วิจารณญาณ สุดท้ายแล้วเราก็ทำได้เพียงแค่ ทำนายอย่างมีเหตุผล เพราะคงไม่มีใคร รู้จริงแน่ๆ หรอกครับ


สุดท้าย บทความนี้จะจบลงอย่างสมบูรณ์ไม่ได้เลย ถ้าขาดการอัพเดทเป้าหมายใหม่ไฉไลจากทีมฝ่ายวิเคราะห์บัวหลวงเราครับ โดยคุณปรเมศร์ ทองบัว นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ ได้หั่นเป้า SET Index ลงเหลือ 1440 จาก 1550 เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกปรับลดลง (และมีแนวโน้มจะถูกปรับลงอีก) รวมถึงสมมติฐานราคาน้ำมันที่ลดลง (จาก $49/bbl เหลือ $42/bbl) ทั้งนี้ก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะเป้าใหม่ก็ยังมี upside ราว 11% จาก SET Index ระดับปัจจุบันที่ 1280 ครับ

Wednesday, January 13, 2016

ผันผวนทุกปี



สวัสดีครับ,

เปิดศักราชใหม่ 2559 มา ตลาดหุ้นไทยก็โชว์ความผันผวนให้เห็นซะตั้งแต่ต้นปีครับ ดัชนี SET ได้ลงไปทำจุดต่ำสุดของปีเมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่ 1221 (จากราคาปิดสิ้นปี 2558 ที่ 1288) แล้วก็ดีดกลับขึ้นมายืนเหนือแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1260 ได้อีกครั้งเมื่อเช้าวันที่ 13 ม.ค. อย่างไรก็ดี ผมไม่คิดว่าจะมีปีไหนที่ตลาดหุ้นไม่ผันผวน มันผันผวนทุกปี แต่แค่ปีนี้มาแซงแรงโค้งซะตั้งแต่ต้นปีเท่านั้นเองครับ

ความจริงแล้ว หากไปดูในตลาด Futures นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสะสมสุทธิ SET50 Index Futures ถึง 7 วันติดในช่วง 30 ธ.ค.2558 – 11 ม.ค.2559 รวมเป็นยอดกว่า 4.3 หมื่นสัญญา (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.6 พันล้านบาท) ในขณะที่ขายหุ้นสุทธิในช่วงเวลาเดียวกันเป็นมูลค่าถึง 9.1 พันล้านบาท ตลกไหมละครับ.. ซื้อฟิวเจอร์ส-ขายหุ้น มูลค่าใกล้เคียงกันแถมในช่วงเวลาเดียวกันซะอีก นี่อาจจะเป็น 1 ในสาเหตุที่ทำให้ตลาดผันผวนหนักซะตั้งแต่ต้นปีก็ได้กระมังครับ  



จริงๆ เราไม่มีทางรู้แน่ชัดดอกครับว่าฝรั่งเค้ากำลังทำอะไร สมมติฐานมันก็มีมากมายแล้วแต่คนจะคิด แต่อย่างหนึ่งที่พอจะเดาได้ก็คือเค้าคงจะไม่ได้มองหุ้นไทยแย่มากๆ เหมือนปีที่ผ่านๆ แล้วละครับ ก็แหม เปิดต้นปีมาซื้อสุทธิ SET50 Futures ซะขนาดนั้น (จะเป็น open long หรือ close short ก็ดีทั้งนั้นละครับ) ซึ่งพอไปดูตัวเลขย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 2013 พี่ฝรั่งขายหุ้นไทยสุทธิไปเกือบ 4 แสนล้านบาทแล้วครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าจะมีขนมาขายอีกมากแค่ไหน แต่พอไปดู valuation ของหุ้นกลุ่มใหญ่อย่าง Bank และ ICT แล้วนั้น ก็พบว่าราคาลงมาจนอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งถ้าผมเป็นพี่หรั่ง ผมจะหยุดขายแล้วเริ่มมองหาจังหวะซื้อแล้วละครับ แต่ก็คงเป็นการซื้อเพื่อขายเล่นรอบมากกว่าลงทุนยาวไปเลย เพราะคิดว่าภาพพื้นฐานในระยะกลางของ 2 กลุ่มนี้ยังไม่ได้ดูสดใสมากมายอะไรนัก  


ข้อสรุปของผมก็คือ ตลาดหุ้นไทยปีนี้ไม่น่าจะแย่เท่าปีที่แล้วครับ ลักษณะน่าจะมีคลื่นลมแรงเป็นหย่อมๆ ให้ซื้อขายเล่นรอบได้ ประกอบกับนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทจำกัดหลายแห่งเริ่มมีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งท้ายสุดก็ต้องมีการกระจายลงทุนไปยังหุ้น สภาพคล่องในประเทศยังเยอะ และดอกเบี้ยนโนบายในประเทศคงไม่น่าจะขึ้นไปจนถึงอย่างน้อยก็ไตรมาส 4 ปีนี้ครับ

Wednesday, December 30, 2015

สุดท้ายก็ใบเดียวกัน

สวัสดีครับ

วันนี้เป็นวันซื้อขายหุ้นวันสุดท้ายของปี 2558 ครับ ซึ่ง SET Index (ณ เวลาที่ผมเขียนบทความ) กำลังจะปิดปีนี้ลงด้วยผลตอบแทน -13.7% โดย 3 กลุ่มหลักอย่างธนาคาร -28% พลังงาน -20% และสื่อสาร -38% ลบหนักกันถ้วนหน้า ในขณะที่ MAI Index กำลังจะปิดลงด้วยผลตอบแทน -25% ตัวเลขเหล่านี้กำลังจะบอกเราครับว่า การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (blue chip) ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป หากผลประกอบการของบริษัทหรือแนวโน้มในอนาคตไม่ดีแล้ว ราคาหุ้นก็พร้อมจะดิ่งเหวสะท้านปฐพีได้ทุกเมื่อ ในขณะที่การลงทุนในหุ้นขนาดเล็กนั้นก็ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะเรามักจะคาดหวังผลตอบแทนที่สูงจากหุ้นขนาดเล็กจนลืมไปว่าความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังที่ได้เห็นแล้วในปีนี้


ทั้งนี้ปี 2558 ผมถือว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายมากครับ โดยผมได้สังเกตถึงสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในรอบปีที่ผ่านมา จะลองยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟังซักเล็กน้อยเป็นน้ำจิ้มครับ เรื่องแรก ผมรู้สึกว่าคนไทยยอมรับและเข้าใจในธุรกิจประกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยหรือประกันชีวิต เราเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ มากขึ้น และการประกันก็เป็นวิธีการปิดความเสี่ยงที่ดีวิธีนึง เรื่องที่สอง ผมรู้สึกว่าเทรนด์การซื้อสินค้าออนไลน์เริ่มมาแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยรุ่น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดเลยว่ามันจะไปได้ เรื่องที่สาม เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจสื่อสารซึ่งกูรูบางท่านถึงกับบอกว่านี่เป็นยุคใหม่ของมันเลย ด้วยการแข่งขันที่มากขึ้น operator บางรายหันมาแจกมือถือให้กับลูกค้าฟรีๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและคงรายได้จากการให้บริการ เรื่องที่สี่ เราเริ่มเห็นการล้มหายตายจากของผู้ประกอบการสื่อทีวีดิจิตอลบางเจ้า และนั่นก็เป็นผลลัพธ์ของการแข่งขันในตลาด Red ocean ซึ่งผมเชื่อว่าธุรกิจนี้กำลังจะเข้าสู่จุดสมดุลในไม่ช้านี้ครับ และเรื่องสุดท้าย คือเรื่องของธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะน้ำมัน ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ความต้องการที่ลดลง ราคาน้ำมันกำลังเข้าสู่จุดสมดุลใหม่และอาจจะมีพลังงานประเภทใหม่ขึ้นมาทดแทน และเราคงได้เห็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของธุรกิจพลังงานประเภทน้ำมันในเร็วๆ นี้

ถ้าลองสังเกตให้ดี จะทราบว่าข้อ 1-4 ที่ผมยกมาเล่านั้น เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศพัฒนาแล้วเมื่อซัก 5-10 ปีก่อนแล้วทั้งนั้นครับแต่เพิ่งจะมาเกิดกับไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ตรงนี้ก็ตอกย้ำถึงความเชื่อที่ผมเชื่อเสมอมาครับว่า โลกเราสุดท้ายก็ใบเดียวกัน (Globalization) สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศพัฒนาแล้ว สุดท้ายก็ไม่แคล้วที่จะเกิดกับประเทศกำลังพัฒนา เหมือนกับที่มีนักลงทุนหลายท่านที่ได้หันเหความสนใจไปยังประเทศเวียดนาม เพราะเชื่อว่าเวียดนามตอนนี้กำลังเหมือนกับไทยเมื่อ 10-15 ปีก่อน วิธีการลงทุนที่เคยใช้แล้วประสบความสำเร็จในไทย ก็อาจนำไปประยุกต์ใช้ในเวียดนามได้

สุดท้ายนี้ ผมขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกช่วยดลบันดาลให้คุณผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ มีสุขภาพที่แข็งแรง ร่ำรวยจากการลงทุนตลอดปีใหม่ 2559 นี้และตลอดไป แล้วพบกับการอัพเดทภาพตลาดได้ใหม่ในบทความหน้า ปีหน้าครับ


Wednesday, December 16, 2015

ปรับตัวปรับใจ

สวัสดีครับ,

เหมือนกับว่าเราได้ไปเที่ยวนั่งรถไฟเหาะตีลังกาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพราะไหนๆ เราก็ใกล้สิ้นปีละครับ เมื่อวันจันทร์ดัชนี SET ลงไปทำจุดต่ำสุดของปีที่ 1252 หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อช่วงท้ายตลาดดันดัชนีกลับขึ้นมาปิดที่ 1268 และแล้วปาฏิหารย์ก็บังเกิด เพราะวันถัดมา (วันอังคาร) ดัชนี SET กลับมาบวกพรวดเดียว 33 จุด ขึ้นมาปิดที่ 1300 คิดเป็น +2.6%

ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมเองยังไม่ได้เห็นปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญอะไรครับ แต่เชื่อว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเรากำลังเข้าใกล้การตัดสินครั้งสำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตามองนั่นก็คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดจริงหรือไม่ ทางทีมนักวิเคราะห์บัวหลวงเราได้ทำข้อมูลเปรียบเทียบครับและพบว่าหาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จริง ผลกระทบต่อตลาดจะคล้ายๆ กับช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปี 2004 นั่นคือตลาดจะผันผวนหนักช่วงก่อน Fed จะประกาศขึ้นดอกเบี้ย แต่หลังจากที่ประกาศแล้ว ตลาดก็จะสามารถซิกแซกขึ้นต่อได้ครับ


ตรงนี้พอมาดูข้อมูลในเชิง quant ประกอบ ก็พบว่าค่าความผันผวน (EGARCH) ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วละครับ (เส้นสีเขียวรูปซ้าย) แล้วพอมาดูค่า forecast ก็ยืนยันว่าค่าความผันผวนกำลังลดลงจริง ในขณะที่ Indicators อื่นๆ ก็ส่งสัญญาณว่าตลาดอยู่ในโซนขายมากเกินไป ตรงนี้ก็พอจะสรุปได้คร่าวๆ ละครับว่าจุดต่ำสุดของปีน่าจะได้ผ่านไปแล้วเมื่อวันจันทร์ และตลาดน่าจะกลับมาดูดีอีกครั้งอย่างน้อยก็จนถึงสิ้นปีนี้  


อย่างไรก็ดี เพื่อความไม่ประมาท ทางทีมนักวิเคราะห์ก็ได้ปรับเป้า SET Index สำหรับปีหน้าลงมาเล็กน้อยครับ จาก 1623 เป็น 1550 โดยอิงกับค่า PE ที่เดิม แต่หั่น EPS ปีหน้าลงมาจาก 104 เหลือ 100 สาเหตุหลักๆ ก็เป็นเพราะเราปรับสมมติฐานน้ำมันลดลงและ conservative มากขึ้นเท่านั้นละครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ


Wednesday, November 25, 2015

โตไม่โต

สวัสดีครับ,

เมื่อสัปดาห์ก่อนมี 2 เรื่องที่น่าสนใจที่ผมจะนำมาสรุปให้ฟังในบทความนี้ครับ เรื่องแรกเป็นเรื่องของ GDP ไทยไตรมาส 3 ที่ประกาศออกมาใช้ได้ คือโตถึง 2.9% สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 2.4% และโตขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนที่ 2.8% ทำให้รวมตัวเลข 9 เดือนแล้ว เศรษฐกิจไทยโตได้ 2.9% (ปี 2557 ทั้งปีโต 0.9%) โดยมีแรงสนับสนุนหลักมาจากการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวถึง 15.9% และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ขยายตัว 1.7% ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน แม้ว่าล่าสุดตัวเลขส่งออกในเดือนตุลาที่ประกาศออกมาจะหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 คือ -8.1% มากกว่าที่ตลาดคาดที่ -7.7% และมากกว่าเดือนก่อนที่ -5.5% ทำให้เป้าส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์คาดไว้ที่ -3% ทั้งปีนี้คงทำได้ยาก แต่หลังจากที่เรามีการเปิด AEC ในสิ้นปีนี้แล้ว ผมก็หวังว่าการส่งออกไทยในปีหน้าจะดีขึ้น และอาจกลับมาเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จากการลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ครับ


(เกร็ดความรู้: 20 ปีที่ผ่านมา GDP ไทยรายไตรมาสโตเฉลี่ย 3.6%YoY โดยโตสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2012 ถึง 19.1% และหดตัวมากสุดในไตรมาส 2 ปี 1998 ที่ -13.9%)

เรื่องที่สองเป็นเรื่องของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ครับ โดยสรุปแล้วกำไรสุทธิรวม 3Q15 ที่หลักทรัพย์บัวหลวง cover ลดลงถึง 81%YoY และ 81%QoQ ซึ่งต่ำกว่าที่คาดถึง 43% สาเหตุหลักเกิดจากรายการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เช่น ขาดทุนจากสินค้าคงคลัง (ราคาน้ำมันเหลือ $48.4 จาก $63.6 เมื่อสิ้นไตรมาสสอง) ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาทเทียบ USD อยู่ที่ 36.3 เทียบกับ 33.8 เมื่อสิ้นไตรมาสสอง) และการด้อยค่าของสินทรัพย์ (เช่น ของ PTTEP, THAI) ซึ่งตรงนี้ทำให้ Trailing PE ตลาดล่าสุดขึ้นมาอยู่ที่ 24 เท่า! นักวิเคราะห์เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับ EPS forecast ปี 2015 ลงมาเหลือ 70 จาก 90.5 ซึ่งถ้าเทียบกับปีที่แล้วที่ 72.5 แปลว่าปีนี้อาจจะโตติดลบ 3.5% ครับ อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าครับ มองไปข้างหน้า นักวิเคราะห์เราคาดว่า EPS ปี 2016 จะกลับขึ้นมาที่ 104 แปลว่าจะโตถึง 49% แต่ผมคิดว่าตัวเลขนี้อาจสูงเกินไป มีโอกาสที่จะถูกปรับลงมาได้ในอนาคตครับ 



กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจไทยเหมือนจะฟื้นแต่ก็ยังกั๊กๆ อยู่ ไม่เต็มที่ ส่วนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนต้องบอกว่าปีนี้ทำได้ผิดคาดเลยละครับแม้ว่าจะมีเรื่องของรายการพิเศษเข้ามา (ถ้าจำกันได้ช่วงต้นปีนี้ตลาดมองกันค่อนข้างดีเลยละว่าจะโตถึง 20-30% จากฐานที่ต่ำเมื่อปีก่อน แต่ผลกลับผิดคาดและอาจจะโตติดลบด้วยซ้ำ) ทำให้ภาพตลาดในช่วงนี้ แม้ผมจะยังไม่ได้มอง sentiment แย่อะไร (มีเรื่องแรงซื้อ LTF ช่วย) แต่ก็คงขึ้นได้ยากจากปัจจัยพื้นฐานที่เป็นอยู่ในปัจจุบันครับ

Wednesday, November 11, 2015

เจ้า E-GARCH

สวัสดีครับ,

วันนี้ผมมีตัวเลขที่น่าสนใจมาฝาก หากลองนับปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาด TFEX ตั้งแต่วันที่ 29 กันยา จนถึงวันที่ 4 พฤศจิกา (เวลาประมาณ 1 เดือนนิดๆ) จะพบว่าตัวเลขเป็น net long SET50 futures อยู่ถึงกว่าแสนสัญญา ซึ่งทำให้ตัวเลข YTD ที่นับจนถึงวันที่ 4 พฤศจิกา กลับมาเป็นบวกได้ (จากที่ก่อนหน้านี้เป็นลบอยู่เยอะมาก) ซึ่งการที่ flows ไหลกลับมาในช่วงเวลาสั้นๆ ดังกล่าวผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะจากการประชุม Fed เมื่อเดือนกันยาที่ผ่านมาที่คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยอาจถูกเลื่อนไปเป็นปีหน้า ทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่กลับมาคึกคักครับ



แต่หลังจากเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมาที่เราได้ทราบตัวเลข Nonfarm Payroll ที่ดีกว่าคาดมาก และอัตราว่างงานที่ลดลงเหลือเพียง 5% ของอเมริกา ผมเชื่อว่าตรงนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ Flows ที่ไหลเข้ามามากในช่วงก่อนหน้านี้ไหลกลับได้ครับ เพราะตลาดเริ่มมองแล้วว่ายังไง Fed ก็จะต้องขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาปีนี้ ซึ่งหากมาดูตัวเลขเมื่อ 2 วันล่าสุดประกอบ ก็จะเห็นว่า Flows เริ่มไหลออกแล้วจริงๆ โดยในวันจันทร์นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิใน SET50 Futures ถึง 7,529 สัญญา (ขายหุ้นสุทธิอีก 1 พันล้านบาท) และวันอังคาร 17,822 สัญญา (ขายหุ้นสุทธิอีก 776 ล้านบาท) ทำให้ตัวเลข YTD กลับกลายลบที่ -1,783 สัญญา รวมถึงค่าเงินบาทก็ได้กลับมาอ่อนค่าราว 1% จาก 35.5 บาท มาเป็น 35.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ 

สุดท้ายพอมาดูสัญญาณเชิง quant ประกอบ ก็พบว่าเจ้า E-GARCH Vol forecast ที่บอกค่าความผันผวนของตลาดได้ขึ้นมาเหนือค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้วครับ ตรงนี้ตีความได้ว่าช่วงเวลาถัดจากนี้เป็นช่วงเวลาอ่อนแอ เปราะบาง อีกทั้งสัญญาณ Volume Flow จาก 4 sectors หลักก็ได้ส่งภาพลบเช่นกัน ยังไงก็ระมัดระวังการลงทุนในช่วงนี้มากขึ้นนะครับ




Wednesday, October 28, 2015

เป้ายังไม่เปลี่ยน

สวัสดีครับ,

ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามี 2 เหตุการณ์ที่น่าสนใจที่น่าจะช่วยให้ตลาดหุ้นโลกรวมถึง SET เราน่าจะยังยืนเท้งเต้งแบบนี้ต่อไปได้ครับ เรื่องแรกก็คือการที่ประธาน ECB นาย Mario Draghi ออกมาส่งสัญญาณว่าเค้าอาจจะออกมาตรการกระตุ้นชุดใหม่ภายในเดือนธันวาปีนี้ (ดูซิว่า Fed จะกล้าขึ้นดอกเบี้ยสวนไหม) ส่วนอีกเรื่องก็คือเจ้า PBOC ที่ออกมาหั่นดอกเบี้ยพร้อมกับลด RRR เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะสู้กับสภาวะเงินเฟ้อต่ำ ที่น่าสงสัยนิดๆ ก็คือทำไมเจ้าธนาคารกลางจีนนิชอบออกมาประกาศมาตรการกระตุ้นตอนวันหยุดนักนะ (วันอาทิตย์บ่อยมาก) หยั่งล่าสุดก็ประกาศเย็นวันที่ 23 ตุลา หลังตลาดปิด ด้วยเหตุนี้ในบทความนี้ผมเลยจะเจาะไปที่จีนซักหน่อยครับเพราะดูท่าพี่ท่านจะมีผลต่อ sentiment ตลาดหุ้นในภูมิภาคอยู่พอควรเลยละ ฮ่าๆๆ



เรื่องมันมีอยู่ว่า Morgan Stanley เค้าได้ไปทำการสำรวจนักลงทุนรวมถึงผู้จัดการกองทุนในจีนครับว่าคิดว่าเห็นอย่างไรกับตลาดหุ้นจีนจากนี้ไป ผลสรุปก็คือความเชื่อมั่นเค้าลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อเดือนก่อน โดยผลตอบแทนคาดหวัง MSCI China ในอีก 12 เดือนข้างหน้าลดลงเหลือ 1.3% (จาก 2.9% เมื่อเดือนกันยา) ในขณะที่มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามคิดว่าตลาดหุ้นจีนจะเคลื่อนไหวอยู่แถวนี้แหละไปจนถึงเดือนมกราปีหน้า (หุ้นจีนได้ขึ้นมาประมาณ 15% จากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนกันยา) ในขณะที่ประมาณ 1 ใน 4 คิดว่าการ rally ของตลาดยังอยู่แต่จะไปค่อยๆ ลดลงในต้นปีหน้า โดยปัจจัยสำคัญที่คนเชื่อว่าจะมีผลตลาดหุ้นมากที่สุดเป็นเรื่องของ GDP growth ครับ


ด้วยเหตุนี้ผมจึงคิดว่าหุ้นไทยน่าจะซึมๆ แกว่งในกรอบแคบๆ แบบนี้ไปอีกซักพักครับ เว้นแต่จะมี surprise ในเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed (เลื่อนอีกไหม?) หรือธนาคารกลางในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น หรือกลุ่มยูโร ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเสริมสภาพคล่องออกมาอีก ซึ่งนั่นก็จะเป็น upside risks ของตลาดจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 

ท้ายสุดผมขออนุญาตปิดท้ายบทความนี้ด้วยคำยืนยันจากคุณปรเมศร์ ทองบัว นักกลยุทธ์ที่คุมเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยของบัวหลวงเราครับ โดยคุณปรเมศร์ยังคงเป้า SET Index ปีนี้ที่ 1412 ในขณะที่เป้าปีหน้ายังให้ไว้ที่ 1623 ครับ



Wednesday, October 14, 2015

ฝรั่งมังค่าพาเพลิน

สวัสดีครับ,

เป็นที่น่าสนใจครับว่าเจ้าฝรั่งมังค่าได้ซื้อสุทธิสะสม (Net long) ใน SET50 futures ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมากว่า 6 หมื่นสัญญา คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่เริ่มกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยในรอบกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมามูลค่าประมาณ 6 พันล้านบาท ตรงนี้ผมเชื่อว่าเป็นอานิสงค์จากการที่ Fed ตัดสินใจไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อเดือนก่อนครับ กอปรกับตัวเลขการจ้างงานของอเมริกาที่ยังดูอ่อนแอ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าการขึ้นดอกเบี้ยอาจจะถูกเลื่อนไปเป็นปีหน้า ในขณะที่เศรษฐกิจจีนเองนักวิเคราะห์ก็เริ่มๆ มองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ทำให้ sentiment โดยรวมของการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (EM) กลับมาสดใสอีกครั้ง



อีกทั้งถ้ามองไปที่ค่าเงินบาท (เส้นสีขาว) ก็จะเป็นว่ามันแข็งกระโป๊กเทียบกับ USD ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเลยละครับ (จาก 36.64 เป็น 35.56 ล่าสุด) ซึ่งสาเหตุก็ไม่ต้องสืบ เป็นเรื่องเดียวกับที่ผมได้เกริ่นไว้ข้างต้นที่ทำให้ flow ไหลเข้ามา ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าหากเปรียบเทียบในรอบ 6 เดือนให้หลัง ทิศทางค่าเงินบาทได้วิ่งสวนทางกับดัชนี SET (เส้นสีเหลือง) อย่างมีนัยสำคัญ แปลว่าหากค่าเงินบาท (เทียบ USD) ยังแข็งอยู่อย่างนี้ หุ้นไทยน่าจะลัลล้าโลดเล่นไปได้อีกซักพักละครับ


ปิดท้าย มาดูมุมมองเจ้าฝรั่งมังค่าที่ว่าซักเล็กน้อยดีกว่าครับ ทาง Morgan Stanley ได้ออกเปเปอร์สุดหล่อตั้งแต่สัปดาห์ก่อน โดยเค้า call ว่าหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (รวมถึงไทย) จะซิกแซกขึ้นไปได้ถึงสิ้นปีด้วยพลัง flows ไหลย้อนกลับ (ชั่วคราว) จากการที่ดอลลาร์อ่อนค่าเพราะเชื่อว่า Fed จะเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไป ซึ่งตรงนี้น่าจะส่งผลดีต่อ commodities ด้วย โดยหากดูในเชิงพื้นฐานแล้วก็จะพบอีกว่ามันเสริมกันครับ เพราะตัวเลขการนำเข้าของอเมริกาดูดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมาแปลว่าการส่งออกของประเทศในเอเชียก็น่าจะดีขึ้นด้วย (จีนเพิ่งประกาศตัวเลขส่งออกเมื่อวานดีกว่าคาดที่ -1.1%YoY ในขณะที่ตลาดคาด -7.4%YoY Yuan term) ในขณะที่อเมริกาเองก็ยังขาดดุลการค้ากับ EM อย่างต่อเนี่องในปริมาณที่เพิ่มขึ้น แปลว่าการที่ค่าเงินดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่าหนักๆ ในช่วงนี้ “ยากส์” เพราะถูกตัวเลขดุลการค้ากดดันอยู่ (หมายเหตุ: ค่าเงินดอลลาร์อ่อนมักจะดีต่อหุ้นในตลาดเกิดใหม่รวมถึง commodities)
โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ

Wednesday, September 30, 2015

เหตุเกิดจากความห่าง

สวัสดีครับ,


วันนี้ผมมีประเด็นที่น่าสนใจในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) มาเล่าให้ฟังเล็กน้อยครับ

เมื่อวานนี้ (29 กันยา) เป็นวันสุดท้ายของ SET50 futures ซีรี่ย์เดือนกันยา หรือ S50U15 ซึ่งหมายความว่านักลงทุนผู้ถือสถานะ S50U15 ทุกท่านจะต้องทำการ Roll over (ปิดสถานะเดิม และเปิดสถานะในสัญญาซีรี่ย์ถัดไป) ไปยังซีรี่ย์เดือนธันวา หรือ S50Z15 ภายในเวลา 16.30น. มิเช่นนั้นสัญญา S50U15 ของท่านจะถูกปิดสถานะโดยอัตโนมัติ (นักลงทุนนิยม roll over ไปยัง S50Z15 มากกว่า S50V15 ซึ่งเป็นซีรี่ย์เดือนตุลา เนื่องจากสภาพคล่องที่ดีกว่ามาก)

ข้อสังเกตของผมก็คือ หากดูตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยาที่ผ่านมา spread ระหว่างเจ้า S50Z15 และ S50U15 ที่นักลงทุนใช้ดูประกอบในการ Roll over ได้ห่างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจาก -5.5 จนลงไปทำจุดต่ำสุดที่ -20.9 เมื่อวันที่ 28 กันยา และกลับมาปิดสุดท้ายที่ -19.4 ในขณะที่ราคาตามทฤษฎีของ spread นั้นอยู่เพียงแถวๆ (บวก) 3 ถึง 5 จุดเท่านั้น


สาเหตุหนึ่งของความห่างอันมโหฬารนี้อาจจะเป็นเพราะตลาด TFEX ของไทยนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพ (efficient) มากพอ (ซึ่งก็เป็นปกติในตลาดของกลุ่มประเทศเกิดใหม่) กอปรกับสภาพคล่องในการ roll over ที่ยังมีไม่เยอะหรือเยอะแค่บางช่วงเวลา จึงทำให้ราคาตลาดของ spread อยู่ห่างจากราคาทางทฤษฎีซะขนาดนั้น แต่อีกมุมหนึ่งก็สามารถตีความได้ครับว่า นักลงทุนกำลังคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดในช่วงไตรมาสหน้า (4Q15) อาจจะดูไม่ค่อยสดใสนัก จึงได้เฮโลไปเปิดสถานะ short ใน S50Z15 มากกว่า S50U15 ซะเยอะ จนทำให้ spread ห่างออกไปมาก ตรงนี้ก็ต้องระมัดระวังครับ

อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทาง TFEX ได้ปรับอัตราหลักประกันของ SET50 Futures ขึ้นถึง 28% (ทั้งของลูกค้ารายย่อยและสถาบัน) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ตุลา นี้เป็นต้นไป จุดประสงค์ก็คือเพื่อลดการเก็งกำไรลง เพราะผู้ที่ลงทุน SET50 Futures ในตลาด TFEX ต้องกันเงินไว้มากขึ้นถึง 28% เพื่อวางหลักประกัน ตรงนี้ผมคิดว่าอาจจะส่งผลกระทบไปถึงตลาดหุ้นได้ ปริมาณการซื้อขายอาจจะลดลง รวมถึงความผันผวนก็อาจลดลงได้บ้างครับ (หมายเหตุ: เนื่องจาก SET50 Futures เป็นสัญญาที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในตลาด TFEX โดยเฉลี่ยมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน การปรับจึงน่าจะส่งผลกระทบมากสุดถ้าเทียบกับสัญญาซื้อขายบนสินค้าอ้างอิงอื่นครับ) 

Wednesday, September 16, 2015

มองไปข้างหน้า

สวัสดีครับ,

ตั้งแต่ต้นเดือนมาตลาดไทยก็วิ่งอยู่ในกรอบ 1360- 1405 ซึ่งถือว่าความผันผวนไม่ได้รุนแรงมากนัก ทั้งๆ ที่เรากำลังเข้าใกล้วันตัดสินเรื่องที่นักลงทุนติดตามกันมาเป็นปีในคืนวันพฤหัสที่ 17 กันยายนนี้ นั่นก็คือเรื่องที่ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยหรือยัง?

ความจริงแล้วถ้าได้ลองอ่านความเห็นของกูรูทางเศรษฐกิจหลายๆ ท่าน จะพบว่าบางท่านเริ่มจะเสียงแตกครับ โดยบอกว่า การไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่างหากที่จะเป็นข่าวร้าย เพราะนั่นจะทำให้ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ แต่หาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยเลยในการประชุมครั้งนี้ ตลาดน่าจะตอบรับในเชิงบวก เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า Fed ได้เริ่มเข้าสู่นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Tight Monetary Policy) ซึ่งตลาดจะชอบกว่าเพราะนั่นคือความแน่นอน

ส่วนตัวผมเชื่อครับว่าแม้ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้จริง ก็จะมีผลกระทบต่อไทยไม่มากถ้าเทียบกับประเทศเกิดใหม่ (EM) อื่นๆ ในเชิงเศรษฐกิจนั้น ประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ 5% (เทียบกับช่วงปี 2006 ที่ขาดดุล 1-5%) มีหนี้ต่างประเทศเพียง 33% ของ GDP (ลดลงจาก 38% ช่วงก่อนหน้านี้) และมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงเพียงพอ ด้วยสถานะการทางพื้นฐานที่จัดว่าดี มีหนี้น้อยลง กอปรกับการที่เรามีธนาคารแห่งประเทศไทยที่บริหารจัดการด้วยความรอบคอบระมัดระวังตลอดมา ผมจึงเชื่อว่าเรามี buffer ที่ดีพอที่จะรองรับแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้น จนทำให้ผมคิดว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอาจจะแทบไม่มีหรือมีน้อยมากเลยก็เป็นได้ (ส่วนหนึ่งเพราะตลาดอาจ price in ไปมากแล้ว)

อย่างไรก็ดีทีมวิเคราะห์ของบัวหลวงเราเมื่อต้นสัปดาห์ได้หั่นเป้าหมายดัชนี SET ลงมาเหลือ 1412 จาก 1505 เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ลดลง ราคาน้ำมันที่ลดลง และ GDP ที่ลดลง แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจไปครับ เพราะเป้าหมายที่หั่นลงนั้นเป็นของปีนี้ ซึ่งผมเชื่อว่านักวิเคราะห์จะเริ่มมองไปข้างหน้ามากขึ้น นัยก็คือจะเริ่มหันไปใช้ประมาณการของกำไรในปี 2016 แทน 2015 มากขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับการที่เราได้ออกเป้าหมายดัชนี SET ใหม่ที่ 1623 ที่เป็นเป้าของปีหน้า ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะครับ เพราะเชื่อว่าผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่เพิ่งออกมากว่า 3.4 แสนล้านบาท (1.36 แสนล้านสำหรับรากหญ้า และ 2 แสนล้านสำหรับ SME) และอาจจะมีอีกหนึ่งก้อนสำหรับกระตุ้น FDI ที่ยังไม่ประกาศเป็นทางการ น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเริ่มตั้งแต่ไตรมาสสี่ปีนี้และไปเห็นผลหนักๆ ในปีหน้า 


ซึ่งทีมวิเคราะห์ของบัวหลวงเราก็ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมไว้ด้วยว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ กลุ่มธนาคารและการเงินนั้นขึ้นดีเหลือเกินครับ ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยรึเปล่า มาลองติดตามกันดูครับ