Saturday, January 12, 2019

ตลาดหุ้นเวียดนาม...น่าลงทุนแล้วหรือยัง?

ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลดลงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาตามความผันผวนของตลาดหุ้นโลก!! โดยสาเหตุหลักเกิดจากความกังวลในเรื่องสงครามการค้า, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย, การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่อย่างไรก็ดีนี่อาจเป็นโอกาสลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นเวียดนามผ่าน DR “E1VFVN3001” เนื่องจากหากประเมินภาพเศรษฐกิจของเวียดนามแล้ว จะเห็นว่า…ยังมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องพิจารณาได้จาก…
1. เศรษฐกิจปี 2561 โตสูงสุดในรอบ 11 ปี ที่ 7.08%  (รัฐบาลคาดเพียง 6.7%) และแนวโน้มยังเติบโตดีต่อเนื่อง จากกำลังซื้อภายในประเทศที่แข็งแกร่ง การส่งออกที่เติบโตถึงสองหลัก ภาคการผลิตและการลงทุนจากต่างประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง

2. เวียดนามได้เข้าร่วม CPTPP ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ใหญ่สุดอันดับ 3 ของโลก เริ่มต้นปี 2562 นี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นส่งออกได้อีกมาก เนื่องจากทำให้เวียดนามไม่ต้องเสียภาษีการนำเข้าสินค้าเกือบทั้งหมดในกลุ่ม 11 ประเทศสมาชิก นอกจากนี้ยังมีข้อตกลง EU-Vietnam FTA (EVFTA) อีกที่จะช่วยลดข้อจำกัดด้านภาษีในการส่งออกสินค้าไปยุโรป

3. VCB ธนาคารขนาดใหญ่ในเวียดนาม (คล้ายๆ KBANK ของไทย) ได้เข้า Basel 2 ตั้งแต่เดือน พ.ย.61 โดยมีธนาคารอีก 12-15 แห่งจะเข้า Basel 2 ได้ในปี 2563 นับเป็นพัฒนาการที่ค่อยๆ ดีขึ้นของธุรกิจธนาคารในเวียดนาม

4. FTSE ได้นำเวียดนามเข้าสู่รายชื่อกลุ่ม upgrade จาก Frontier เป็น Secondary Emerging market ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 รวมถึงมีโอกาสได้รับ upgrade จาก MSCI ในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอาจมีเงินทุนไหลเข้าเวียดนามได้ถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (พิจารณาจาก ETFs ที่อ้างอิงดัชนี FTSE Emerging Markets ที่มี AUM ถึง 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

5. เวียดนามแซงสิงคโปร์และไทยขึ้นเป็นเจ้า IPO  ในปี 2561 โดยหุ้นใหญ่สุดที่นำเข้าตลาดฯ คือ Vinhomes (VHM) ทำธุรกิจอสังหา บ่งบอกถึงศักยภาพเติบโตของตลาดทุนเวียดนาม โดยในปี 2562 เวียดนามยังมีแผนที่จะนำรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหุ้นอีกมาก

6. รัฐบาลเวียดนามเตรียมออกกฎหมายประกันสังคมเอื้อคนงานต่างชาติ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์เท่าคนงานเวียดนาม เริ่มต้นปี 2565 เพื่อดึงดูดแรงงานต่างชาติฝีมือดีเข้าประเทศเวียดนาม เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
ด้วยภาพเศรษฐกิจของเวียดนามที่ยังเติบโตดีต่อเนื่อง และพื้นฐานในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เปลี่ยนอะไร (มีแต่จะดีขึ้นด้วยซ้ำ) การที่หุ้นเวียดนามปรับตัวลดลงจากปัจจัยภายนอก จึงน่าจะเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนใน DR “E1VFVN3001” ทิ่อ้างอิงกับหุ้นชั้นนำ 30 บริษัทในเวียดนาม ซึ่งเป็นการกระจายการลงทุนไปในอุตสาหกรรมถึง 11 กลุ่ม

Tuesday, January 31, 2017

สรุป 2016 เดินหน้าต่อ 2017

สวัสดีครับ,

ห่างหายกันไปหลายเดือนเนื่องด้วยช่วงที่ผ่านมาผู้เขียนติดภารกิจหลายอย่าง กลับมาครั้งนี้เลยอยากจะขอสรุปภาพรวมการลงทุนในปี 2016 และเล่าถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2017 ครับ

ในปี 2016 นั้น ต้องบอกว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยนะครับ เพราะบวกไปถึงเกือบ 20% ในรูปเงินบาท ซึ่งหากมองในรูปค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ผลตอบแทนก็แทบจะไม่ต่างกันครับเนื่องจากค่าเงินบาทนั้นปิดสิ้นปีในระดับที่ใกล้เคียงกับเมื่อต้นปีที่แถว 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ (แม้จะเคยแข็งค่าไปถึง 34.487 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเดือนสิงหาคม) สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หุ้นไทยขึ้นมาได้ดีนั้น เชื่อว่าเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นและกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยทั้งปีเกือบ 8 หมื่นล้านบาท (และซื้อสุทธิใน SET50 index futures อีกกว่า 2 แสนสัญญา) รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่โตได้ดีขึ้นมากหลังจากถดถอยมา 2 ปีติด

จริงๆ แล้วตัวเลขซื้อสุทธิ หมื่นล้านบาทนั้นเหมือนจะดูเยอะนะครับ แต่หากเราย้อนไปดูช่วงปี 2013-2015 พบว่านักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิหุ้นไทยถึงเกือบ แสนล้านบาท (สาเหตุหลักที่เค้าขายตอนนั้นเป็นเพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศลดการใช้มาตรการ QE จนยกเลิกไปในที่สุด) ฉะนั้นการที่เค้ากลับมาซื้อสุทธิในปี 2016 เพียงส่วนหนึ่ง ไม่ได้การันตีว่าเค้าจะต้องซื้อต่อเนื่องในปี 2017 เพราะในภาพใหญ่นั้นยังเป็นการขายสุทธิอยู่ อีกทั้งหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2017 โอกาสที่เงินจะไหลกลับมาในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยนั้นก็ยิ่งลดลง

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2017 นั้นมีแนวโน้มที่น่าจะดีขึ้นได้ต่อเนื่องครับ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลักของโลกอย่างสหรัฐฯ (จากการที่เค้าได้ประธานาธิบดีใหม่ไฟแรงที่ชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เป็นนักธุรกิจผู้ช่ำชองและเคยล้มเหลวมาก่อน) รวมถึงยุโรปและญี่ปุ่นที่กำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ น่าจะช่วยให้การค้าโลกดีขึ้นและส่งผลไปถึงการส่งออกที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-70% ของ GDP ไทย ให้ดีขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ หรือที่ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า มาตรการทางการคลัง (Fiscal policy) กำลังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อม (Ripple effect) ให้ภาคเอกชนกลับมาขยายการลงทุน ในขณะที่แบงก์ชาติเองน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.5% ไปอย่างน้อยจนถึงไตรมาส ปี 2017 ทั้งนี้ เพื่อให้นโยบายการเงินอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายต่อเนื่องและช่วยสนับสนุนให้นโยบายการคลังที่ดำเนินโดยภาครัฐเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ เป้าสุดท้ายที่พวกเราทุกคนอยากเห็นก็คือ เศรษฐกิจไทยในปี 2017 สามารถกลับมาเติบโตได้ที่ระดับ 4% อีกครั้ง

ในด้านความเสี่ยงนั้น หากเปรียบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นดังกองหน้าทีมฟุตบอลที่คอยจ้องยิงประตู การตระหนักถึงความเสี่ยงและเฝ้าระวังก็เปรียบดังกองหลังที่คอยปัดป้องไม่ให้ทีมถูกยิงประตู ความเสี่ยงหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกกังวลก็คือหนี้ครัวเรือนในบ้านเราที่อยู่ในระดับสูงกว่า 80% ของ GDP มาซักพัก จริงอยู่ที่วิกฤตเศรษฐกิจโลกส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์มักมีที่มาจากปัญหาสถาบันการเงิน แต่หากมองให้ลึก รากเหง้าของวิกฤตทั้งหลายก็มาจาก หนี้” ทั้งนั้น ที่ยังสบายใจได้ก็คือสถาบันการเงินในบ้านเรานั้นมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งพอสมควรเลยละครับ แต่การที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงนี้กำลังสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่กำลังใช้จ่ายเกินตัว ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมาในภายหลังได้ โดยจากการศึกษาของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements: BIS) ในปี 2554 พบว่าหนี้ครัวเรือนที่ระดับ 85% ของ GDP อาจก่อให้เกิดผลลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนตามนิยามของธนาคารแห่งประเทศไทย หมายถึง เงินให้กู้ยืมที่สถาบันการเงินให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ ไม่รวมหนี้นอกระบบ แปลว่าตัวเลขการเป็นหนี้ของคนไทยแท้จริงแล้วคงจะอยู่สูงกว่านี้อีกครับ

กล่าวโดยสรุป การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 2017 นั้นคงจะเป็นอีกปีที่ท้าทาย เพราะเศรษฐกิจไทยแม้มีโอกาสสูงที่จะเติบโตได้ดีกว่าปี 2016 แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวัง (ผู้เขียนยังไม่ได้กล่าวถึงความเสี่ยงจากวิกฤตค่าเงินริงกิตของมาเลเซีย หากมีโอกาสจะกล่าวถึงในคราวถัดไป) อีกทั้งหุ้นไทยก็ได้ขึ้นมามากแล้วในปี 2016 โอกาสที่จะขึ้นต่อแรงในปี 2017 นั้นจึงไม่ง่าย หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้เติบโตขึ้นตามหรือแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาอีกครั้ง ทั้งนี้ ทิศทางราคาน้ำมันก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ควรติดตามครับ โดยกลุ่ม ปตท. คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2017 อยู่ที่ 50-55 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และคาดว่าความต้องการน้ำมันดิบโลกจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว

ท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขในการลงทุน สุขภาพแข็งแรง และร่ำรวยยิ่งๆขึ้นไป ในศุภมงคลสมัยขึ้นปีใหม่ 2560 นี้ครับ

31 ธค 2559

Wednesday, January 4, 2017

บรรยากาศเอื้ออำนวย

สวัสดีปีใหม่ครับ :) 
ตลาดหุ้นไทยในปี 2559 ถือว่าให้ผลตอบแทนได้ดีทีเดียวโดยบวกไปถึง 19.8% โดยฝรั่งเป็นผู้ซื้อสุทธิในหุ้นถึง 7.8 หมื่นล้านบาท และใน SET50 Futures ถึง 214,365 สัญญา โดยค่าเงินบาทปิดระดับสิ้นปีไปได้ใกล้เคียงกับระดับต้นปีที่แถว 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ


ในปี 2560 นี้ มีโอกาสสูงที่เงินที่ไหลเข้ามาในปี 2559 นั้น อาจมีบางส่วนไหลกลับไปยังประเทศพัฒนาแล้วได้ครับ โดยเฉพาะในสหรัฐฯหลังจากที่เค้าได้ประธานาธิบดีคนใหม่ที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายอย่างที่อาจส่งเสริมให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าต่อเนื่อง รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตาม นอกจากนี้เศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นก็อยู่ในระยะกำลังฟื้นตัว

อย่างไรก็ดี ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวงประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.5-0.75% ไปอย่างน้อยจนถึงช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้ หลังจากเพิ่งขึ้นไป 1 ครั้ง เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วครับ ด้วยเหตุนี้บรรยากาศการลงทุนน่าจะยังเอื้ออำนวยต่อตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยหากไม่มีการเซอร์ไพรส์ในทางลบใดๆ เกิดขึ้น ทีมวิจัยเราได้ให้เป้าหมาย SET Index ที่สิ้นปี 2560 ที่ 1670 จุด คิดเป็นค่าพีอีที่ 15.5 เท่า บนประมาณการกำไรต่อหุ้นที่ 107.6 บาท ทั้งนี้ ค่าพีอีดังกล่าวอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 12.4 เท่า อยู่ 1.3 SD ครับ


สุดท้าย ในศุภมงคลสมัยขึ้นปีใหม่นี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านมีสติในการลงทุน ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป (ดังจะเห็นได้จากปีที่ผ่านมาที่มีโอกาสให้เข้าซื้อหุ้นได้หลายครั้งจากความตื่นตระหนกของเพื่อนนักลงทุน) และไม่มั่นใจจนเกิดเหตุ ทั้งนี้ให้ศึกษาหาข้อมูลด้วยตนเองเป็นหลัก อย่าได้เชื่อกูรูคนใดคนหนึ่งไปตลอด เพราะขนาดนักเศรษฐศาสตร์ในตำนานของโลกอย่าง John Maynard Keynes ยังเคยพูดไว้ว่า “When the facts change, I change my mind.” ตีความได้ว่า เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน คำแนะนำของเหล่ากูรูก็เปลี่ยน เพราะฉะนั้นเชื่อตนเองดีที่สุดครับ… โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ…

Wednesday, December 7, 2016

Resilience

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเรียกได้ว่า resilient ใช้ได้เลยละครับ เพราะแม้ผลประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะออกมาผิดจากที่ตลาดคาด โดยคุณ Trump ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป SET Index ของเราก็ลงไปทำจุดต่ำสุดของเดือนเพียง 1463 และหลังจากนั้นก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นมายืนเหนือระดับ 1500 จุดได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

set_149_ses1

ความจริงนักลงทุนต่างชาติที่เป็นผู้ขายสุทธิในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาร่วม 5 หมื่นกว่าล้านบาท อาจกำลังเสียใจและโอดครวญว่าไม่น่าขายไปเลยก็ได้นะครับ (นักลงทุนรายย่อยและสถาบันในประเทศคงกำลังยิ้มล่าเพราะเป็นผู้ซื้อสุทธิในช่วงเวลานั้น) และจริงๆ แล้วเราก็เริ่มเห็นสัญญาณช่วงสัปดาห์นี้ที่เค้าเริ่มกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิบ้างแล้ว ทั้งนี้ยอด YTD ฝรั่งก็ยังเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอยู่เกือบๆ 8 หมื่นล้านบาทครับ

set_149_ses2

ในด้านของตลาดอนุพันธ์หรือ TFEX กันบ้าง ต้องบอกว่าตัวเลขที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้เป็นตัวเลขที่ไม่เคยเกิดมาก่อน เพราะฝรั่งเป็นผู้ซื้อสุทธิใน SET50 futures ถึง 200,999 สัญญาในปีนี้ครับ! เพราะงั้นที่คาดว่าฝรั่งกำลังเสียใจเพราะขายหุ้นไป แต่เค้าอาจกำลังดีใจที่ได้ซื้อ futures อยู่ก็ได้นะครับ

set_149_ses3

สรุปเลยก็คือ ตลาดหุ้นไทยเริ่มดูดีขึ้นครับ จากภาพที่ฝรั่งเริ่มกลับมาซื้อในตลาดหุ้น และซื้อต่อเนื่องในตลาด TFEX นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ sentiment ในแง่ภาพเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ มากมายมาเพื่อกระตุ้น แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ แต่หากการขึ้นครั้งนี้ไม่ได้มากกว่า 25bps ก็คงจะไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อหุ้นไทยมากแล้วละครับ เพราะประเด็นนี้ตลาดคง price in ไปเกือบหมดแล้ว.. โชคดีในการลงทุนทุกท่านนะครับ

Wednesday, November 2, 2016

ลุ้นผลประธานาธิบดีสหรัฐฯ

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นไทยเมื่อเดือนที่แล้วทำจุดสูงสุดของเดือนไว้ที่ 1518 จุด เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม หลังจากนั้นใช้เวลา 4 วันทำการ ลงไปทำจุดต่ำสุดของเดือนที่ 1343 จุดในวันที่ 12 ตุลาคม หรือคิดเป็น -11.5% จากจุดสูงสุด แต่ก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ดัชนีกลับมาปิดสิ้นวันนั้นได้ที่ 1406 จุด นับว่าเป็นการผันผวนรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของตลาดหุ้นไทย ซึ่งหลังจากนั้นดัชนี SET ก็ค่อยๆ ฟื้นตัวมาตลอดด้วยแรงส่งที่แข็งแกร่งครับ จนกลับมายืนแถวระดับ 1500 จุดได้อีกครั้ง ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน

SET_Index

อย่างไรก็ดี ในภาพเชิงเทคนิคแล้วมีประเด็นที่น่ากังวลอยู่เล็กน้อยครับ เพราะดัชนี SET ได้เปิดช่องว่างไว้ ณ วันที่ 14 ตุลาคม โดยดัชนีได้เปิดกระโดดขึ้นจากวันก่อนหน้าถึง 47 จุด หลังจากนั้นก็ขึ้นต่อเนื่องไปเรื่อยจนมาแตะระดับ 1500 จุดได้ในวันที่ 21 ตุลาคม แต่ช่องว่างที่เปิดไว้ (ในช่วง 1413-1460) นี้ ถ้าว่ากันตามภาพเทคนิคแบบพื้นฐานแล้ว ก็ต้องตอบว่ามีโอกาสสูงครับที่ดัชนีจะวกกลับลงมาปิดได้ แต่ถามว่าเมื่อไหร่นั้นคงตอบได้ยาก บางทีแล้ว หากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อเมริกาที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน นี้ออกมาผิดคาด โดยคุณทรัมป์เป็นฝ่ายชนะคุณคลินตันก็อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกได้ครับ

US_national_election

อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าตลาดหุ้นไทยในปีนี้คงจะได้รับแรงสนับสนุนจาก LTF/RMF Inflows เหมือนดังเช่นทุกปี และแม้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะออกมาผิดคาดจริง ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย (ถ้ามี) ก็อาจเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้นครับ นอกจากนี้หากลองย้อนกลับไปดูข้อมูลในอดีตตามที่นักวิเคราะห์บัวหลวงเราได้ประเมินไว้ จะพบว่าตลาดหุ้น (S&P500) นั้น ไม่ได้เคลื่อนไหวโดยขึ้นกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ขึ้นกับภาพเศรษฐกิจในขณะนั้นมากกว่า (ดูรูปด้านล่างประกอบ)… ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ

SandP500US_GDP

Sunday, October 9, 2016

กฎหมายกับการลงทุน

สวัสดีครับ,

เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้ตัดสินใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในด้านกฎหมายเศรษฐกิจโดยเน้นไปในด้านกฎหมายธุรกิจทั่วไป ผมพบว่าความรู้ทางด้านกฎหมายนั้นนอกจากจะเป็นสาระสำคัญที่เราต้องพบเจอในชีวิตประจำวันแล้ว ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องกับการลงทุนได้อีกด้วย แม้ผมจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายโดยตรง แต่ก็รู้สึกว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยที่นักลงทุนผู้มุ่งมั่นในพื้นฐานของกิจการควรจะรู้ประกอบไว้เพื่อทำให้ตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น

ประเด็นตัวอย่างในวันนี้เป็นเรื่องของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ทราบหรือไม่ครับว่า พ.ร.บ.ในประเทศไทยนั้นมีอยู่มากกว่า 800 ฉบับ ซึ่งตลอดชีวิตของนักกฎหมายท่านหนึ่ง อย่างที่สุดก็จะได้เรียนแบบเจาะลึกกันประมาณ 30-40 ฉบับเท่านั้น ตัวอย่างพ.ร.บ.ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนก็เช่น พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 พ.ร.บ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.2546 พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2551 พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2558 ฯลฯ รวมไปถึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ทั้งนี้หลักสำคัญที่ผมอยากเล่าให้ฟังก็คือกฎหมายนั้นมีลำดับศักดิ์อยู่ การจะเปลี่ยนหรือแก้ไขกฎหมายใดนั้นจะต้องใช้กฎหมายที่มีลำดับศักดิ์เท่าเทียมกันหรือสูงกว่าเท่านั้น เขียนแบบนี้อาจจะงง ยกตัวอย่างเลยแล้วกันครับ


ในอดีตเคยมีการฟ้องร้องกันในเรื่องที่ธนาคารเก็บอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงเกินไป ซึ่งไปเกี่ยวข้องกับกฎหมายระดับพ.ร.บ.หลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 และป.พ.พ.มาตรา 654 ซึ่งผมขออนุญาตสรุปความเป็นดังนี้ว่า ตามหลักกฎหมายพื้นฐาน คนธรรมดากู้เงินคนธรรมดาจะเรียกดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนธรรมดากู้เงินสถาบันการเงิน กฎหมายจะอนุญาตให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีได้ (แต่ต้องไม่เกินเพดานที่กำหนดไว้) ในกรณีนี้ทนายฝ่ายผู้กู้ที่กู้เงินธนาคาร อ้างว่าเนื่องจากเป็นการกู้เงินเหมือนกัน (ข้อเท็จจริงเดียวกัน) ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินกับสถาบันการเงินหรือกับคนธรรมดาจึงควรจะใช้เกณฑ์เดียวกันในการคิดอัตราดอกเบี้ย มิเช่นนั้นเป็นการขัดต่อหลักความเสมอภาคที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ฝ่ายธนาคารก็สู้ด้วยประเด็นที่ว่าการให้กู้นี้เป็นเรื่องของธุรกิจและแท้ที่จริงเรื่องอัตราดอกเบี้ยก็มีการตกลงกันไว้ในสัญญาก่อนแล้ว

จากที่เล่ามานี้จะเห็นว่าฝ่ายผู้กู้อ้างว่าการกู้เงินซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายในลำดับพ.ร.บ.ขัดต่อกฎหมายในลำดับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายลำดับที่สูงกว่า (และสูงสุดของประเทศ) จึงพยายามใช้หลักที่ผมเล่าในตอนต้นว่า หากจะแก้หรือล้มกฎหมายใดต้องใช้กฎหมายในลำดับที่เท่ากันหรือสูงกว่าเท่านั้น ในการแย้งประเด็นดังกล่าว แม้สุดท้ายแล้วตุลาการศาลฯ จะตัดสินว่าข้อนี้ไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาคที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ (เพราะในทางกฎหมายหลักเสมอภาคไม่เท่ากับเครื่องหมายเท่ากับ)


แต่ลองจินตนาการดูซิครับว่า หากกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินในทางตรงข้ามโดยบอกว่าข้อนี้ขัดรัฐธรรมนูญ สถาบันการเงินต่างๆ จะมีผลกระทบเพียงไร เพราะมีหลายสถาบันการเงินที่เก็บดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15% ต่อปี กำไรของบริษัทเหล่านั้นคงเป็นอันได้หดหายวูบวาบเป็นแน่แท้ และก็คงสะท้อนต่อเนื่องไปยังราคาหุ้น เพราะฉะนั้นในช่วงที่ศาลกำลังตัดสินคดี ท่านที่เป็นนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นสถาบันการเงินก็คงต้องติดตามผลคำตัดสินอย่างใกล้ชิด โดยหากมีความรู้กฎหมายประกอบด้วยแล้วก็จะทำให้การประเมินสถานการณ์และตีความได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยทำให้ตัดสินใจในการลงทุนได้ดีขึ้นครับ

18 ก.ย. 2559

Thursday, October 6, 2016

กำแพงหรือหน้าผา

สวัสดีครับ,

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเรียกได้ว่าตลาดหุ้นไทยฉวัดเฉวียนขึ้นลงกันให้ใจหายอยู่หลายที ถ้าจำกันได้เมื่อต้นเดือนกันยาที่ผ่านมา SET Index ดูเหมือนกับจะแกว่งตัวอยู่แถวระดับ 1500 จุดได้อย่างไม่หวั่นเกรง แต่เนื่องจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ปะทุขึ้นจนกดดันให้ดัชนีลงไปทำจุดต่ำสุดของเดือนที่ 1410 แต่หลังจากนั้นดัชนีก็ค่อยๆ ฟื้นคืนเมื่อความกังวลต่างๆ ค่อยๆ จางหายไป และล่าสุด (ราคาปิดวันที่ 4 ตุลา) SET Index ก็กลับมายืนเหนือระดับทางจิตวิทยาที่ 1500 จุดได้อีกครั้งครับ

จริงๆ แล้วฝรั่งมักจะเปรียบว่าตลาดหุ้นนั้นชอบปีน  “กำแพงแห่งความกังวล (Wall of worry)”  ตราบใดก็ตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดยังกังวลอยู่ ไม่ว่าจะจากปัจจัยภายในหรือภายนอกประเทศ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมืองหรือสังคม ตลาดหุ้นก็มักจะค่อยๆ ไต่กำแพงขึ้นไปได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ความกังวลหายไป ความมั่นใจกลับมา พร้อมกับความฮึกเหิมของนักลงทุน เมื่อนั้นอาจจะเป็นเวลาที่ตลาดหุ้นดิ่ง “หน้าผาแห่งความหวัง (Slope of hope)”  ก็เป็นได้ครับ ทั้งนี้หากลองเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ธรรมชาติ ท้องฟ้าคลื่นลมก็มักจะสงบเงียบก่อนที่สึนามิหรือคลื่นใหญ่จะมาอยู่แล้ว

where_the_bulls_are

สุดท้ายของบทความนี้ ผมอยากจะพลิกมุมมาเล่าถึงตัวเลขเศรษฐกิจหนึ่งซึ่งก็คือตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไป (Headline inflation) ของเดือนกันยาที่เพิ่งประกาศออกมาครับ ที่น่าสนใจก็คือตัวเลขนี้เป็นบวกต่อเนื่องมา 6 เดือนติดต่อกันแล้ว แม้จะยังไม่ได้สูงมาก (บวกเพียง +0.38% จาก +0.29% เมื่อเดือนก่อน) และการขึ้นหลักๆ ก็มาจากราคาอาหารสดโดยเฉพาะผักและผลไม้ที่ถูกปรับขึ้นจากผลกระทบน้ำท่วม แต่หากลองดูอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) ที่หักราคาอาหารสดและพลังงานออกแล้ว ก็พบว่ายังเป็น +0.75% ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อเหล่านี้แม้จะขึ้นเพียงช้าๆ แต่ก็พอจะทำให้เราตีความได้ครับว่า หากไม่มีเหตุการณ์หรือวิกฤตอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นในประเทศ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (รวมถึงอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ) ในบ้านเราน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะมีโอกาสปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นได้ซัก 1 ครั้งในปีหน้าตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพราะเรื่องดอกเบี้ยนั้นจะมีผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าหุ้น เราจึงควรติดตามไว้ไม่เสียหลายครับ

Wednesday, September 7, 2016

หนทางเริ่มขรุขระ

สวัสดีครับ…

บทความของผมเมื่อเดือนก่อนแนะนำให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนโดยให้เหตุผลหลักๆ ว่าฝรั่งเริ่มพลิกกลับเป็นขายสุทธิใน SET50 futures มากขึ้น เดือนนี้ผมยังขออนุญาตคงมุมมองเดิมแต่ให้เพิ่มระดับความระมัดระวังเข้าไปอีกขั้นครับ เนื่องด้วยตัวเลขล่าสุดฝรั่งเป็นผู้ขายสุทธิใน SET50 futures ในเดือนสิงหาคมถึง 19,928 สัญญา (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3.8 พันล้านบาท) และขายสุทธิหนักในเดือนกันยายนถึง 11,067 สัญญา (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.1 พันล้านบาท) ทั้งๆ ที่เพิ่งเปิดทำการได้ไม่กี่วัน (นับถึงสิ้นวันที่ 6 กันยา) ตรงนี้น่าจะสะท้อนถึงมุมมองที่เริ่มเปลี่ยนไปของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่เหลือของปีหลังจากที่เค้าซื้อสุทธิหนักมากในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ครับ

stock_CH_146_1

ความจริงแล้วถ้าสังเกตสัญญาณจากประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ในกลุ่ม TIP ด้วยกัน จะพบว่าฝรั่งเริ่มเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคมโดยเริ่มที่ประเทศฟิลิปปินส์ก่อนและต่อด้วยอินโดนิเซีย มีไทยเรานิแหละครับที่ยังแข็งแกร่งและฝรั่งยังเป็นผู้ซื้อสุทธิอยู่ แต่ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วครับว่าเค้าจะซื้อสุทธิได้อีกนานแค่ไหน เพราะปกติแล้วเวลา Flows ฝรั่งเข้าหรือออกมักจะไปในทิศทางเดียวกันทั้งภูมิภาคนะครับ

stock_CH_146_2

ทั้งนี้ทั้งนั้นประเด็นที่ผมกล่าวมาในเบื้องต้นเป็นการวิเคราะห์ในแง่ของทิศทางเงินทุน ไม่ใช่ประเด็นทางด้านปัจจัยพื้นฐานครับ เพราะฉะนั้นถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาวแบบเน้นคุณค่าจริงๆ ปัจจัยที่ผมกล่าวมาเหล่านี้จะไม่ได้มีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนเลยตราบใดที่พื้นฐานของบริษัทที่เราลงทุนยังดีอยู่ อย่างไรก็ดี ก่อนที่บทความนี้จะจบลงผมขออนุญาตพูดถึงข้อมูลทางพื้นฐานในภาพรวมซักเล็กน้อยครับ ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ (ณ ราคาปิดวันที่ 6 กันยา) ซื้อขายกันอยู่ที่ forward P/E ที่ 15.4 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวที่ 12.4 เท่าถึง 1.3SD หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ก็มีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปซื้อขายที่ forward P/E 15.7 เท่าซึ่งเท่ากับเป้าดัชนีสิ้นปีของบัวหลวงเราที่ 1523 ได้ครับด้วยสภาพคล่องทั่วโลกที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง แต่หากมีสัญญาณใดๆ ที่บ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ คงจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้แล้วละ (เดือนกันยานี้คงไม่น่าขึ้นอยู่แล้วด้วยตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดที่ประกาศออกมาไม่สู้ดีนัก) upside ของตลาดหุ้นไทยก็อาจจะตันแถว 1523 ไปจนถึงสิ้นปีนี้ครับ

Thursday, August 4, 2016

เพิ่มความระมัดระวัง

สวัสดีครับ…

ภาพรวมของตลาดหุ้นนับจากนี้ผมคิดว่าจะมีความเสี่ยงมากขึ้นจากปัจจัยทางการเมืองครับ แม้ กูรูหลายสำนักจะเชื่อว่าผลลัพธ์จากการลงประชามติในวันที่ 7 สิงหานี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อตลาดมากนัก แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วหากผลออกมาในทิศทางที่บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนมากขึ้น เมื่อนั้นตลาดก็อาจมีการปรับฐานต่อได้ครับ…

ในแง่ของมูลค่าพื้นฐานนั้น ด้วยราคาปิดเมื่อวันที่ 2 สิงหา ตลาดหุ้นไทยซื้อขายด้วย forward PER ที่ 16.4 เท่า ซึ่งถ้าเทียบกับค่าเฉลี่ยในระยะยาวที่ 12.4 เท่าแล้วก็จัดว่าสูงพอสมควร ในขณะที่ในแง่ของส่วนลด PER ของตลาดหุ้นไทยต่อตลาดหุ้นในอาเซียนก็ถอยลงมาอยู่ที่เพียง 4% เทียบกับค่าในอดีตที่อยู่ในช่วง 4%-25% ตรงนี้แปลว่า ณ ระดับปัจจุบันตลาดหุ้นไทยขึ้นมามากทีเดียวเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่ผมดูแลลูกค้าในส่วนของตลาด TFEX เป็นหลัก จึงอยากจะยกสัญญาณที่ผมสังเกตได้จากตลาดนี้มาเล่าเสริมด้วยครับ เรื่องของเรื่องก็คือหากย้อนไปดูช่วง 4 เดือนแรกของปี สังเกตได้ว่านักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาซื้อสุทธิใน SET50 futures เป็นจำนวนมาก เฉลี่ยถึงเกือบ 4 หมื่นสัญญาต่อเดือน ในขณะที่ 3 เดือนถัดจากนั้น (พ.ค.-ก.ค.) ตัวเลขซื้อขายกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเดือนแล้ว ฝรั่งกลับพลิกเป็นขายสุทธิประมาณพันกว่าสัญญาต่อเดือนในช่วงเวลาดังกล่าว แถมด้วยการขายสุทธิใน 2 วันทำการแรกของเดือนสิงหาถึง 4 พันกว่าสัญญา

03081

ทั้งนี้กลุ่มที่ผมคิดว่ามีความเสี่ยงที่จะปรับลดลงมากกว่ากลุ่มอื่นหากตลาดมีการปรับฐานจริงๆ อาจจะเป็นกลุ่มพลังงานครับ เพราะหากลองไปดู performance ย้อนหลังตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิ.ย. จนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่ากลุ่มพลังงานบ้านเรา +1% ในขณะที่น้ำมัน Brent ลงถึง 14%  นัยของผมคือ หากภาพตลาดดูไม่ดีและน้ำมันลงต่อ มีโอกาสที่หุ้นในกลุ่มพลังงาน (ที่อิงกับราคาน้ำมัน) จะลงได้มากกว่าตลาด ในขณะที่หากน้ำมันกลับมาเด้งได้ upside ของกลุ่มนี้ก็อาจจะมีไม่ได้มากครับ.. โชคดีในการลงทุนทุกท่านนะครับ

03082

Fintech กับสาขา (ธนาคาร) ที่หายไป


ปีนี้เป็นปีแรกที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับคำขออนุญาตปิดสาขาธนาคารพาณิชย์มากกว่าขออนุญาตเปิดสาขา อันนี้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสถาบันการเงินที่พยายามจะลดต้นทุนการให้บริการ และแน่นอน เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


ผมเริ่มบทความนี้ด้วยคำกล่าวจาก ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในงานสัมมนา “Positioning Thailand’s FinTech Ecosystem” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 สิ่งที่ผมฉุกคิดได้จากคำกล่าวนี้คือ ระบบสถาบันการเงินไทยน่าจะกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ และหากสถาบันการเงินใดยังไม่ได้ตระหนักถึงความเป็นไปข้อนี้ ก็อาจได้ต่อแถวรายชื่อกับบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่ของโลกอย่าง Kodak Nokia หรือ BlackBerry ที่ต้องถอยหลังลงคลองเพราะปรับตัวช้าเกินไป

ธนาคารในบ้านเรานั้น มีอยู่ 3 แห่งที่เปิดตัวแล้วครับว่ากำลังลงทุนในเรื่องของฟินเทคอย่างจริงจัง ได้แก่ KBANK SCB และ BAY โดยแต่ละแห่งก็มีโมเดลการปรับตัวที่แตกต่างกันไป เช่น การเป็นผู้บ่มเพาะให้ความรู้ (Incubator) จัดหาสถานที่ให้พร้อมทั้งร่วมหุ้นในฟินเทค การร่วมลงทุนในฟินเทคที่มีศักยภาพ (Venture Fund) และให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ หรือ การตั้งบริษัทลูกแยกออกมา (forming Fintech subsidiaries) เพื่อคิดค้นบริการฟินเทคด้วยตนเอง ซึ่งผมเชื่อว่าอีกไม่นานจากนี้แทบทุกธนาคารในบ้านเราจะมีการเปิดตัวในเรื่องนี้ครับ โดยอาจจะเป็นในรูปแบบนี้หรือรูปแบบอื่น เช่น การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับฟินเทค (Business Partnership) หรือซื้อกิจการแล้วควบรวมฟินเทคไปเลย (M&A)

ถึงบรรทัดนี้เพื่อนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงการเงินอาจสงสัยว่าแท้จริงแล้วฟินเทคคืออะไร? มีผลกระทบอย่างมากหรือไงต่อระบบสถาบันการเงินไทยผมถึงต้องนำมาเล่า? ความจริงแล้ว Fintech เป็นคำย่อมาจาก Financial + Technology ครับ ความหมายก็คือเป็นกลุ่มธุรกิจเกิดใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำธุรกรรมทางการเงิน คิดค่าธรรมเนียมต่ำกว่าสถาบันการเงิน และดูเหมือนจะให้บริการได้สะดวกรวดเร็วกว่า รูปแบบของฟินเทคนั้นมีมากมายหลายประเภท แต่ที่ดูเหมือนจะแพร่หลายและมีคนทำมากที่สุดในประเทศก็คือที่เกี่ยวข้องกับ การชำระเงิน ซึ่งตรงนี้ไปเกี่ยวโยงถึงแผนงาน National e-Payment ของภาครัฐด้วยครับ (PromptPay ที่เราได้ยินกันก็เป็นหนึ่งในนั้น) โดยกระทรวงการคลังได้ประเมินไว้ว่าหากแผนงานนี้สำเร็จด้วยดีจะสามารถช่วยประหยัดต้นทุนของระบบเศรษฐกิจได้ถึง 7.5 หมื่นล้านบาทต่อปี (ลดต้นทุนการพิมพ์ธนบัตรและใบกำกับภาษี ลดค่าเสียโอกาสในการสำรองเงินสด ฯลฯ) ซึ่งตรงนี้ก็เป็นโจทย์ใหญ่ของสถาบันการเงินครับว่าจะบริหารจัดการกับเทคโนโลยีใหม่นี้ที่กำลังเป็นทั้งภัยคุกคามและโอกาสไปด้วยกันได้อย่างไร

ในด้านของตลาดทุนเองนั้น  บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสถาบันการเงินหลักที่ให้บริการเกี่ยวกับการลงทุนก็คงได้รับผลกระทบเช่นกันครับ เห็นได้จากปัจจุบันมีฟินเทคมากมายที่สร้าง App ให้ความรู้ในการลงทุน รวมถึงจัดหาข้อมูลและวิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยเทคนิคเพื่อสนองต่อนักลงทุนรายย่อย แม้ว่าธุรกิจหลักทรัพย์ในบ้านเรานั้นยังถูกควบคุมค่อนข้างมากทำให้การบริการหลายอย่างฟินเทคยังไม่สามารถแข่งขันได้โดยตรงได้ แต่ในอนาคตเมื่อทางการเห็นว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนก็อาจมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ได้ เพราะฉะนั้นบริษัทหลักทรัพย์เองก็ไม่ควรชะล่าใจครับ

ในแง่ของการลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราควรนำปัจจัยเรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาคิดด้วย เพราะการเกิดขึ้นของฟินเทคนั้น ที่สุดแล้วจะทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ  ที่ธนาคารเคยได้รับเป็นกอบเป็นกำลดลง เช่น ในเรื่องของการโอนเงิน  การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ การให้บริการด้านสินเชื่อและบัตรเครดิต ส่วนตัวผมคิดว่าเราควรจะประเมินให้ชัดว่าหุ้นของสถาบันการเงินที่จะลงทุนนั้นผู้บริหารได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้และมีวิธีในการปรับตัวหรือไม่อย่างไร เพราะขนาดบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง Mckinsey ยังเคยประเมินไว้ว่าธนาคารมีโอกาสที่จะสูญเสียกำไรให้กับฟินเทคถึง 60% และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ การที่จะทำให้ผู้ออมเงินได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็เป็นอีกโจทย์ที่ยาก (คนส่วนใหญ่ของประเทศยังสบายใจกับการฝากเงินในธนาคาร) วิธีช่วยทางหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นที่ธนาคารจะต้องหันมาลดต้นทุนการให้บริการทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของค่าใช้จ่ายการตลาด โฆษณา หรือแม้แต่การปิดสาขาที่ไม่จำเป็นลง ก็ขอเอาใจช่วยทุกฝ่ายนะครับ