Sunday, October 23, 2011

ดินแดนที่ทางใต้ที่ไม่รู้จัก (Aussie?)

สวัสดีครับ... 
เขียนเมื่อ 23 ตุลาคม 2554

บทความครั้งนี้เป็นภาคต่อจาก “รากเหง้าของปัญหา(กรีซ)” ที่ผมได้เขียนไปเมื่อซักสองสัปดาห์ก่อน ผมใช้เวลาอยู่ซักพักในการประดิษฐ์อารมณ์เพื่อที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ที่สะท้อนความเป็นจริงของประเทศเราและ ณ ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ ความวิตกกังวลก็เริ่มเข้ามา สายน้ำที่เชี่ยวกราดจะพัดพาจิตใจที่เข้มแข็งของคนไทยไปจนถึงเมื่อใด บทสุดท้ายของภัยพิบัติครั้งนี้ ใครเล่าที่จะรู้ ผมขอใช้โอกาสนี้พัดพาผู้อ่านทุกท่านไหลทวนกระแสน้ำ ข้ามห้วงเวลา สู่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย

เมื่อซักต้นปีที่ผ่านมา ดินแดนทางใต้ที่ไม่รู้จัก หรือ ออสเตรเลีย ได้ประสบกับวิกฤตที่รุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ “ลานินญา” ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ขนาด 7-8 เมตร พัดโหมเข้าท่วมรัฐควีนส์แลนด์อย่างไม่ปราณี ถนนมากกว่า 300 สายถูกปิด เมืองทั้ง 22 เมืองกลายเป็นเมืองบาดาล เมืองหลวง Brisbane ระดับน้ำขึ้นสูงถึง 4.46 เมตร ประชาชนและสัตว์หนีตายกันจ้าละหวั่น แต่ทันทีที่เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ หรือที่เรียกขานกันว่า “สึนามิบนบก” แพร่กระจายออกไป ผู้คนออสเตรเลียกว่า 5 หมื่นชีวิตก็แห่กันมาลงทะเบียนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ ยังมีที่ไม่ได้ลงทะเบียนอีกเป็นจำนวนมาก จูเลีย กิลลาร์ด นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย ถึงกับกล่าวว่านี่คือปรากฎการณ์ Aussie Spirit

รัฐบาลของกิลลาร์ดตระหนักดีว่า หัวใจหลักในการบูรณะพื้นที่ประสบภัย คือ ต้องรีบก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง ไฟฟ้า หรือประปา โดยรัฐทุ่มงบประมาณสูงถึง 5,600 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (1.7 แสนล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือประชาชนและบูรณะพื้นที่ประสบภัย เงินเหล่านี้มาจากการตัดงบประมาณอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม งบประมาณการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ และได้ยกเว้นภาษีสำหรับประชาชนในที่ประสบภัยเป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังจัดตั้งหน่วยงาน National Diaster Relief and Recovery Arrangements (NDRRA) เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น และได้เลื่อนการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคของรัฐบาลออกไป เพื่อให้คนงานที่มีฝีมือมุ่งตรงไปยังพื้นที่ประสบภัย มีการออกวีซ่าพิเศษที่เรียกว่า Employer-Sponsored Tempory Visa เพื่อดึงคนงานมีฝีมือต่างชาติเข้ามาช่วยเพิ่มขึ้นอีกทาง

กลับมาสู่ปัจจุบัน ประเทศไทย เรามีหน่วยงานจัดการอุทกภัยในประเทศถึง 8 แห่ง คงไม่ต้องกล่าวว่าระบบการจัดการเป็นเช่นไร สิ่งที่ควรทำหลังจากนี้ ไม่ใช่การกล่าวโทษ พาดพิง ถึงใครอื่น เพราะภัยพิบัติครั้งนี้ยังหาได้สิ้นสุดไม่ หากแต่การร่วมมือร่วมใจเพื่อป้องกันและแก้ไขอย่างถูกวิธีนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่พึงกระทำก่อน อยากจะยกตัวอย่างประเทศที่ได้ชื่อว่า มีระบบการป้องกันอุทกภัยที่ดีที่สุดในโลกอย่างเนเธอร์แลนด์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์กังหันลมเพื่อใช้สูบน้ำออกจากทะเลสาบและแม่น้ำต่างๆ เพื่อป้องกันน้ำท่วม เค้าทำอย่างไรทั้งๆที่ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มประกอบกับพื้นที่กว่าครึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล จนที่สุดแล้วกังหันลมก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศควบคู่ไปกับรองเท้าไม้ ที่ชาวดัตช์ใช้สวมใส่เพื่อกันไม่ให้เท้าเปียกน้ำ แต่ด้วยเนื้อหาที่เยอะพอควร และตาผู้อ่านก็คงเริ่มแฉะแล้วกระมัง จึงขออนุญาตพัดพาทุกท่านไปสู่บทสรุปสุดท้ายของบทความนี้ครับ

ถ้าจะสวยหรู ผมคงต้องจบบทความนี้ด้วยคำคมทิ้งท้าย สำนวนชวนขบคิด และปิดท้ายด้วยกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยทุกท่าน แต่ด้วยงานวิจัยที่น่าสนใจของมหาวิทยาลัยแอสตัน ในเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ผมมิอาจข้ามไปได้ เค้ากล่าวว่า ผู้นำที่เรียกได้ว่ายอดคนนั้น จะต้องมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่สมส่วน เพราะเชื่อว่า ท่านเหล่านี้จะใช้ความพยายามในการผลักดันศักยภาพของตนเองให้คนอื่นๆเชื่อถือได้มากกว่า อาทิ รัฐบุรุษวินส์ตัน เชอร์ชิล ผู้นำอังกฤษที่นำพาประเทศชนะฮิตเลอร์มาได้ กษัตริย์เฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษที่แยกตัวออกจากศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกของกรุงโรม และกระทั่งสุดยอดประธานาธิบดีสหรัฐ อย่าง อับราฮัม ลินคอร์น ที่ยกเลิกระบบทาสให้หมดไปจากสังคมอเมริกัน... แล้วผู้นำประเทศคุณ... หน้าตาเป็นเช่นไร?

(Saru) 11:49 AM
Oct 23, 2011 

Monday, October 3, 2011

รากเหง้าของปัญหา (กรีซ)?

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 3 ตุลาคม 2554

กว่าหนึ่งปีแล้วที่เราได้ยินปัญหาเรื่องหนี้สินในยุโรป โดยเฉพาะกรีซ ซึ่งนับวันมีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นัยคืออะไร ปัญหาเริ่มมาจากอะไร ทำไมถึงยังแก้ไม่ได้ซักที วันนี้ผมจะมาสรุปจากบทความที่ได้อ่านมา ให้ฟังกันครับ

เริ่ม จาก "กรีซ" อดีตศูนย์กลางอาณาจักรกรีกโบราณอันยิ่งใหญ่ ประเทศที่เคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป โดยในระหว่างปี 1929 และ 1980 มีอัตราการเติบโต 5.2% ซึ่งสูงที่สุดในโลกขณะนั้น แต่ ณ วันนี้... สถานการณ์พลิกจากหน้ามือเป็นหลัง... กรีซถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาหลักของโลก จุดเริ่มที่แท้จริงของปัญหามาจากรากเหง้าทางการเมือง โดยย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว รัฐบาลกรีซซึ่งประกอบไปด้วย 2 พรรคใหญ่ นั่นคือ พรรคปาซก (PASOK) และพรรคประชาธิปไตยใหม่ (ND) รัฐบาลของพรรคปาซกในปี 1981 ได้ละทิ้งวินัยทางการคลังทั้งหมด และหันไปใช้นโยบายประชานิยมอย่างสุดขั้วเข้ามาเป็นโยบายนำของชาติ ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นค่าแรง ค่าจ้าง การขยายการจ้างงานในหน่วยงานภาครัฐอย่างไม่จำเป็น พร้อมกับเพิ่มสวัสดิการต่างๆ เช่น จ่ายบำนาญให้กับประชาชนก่อนวัยเกษียณ ด้วยเพราะอยากลดความตึงเครียดของสงครามกลางเมืองในสมัยนั้น  และในที่สุดก็นำไปสู่โครงการ "National Popular Unity" เพื่อสร้างแรงซื้อให้กับประชาชน โดยรายได้เฉลี่ยของประชาชนในยุคนั้นเพิ่มขึ้นถึง 26% ในระยะเวลา 10 ปี  แต่หารู้ไม่ว่าทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้นำไปสู่การสะสมหนี้สาธารณะให้พอก พูน พร้อมๆกับการขาดดุลงบประมาณอย่างหนักหนาสาหัสของรัฐบาลในยุคต่อๆมา 


แม้ว่าหลังจากนั้น พรรคเอนดีได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล และได้เน้นนโยบายเพื่อปลดปล่อยเศรษฐกิจของชาติจากการถูกนำไปใช้เป็นเครื่อง มือของราชการและการเมือง และได้นำนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจมาใช้ เพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนอันเป็นผลพวงมาจากการดำเนินนโยบายประชานิยม การตัดลดรายจ่ายของรัฐบาลอย่างแข็งขัน พร้อมกับปฏิรูปข้าราชการอย่างจริงจัง แต่ในที่สุดกลับถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนชาวกรีซ และในที่สุดรัฐบาลก็พบกับจุดจบ พรรคปาซกได้กลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับนโยบายประชานิยมอันเป็นที่โปรดปราน การนำเศรษฐกิจกรีซเข้าสู่การเป็นสมัยใหม่ (Modernisation) เพื่อจะได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพการเงินแห่งยุโรป (อีเอ็มยู) มีการเพิ่มค่าแรงและค่าจ้าง ทำให้ในที่สุดพรรคเอ็นดีที่เคยมุ่งแก้ปัญหาเรื่องหนี้ ก็ต้องนำนโยบายประชานิยมมาใช้ เพื่อแข่งขันในการเลือกตั้ง ยิ่งทำให้กรีซเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางการคลังเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จาก ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลกรีซเก็บภาษีต่อคนต่อปีได้ที่ 8,300 ยูโร แต่ประชาชนได้รับสวัสดิการสังคมมากถึง 1.06 หมื่นยูโรต่อคนต่อปี

นอกจากเรื่องการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดแล้ว รัฐบาลกรีซยังละเลยการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งนำไปสู่การคอร์รัปชัน และการหลีกหนีภาษี ซึ่งทำให้กรีซต้องสูญรายได้ถึง 2-3 หมื่นล้านต่อปี ยกตัวอย่างเช่น สระว่ายน้ำ ที่เป็นดัชนีวัดความหรูหราของคนกรีซนั้น ในปี 2009 มีผู้เสียภาษีเพียง 364 คน ทั้งๆที่กรุงเอเธนส์มีบ้านถึง 16,974 หลังที่มีสระว่ายน้ำ


จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นได้สะสมนับ สิบๆปี ประชาชนชาวกรีซนั้นเสพติดนโยบายประชานิยมจนเคยชิน ซึ่งปัญหาหลักจริงๆแล้วไม่ได้อยู่ที่เศรษฐกิจ แต่อยู่ที่ "การเมือง" ที่แต่ละพรรคต่างฝ่ายต่างงัดนโยบายประชานิยมมาใช้ เพื่อให้ได้ชนะการเลือกตั้ง และนิสัยของประชาชนที่ใช้จ่ายจนเคยชิน เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะมีการให้เงินช่วยเหลือซักเท่าไร ผมก็เชื่อว่าก็เป็นการแก้ที่ปลายเหตุเท่านั้น บรรเทาความเจ็บปวดได้นิดๆ แต่บาดแผลที่ลึก ไม่มีทางหายง่ายๆ เพราะรากเหง้าที่แท้จริงยังไม่ได้ถูกแก้... แล้วไว้ถ้ามีโอกาส ผมจะมาเล่าต่อถึงสถานะทางการคลังของกรีซ หนทางที่เหลือให้กรีซเดิน และแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่ามีจริงหรือไม่? ติดตามตอนต่อไปครับ จะว่าไป... ผมรู้สึกตงิดๆ ว่าคล้ายๆกับอะไรรึป่าว... ก็ได้แต่หวังว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยครับ เพราะเราได้เห็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว ว่าแต่คุณ... รู้สึกเหมือนกันมั้ย?

Saturday, July 30, 2011

เพดานหนี้ นี้ใครครอง? (Democrat or Republican)

สวัสดีครับ ช่วงนี้นักลงทุนหลายท่านที่ติดตามสภาพเศรษฐกิจโลก คงได้ยินข่าวเรื่องการปรับเพดานหนี้ของสหรัฐกันหนาหูเชียว แต่รู้กันหรือไม่ว่าจริงๆแล้วเพดานหนี้ของสหรัฐ หรือ US Debt ceiling นั้น เค้ากำหนดไว้เท่าไหร่ และมีรายละเอียดอย่างไร วันนี้จะมาเล่าให้ฟังคร่าวๆกันครับ

USA มีเพดานหนี้ หรือเรียกว่า วงเงินที่สามารถก่อหนี้ได้ (เหมือนวงเงินบัตรเครดิตอะครับ) อยู่ที่ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 443 ล้านล้านบาท พูดง่ายๆว่า USA สามารถก่อหนี้ได้ถึง 50 เท่าของ GDP ประเทศไทยเลยทีเดียว (สูงโฮกๆ) ซึ่งตอนนี้พี่เมกา ก็ใช้เงินเต็มวงเงินแล้วละครับ ซึ่งถ้าสภาคองเกรสไม่ยอมแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มเพดานหนี้ขึ้นไป มันก็คล้ายกับเราใช้วงเงินบัตรเครดิตเต็มแล้ว ไม่มีตังจ่าย แล้วจะทำไงต่อไปละ...

จริงๆแล้ว USA เพิ่มเพดานหนี้มานานแล้วละครับ ตั้งแต่ปี 1980 โดยขึ้นหนักๆในยุคของ เรแกน (17ครั้ง), คลินตัน (4ครั้ง), บุช (7ครั้ง) และล่าสุดถ้าครั้งนี้ขึ้นอีก ก็เป็นครั้งที่ 4 ในสมัยของโอบามาครับ


แล้วทำไมจะต้องมาเถียงกันด้วยว่าเพิ่มไม่เพิ่ม เพราะสุดท้ายแล้วก็ประเทศเดียวกัน? 
คืองี้ครับ เรื่องมันก็คล้ายๆกับบ้านเรานั่นแหละ ไม่พ้นเรื่องการเมือง เพราะสองพรรคของเมกาต่างก็จะอยากจะปกป้องฐานเสียงของตัวเองไว้ โดย Democrat ต้องการขึ้นภาษีคนรวย แต่ Republican ไม่ยอมเพราะจะไปกระทบฐานเสียงส่วนใหญ่ของเขาซึ่งก็คือคนรวย เลยบอกว่า ทำไมไม่ไปไปลดเงินเดือน ลดค่าใช้จ่าย ลดสวัสดิการสังคมแทนละ Democrat ก็ไม่ยอมอีกเพราะไปกระทบชนชั้นกลางที่เป็นฐานเสียงใหญ่ของเขา และก็เป็นอย่างนี้มาทุกยุคสมัย ที่ 2 พรรคนี้ต้องต่อรองกันก่อนเพิ่มเพดานหนี้ เพราะถ้าไม่เพิ่มก็จะจ่ายเงินบำนาญไม่ครบ ทั้งเงินเดือนลูกจ้างรัฐ, การจ่ายสวัสดิการทหารผ่านศึก และค่ารักษาพยาบาลก็ลดลง ต้องไปลดงบประมาณ FBI หรือ CIA รวมถึงเลิก Food Stamp และอื่นๆอีกมากมาย

ถ้าเพิ่มเพดานหนี้ได้ แล้วไงต่อละ?

คำตอบคือช่วงแรกบรรยากาศจะดูดีขึ้นครับ เพราะอเมริกาไม่ต้องขึ้นชื่อว่าผิดนัดชำระหนี้ (ลองคิดดูว่าถ้าประเทศที่ Rating สูงที่สุดในโลกอย่างอเมริกายังผิดนัดชำระหนี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับประเทศอื่นละครับ) แต่ในระยะกลางถึงระยะยาวแล้ว ผมเชื่อว่าปัญหายังคงอยู่ ถ้ารัฐสภาสหรัฐยังไม่ปรับปรุงลดรายจ่ายต่างๆ ลง และเพิ่มอัตราภาษีบางอย่างขึ้น มันก็แค่แก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้นครับ เหมือนจ่ายหนี้บัตรเครดิตด้วยการไปเปิดใช้บัตรใหม่แล้วกดเบิกเงินสดล่วงหน้าจากบัตรใหม่เอาไปจ่ายชำระหนี้บัตรเก่า ผ่านไปอีกพักก็จะแย่อีก และยิ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐโตไม่เร็วพอ ซึ่งก็คือไม่สามารถเพิ่มรายได้ได้ทันค่าใช้จ่าย หรือจะแก้เรื่องนี้ ก็ต้องให้ได้ดุลด้วยการลดค่าใช้จ่ายลง 40% (คิดจาก 1 ดอลลาร์ที่สหรัฐใช้ เกิดจากการกู้ 40%) ซึ่งทำอย่างนั้นก็จะกระทบเศรษฐกิจอย่างหนัก เพราะคนจะยิ่งไม่มีเงินไปใช้จ่าย ธุรกิจก็แย่ลง อัตราการว่างงานก็เพิ่มขึ้น ธุรกิจก็ซบเซา คนก็ตกงานเพิ่มขึ้นอีก... วนเวียนกันอยู่อย่างนี้

แล้วขึ้นหรือไม่ขึ้น Debt Ceiling มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไร?
ประเด็นนี้ผมว่าคนพูดเยอะแล้วครับ ไม่พูดถึงดีกว่า ไม่ตื่นเต้น...

Tuesday, May 10, 2011

บทเรียนของหุ้น P/E สูง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 พฤษภาคม 2554

เมื่อไม่นานมานี้มีหุ้นตัวหนึ่งซึ่งผมติดตามมาได้ซักพักแล้ว ราคาลงมาจนน่าใจหาย (จนถึง Floor) ภายในเวลาไม่นาน ซึ่งอาการแบบนี้ของหุ้นตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และทุกครั้งที่เกิดก็ได้ทำให้นักลงทุนหลายท่านเจ็บหนักไปตามๆกัน

มาย้อนดูประวัติหุ้นตัวนี้ซักเล็กน้อยครับ พบว่าราคาหุ้นได้ขึ้นมามากกว่า 5-6 เท่าในระยะเวลาเพียงปีเศษๆ นี่ไม่ใช่เฉพาะราคาที่ปรับตัวขึ้น แต่ปริมาณการซื้อขายก็สูงขึ้นเป็นร้อยหรือเป็นพันล้านบาทต่อวันด้วย ทั้งๆที่ไม่ใช่หุ้นขนาดใหญ่ ด้วยเหตุผลที่เชื่อว่า รายได้หลักของบริษัทจากธุรกิจให้บริการอินเตอร์เนตจะเติบโตขึ้นมากใน 4-5 ปีข้างหน้า เพราะหากย้อนไปดูข้อมูลจำนวนผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตในประเทศไทย (Penetration Rate) ก็พบว่าต่ำเพียง 26.3%  ซึ่งต่ำกว่าประเทศที่มี GDP per Capita ใกล้เคียงกับเรา เช่น เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ประเทศที่แนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตไม่ต่างกับเรา อย่างไต้หวันหรือมาเลเซียนั้น Penetration Rate ก็อยู่สูงกว่า 60% หรือแม้แต่ในประเทศพัฒนาแล้วก็เฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 70% ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอินเตอร์เนตในระยะยาวนั้น มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นสาธารณูปโภคสำคัญในชีวิตประจำวันของเราเสียแล้วครับ... นอกจากนี้อาจจจะอยู่ที่กลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทก็เป็นได้ หลังจากที่สามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานในเรื่องหนี้สินหรือขาดทุนสะสมเก่า บริษัทก็ได้ดำเนินการวางกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ การเข้าสู่ธุรกิจบรอดแบนด์อินเตอร์เนตนั่นเองครับ ด้วยเห็นว่าธุรกิจนี้จะเป็นโอกาสทองในอนาคต จนกว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีไร้สาย 3G จะเป็นจริง ซึ่งบริษัทก็อาจต้องเพิ่มกลยุทธ์อื่นๆเข้ามาต่อไป ด้วยเหตุผลคร่าวๆ ที่กล่าวมาทำให้นักลงทุนหลายท่านเชื่อว่าบริษัทที่ว่านี้จะมีแนวโน้มเติบโตที่ดีในระยะยาว หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น Growth company แต่อย่าลืมว่าราคาหุ้นอาจจะไม่ได้ถูกแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นหากเราไม่ไ้ด้เข้าใจในธุรกิจหรือบริษัทนั้นอย่างถ่องแท้ ทุกครั้งที่คิดจะซื้อหุ้น อย่างน้อยก็ควรดูค่า P/E, P/BV ไว้บ้าง แล้วเราอาจจะตัดสินใจใหม่ได้ว่าจะซื้อหุ้นตัวนั้นหรือไม่ ถ้าพบว่าบริษัทนี้ดีจริงๆ แต่ราคาหุ้นหรือ P/E สูงไป (สูงหรือไม่ลองเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น หรือเฉลี่ยย้อนหลังซัก 5 ปีของบริษัทก็ได้ครับ) ก็รอครับ ไม่ต้องรีบ ยังมีหุ้นดีๆในตลาดให้เลือกอีกมาก
สุดท้ายนี้ผมยกคำพูดของดร.นิเวศน์ ที่เขียนถึงหุ้นกลุ่มหนึ่งไว้ว่า "หุ้นพวกนั้นเป็นตัวอย่างของการแสดงอยู่บนเวที” นั่นคือราคาหุ้นกำลังดีดตัวถึงขีดสุด กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น ปริมาณการซื้อขายหุ้นติดอันดับสูงสุดสิบอันดับเป็นว่าเล่นทั้งที่ไม่ใช่เป็นหุ้นตัวใหญ่ นักลงทุนหลายคนก็เข้าไปซื้อด้วยมีนักลงทุนรายใหญ่บอกมา และหวังว่าราคาจะขึ้นไปได้อีกไกล อีกทั้งนักวิเคราะห์หลายแห่งก็ปรับเป้าขึ้น(ตามราคาหุ้นที่ขึ้นไปแล้ว)อย่างจ้าละหวั่น ซึ่งเราคงต้องรอดูกันต่อไปครับว่าราคาหุ้นจะเป็นเช่นไรหลังจาก “จบการแสดง”