Tuesday, January 29, 2013

เรื่องของความรู้สึกดีๆ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 30 มกราคม 2556 

สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องบอกว่าไม่รู้จะจับตาอะไรดี เพราะจับไปยายก็ว่า.. เย้ยย! เพราะจับไปหุ้นไทยก็ขึ้นเอาๆ โดยเฉพาะหุ้นธนาคารกรุงเทพที่ขึ้นแบบทะยานฟ้าไปปิดที่ 212 บาทเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ห่างจากจุดสูงสุดเดิมเมื่อปี 1996 แค่ 48 บาท..  เพราะเห็นเค้าว่ามีโบรกต่างชาติรายหนึ่งอัพเกรดโดยให้เหตุผลว่า P/BV ยังถูก และจะเติบโตไปพร้อมกับการใช้จ่ายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ต่างจากบางธนาคารที่ยึดลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก.. อ่ะจริงดิ (+ +) อ๊ะ อ๊ะ นั่นอะไร!? ผมหันขวาไปพร้อมกับพบกับวารสารเล่มบางนามว่า Thai Investors’ Watch.. เนื้อหาสาระกำลังดี แถมแจกฟรีให้ถึงที่ทำงานแบบนี้ต้องขอเบิ่งซักกะหน่อย.. กระต๊าก! เปิดไปเจอคอลัมภ์ท่านปรมาจารย์นิเวศน์ ท่านเตือนว่า..

การลงทุนในตลาดหุ้นปีงู 2556 ไม่ใช่เรื่องง่าย นักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังและคิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงทุน เพราะแม้ทุกอย่างจะดูดี แต่ราคาหุ้นได้มีการปรับตัวขึ้นไปมาก ทำให้การลงทุนก็คงค่อนข้างลำบาก ที่หวังจะซื้อหุ้นในราคาถูกๆคงเป็นเรื่องยาก เพราะโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงคงเป็นไปได้น้อย

การบริโภคภายในประเทศ การลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายของภาครัฐในโครงการใหญ่ๆ จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ตลาดหุ้นบูมขึ้นมาได้ อาจมี Over Value ตลาดหุ้นอาจจะมีการดีดตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย เพราะการขึ้นของตลาดไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกดีๆ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องระวัง

ผมขออนุญาตตัดมาให้อ่านเนื้อๆ ดัง 2 ประเด็นด้านบน และขอสรุปประเด็นสุดท้ายที่ท่านปรมาจารย์เน้นว่าต้องระวังในปีนี้ก็คือ หุ้นกลุ่มใดก็ตามที่อิงกับต่างประเทศมากๆ โดยหลักๆ จะมีอยู่ 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มบริษัทที่ค้าขายกับต่างประเทศ เช่น ธุรกิจส่งออก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวดีอาจมีแรงกระแทกต่อเนื่อง และ 2. กลุ่มที่นักลงทุนต่างประเทศช้อบชอบ เพราะแม้จะไม่เกี่ยวกับต่างประเทศโดยตรง แต่วัยรุ่นชาวไทยต้องระวัง เพราะหากเค้าถอนเงินไปเมื่อไหร่.. พื้นฐานก็พื้นฐานเถอะครับ ระยะสั้นหุ้นก็ถูกกระซวกได้เหมือนกัน.. สวัสดี 

Wednesday, January 23, 2013

เพราะมันมีจังหวะของมัน

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 23 มกราคม 2556
 
“Brokers must suggest how to invest in a risky stock rather than only suggest to invest” นิเป็นคำเตือนจากกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ จรัมพร โชติกเสถียร เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาท่ามกลางตลาดที่มีหุ้นมากกว่า 60 ตัวที่ P/E ทะลุ 40 เท่า.. กระต๊าก! ซึ่งหุ้นพวกนี้แหละที่เป็นตัวการสำคัญในการทำให้ SET Index สูงแล้วสูงอีกสูงปรู๊ดๆในช่วงต้นปีที่ผ่านมา.. ลองเบิ่งรูปนี้ครับ จะเห็นภาพชัดขึ้นว่าเจ้าหุ้นนอก SET100 มีสัดส่วนการซื้อขายมากขึ้นเท่าไร


นขณะที่ มูลค่าการซื้อขายก็ขึ้นจี๊ดถึงใจนะไม่แพ้กันนะฮะ.. เฉลี่ยอยู่ที่ราว 5.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน เทียบกับปีที่แล้วแค่ 3.1 หมื่นล้านเท่านั้น.. มะ มะ แม่เจ้า.. อย่ากระนั้นเลย พ่อหนุ่ม.. ว่าแต่ค่าเงินบาทช่วงนี้ทำไมท่านช่างแข็งโป๊ะเยี่ยงนี้ (- -) หวังว่าท่านเหล่าเซียนในแบงก์ชาติคงจะไม่ทำอะไรตื่นเต้ลเหมือนเมื่อปลายปี 2549 ที่จัดหนักจัดมาตรการกันสำรอง 30% สำหรับเงินทุนต่างชาติอีกนะขอรับ (ช่วงนั้นเงินบาทก็แข็งค่าราว 4% จาก 36.5 เป็น 35.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐใน 1เดือน).. นึกแล้วก็เสียว เพราะหุ้นไทยลงจี๊ดถึงใจทันทีในช่วงเช้าวันที่ 18 ธ.ค. 49 ถึง 108 จุด หรือ 14.84% และ market cap หายวับไปกับสี่ตา 8.6 แสนล้านบาททันทีที่ทราบข่าว ก่อนที่มาตรการนี้จะถูกยกเลิกอย่างด่วนในเวลาถัดมา.. ฮ่าๆ ยังไม่ต้องตกใจนะครับพี่น้อง.. แม้สถานการณ์ตอนนี้จะมีบางอย่างคล้ายกัน เงินไหลเข้ามามากเหมือนกัน.. แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ต่างกัน โดยเฉพาะผู้กุมบังเหียนนโยบายการเงินที่เป็นคนละท่านกัน.. ศึกษาอดีตไว้เรียนรู้ เพราะมันมีจังหวะของมัน แต่ (ผมว่า) ไม่ซ้ำรอยหรอกนะ.. History doesn’t repeat itself, but it does rhyme.


สุดท้ายอยากฝากคำคมเจ๋งๆจากพี่เคี้ยว พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา CIO บลจ.บัวหลวงที่พูดเมื่องานสัมมนาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาครับว่า “Be bullish in bull market” อย่าไปกลัว แต่ให้ลงทุนอย่างระมัดระวังและรอบคอบ” Good luck ครับ


Tuesday, January 22, 2013

การโยกย้ายทองคำครั้งใหญ่

สวัสดีครับ,

ข้อมูลนี้ผมนำจากผู้จัดการออนไลน์ครับ.. เห็นว่าเป็นประโยชน์จึงขออนุญาตนำมาลงบล็อกเพื่อเก็บไว้ทบทวนเอง และแบ่งปันให้กับเพื่อนๆที่ยังไม่ได้อ่าน.. ขอขอบคุณผู้เผยแพร่ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับผม


• อินเดียขึ้นภาษีนำเข้าทอง 2% สู่ 6% เพื่อจำกัดการซื้อทอง และควบคุมยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูง อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าอุปสงค์ทองในอินเดียอาจลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะอุปสงค์ทองได้รับแรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง

• ธ.กลางเยอรมนี ประกาศแผนดึงทองคำสำรองปริมาณมหาศาลถึง 674 ตัน กลับมาไว้ในประเทศ โดยจะถอนออกจาก FED สาขานิวยอร์ก 300 ตัน และถอนจากธนาคารกลางฝรั่งเศสในกรุงปารีส 374 ตัน รวมมูลค่าสูงถึง 36,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.07 ล้านล้านบาท) คิดเป็นกว่า 1/ 5 ของทองคำสำรองทั้งหมดของเยอรมนี โดย โมริตซ์ เอากุสต์ ราช โฆษกของบุนเดสบังก์ (ธนาคารกลางเยอรมนี) ระบุว่า จำเป็นต้องถอนกลับคืนมาด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำเป็นต้องปกป้องทองคำของเยอรมนีเอาไว้

นับเป็นการโยกย้ายทองคำระหว่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก หลังจากรัฐบาลเยอรมนีในอดีตโดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ต่างมีนโยบายนำทองคำของตนไปฝากไว้ในต่างแดน เพื่อกระจายความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในยุคสงครามเย็น เนื่องจากเกรงว่าทองคำของตนจะถูกสหภาพโซเวียตยึดครอง

ฮันเดิลสบลัตต์ รายงานว่า ขณะนี้ทองคำของเยอรมนี 45% ฝากอยู่กับ FED ขณะที่อีก 13% และ 11% อยู่กับธนาคารกลางอังกฤษและฝรั่งเศส เหลือเพียงแค่ 31% เท่านั้นที่เก็บไว้ในสำนักงานใหญ่ของบุนเดสบังก์ในนครแฟรงก์เฟิร์ต โดยทองคำทั้งหมดที่ฝากไว้ในฝรั่งเศสจะเป็นส่วนแรกที่รัฐบาลเยอรมนีต้องดึงกลับมาไว้ในประเทศ ขณะส่วนที่ฝากไว้ในอังกฤษและสหรัฐยังจำเป็นต้องคงอยู่ตามเดิมต่อไปก่อนอีกระยะหนึ่งเพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ธนาคารกลางเยอรมนี ถือครองทองคำสำรองรายใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ โดยมีปริมาณทองคำในความครอบครองกว่า 3,396.3 ตันเมื่อสิ้นปี 2554 คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 133,000 ล้านยูโร (ราว 5.3 ล้านล้านบาท) และเคยถอนทองคำล็อตใหญ่ปริมาณกว่า 850 ตันที่ฝากไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษมาแล้วเช่นกันในช่วงปีค.ศ.1998-2001 ท่ามกลางข่าวลือในขณะนั้นว่าวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียที่เริ่มต้นในประเทศไทยเมื่อปี 1997 อาจลามมาถึงยุโรป

Monday, January 21, 2013

Be Bullish in Bull Market

สวัสดีครับ,

เนื่องจากผมเห็นว่าบทความของพี่ตู่ วรวรรณ ธาราภูมิ ที่สรุปประเด็นที่พี่เคี้ยว CIO บลจ.บัวหลวงพูดในงานสัมมนาเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมาน่าสนใจ และคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนทุกท่านเป็นอย่างดี.. จึงขออนุญาตนำมาลงในบล็อกเพื่อเก็บไว้ทบทวนเอง และแบ่งปันให้นักลงทุนบางท่านที่ยังไม่ได้อ่าน.. ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับผม


สุดยอดของความรู้คู่ความบันเทิงแล้ว เป็นมิติใหม่ของ Investment Seminar 
ขอบคุณทุกคนที่อยู่เบื้องหสังและเบื้ิ้องหน้า 

พี่เคี้ยว CIO กองทุนบัวหลวง (สรุปความโดยคุณวรวรรณ ธาราภูมิ)
-------------------------------

เน้นเรื่องการแสวงหาและคัดเลือกหุ้นที่เป็น Stars เป็น Growth Stocks ภายใต้ Theme การลงทุนที่เห็นข้างหน้าในอนาคต

เรื่อง QE เรื่องเงินต่างชาติที่เข้าๆ ออกๆ ซึ่งคล้ายๆ เงินร้อนจากต่างชาติทำตัวเป็นเจ้ามือตลาดหุ้นไปทั่วโลกนั้น พี่เคี้ยวบอกว่า “เจ้ามือตัวจริงคือ กำไรหุ้น ไม่ใช่เจ้ามืออย่างรัฐบาลและธนาคารกลางทั้งหลาย” หมายความว่า ผลกำไรของบริษัทที่เราลงทุนจะเป็นตัวตัดสินคุณค่าและราคาหุ้นในระยะยาว ไม่ใช่ข่าวที่จะรบกวนเราไปตลอดเส้นทางลงทุนเหมือนละครภาคดึกที่มีฉายให้ดูทุกวันอย่างเรื่องเพดานหนี้ในอเมริกา อย่างเรื่องปัญหาของยุโรป ที่จะมากวนเป็นระยะๆ

นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกประเทศ แม้จะกระทบได้ทั้งบวกและลบในระยะสั้น แต่มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศเลย แบบว่ายังต้องขับรถส่งลูกไปโรงเรียนทุกวัน ยังต้องกิน ต้องใช้ ดังนั้น Thinking Process จึงสำคัญที่สุด เราหา Theme ลงทุน คือหาวงจรแห่งความรุ่งเรือง แล้วกำหนด Trend ของ Theme

Theme ในวันนี้คือ Urbanization ซึ่งจะได้รับผลดีจากการที่เมืองขยาย ทำให้คน ตจว. มีเงินมากขึ้น ทำให้การบริโภคภายในประเทศไปได้อีกมาก

หลังจากนั้น เราจึงไปแสวงหาบริษัทที่จะได้รับผลดีจาก Theme นั้น หรือที่เรียกว่า Bottom up ซึ่งเราหาหุ้นโดยไม่ได้วิเคราะห์เฉพาะเชิงปริมาณหรือดูแค่ตัวเลขผลการดำเนินงาน แต่เราดูคุณภาพด้วย

เราไม่ได้ซื้อเพราะแค่ดูตัวเลขสวยๆ แต่ใช้รูปแบบของ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ที่ออกไปเสาะหาข้อเท็จจริงของธุรกิจ สืบค้น พูดคุยกับแหล่งข้อมูล เช่น คู่แข่ง ซัพพลายเออร์ ลูกค้า เพื่อที่จะดูให้ลึกลงไปว่าการดำเนินงานของบริษัทที่แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร

นอกจากนี้ ค่ายกองทุนบัวหลวง ไม่ได้ผูกตัวเองกับการเอาชนะตลาด ไม่ได้ตั้งเป้าเอาชนะคู่แข่ง ไม่ได้มุ่งให้ผลงานกองทุนชนะดัชนีตลาดหุ้น แต่เรามุ่งไปที่การหาหุ้นที่จะเป็นผู้ชนะ

จินตนาการที่จะบรรลุได้ ไม่ใช่แบบโบรกเกอร์ที่ขยับราคาไปเรื่อยๆ ในขณะที่เรามองไปแล้วตั้งแต่ต้น

ไวน์ชั้นดีเดิมคือไวน์จาก Old world เช่นของฝรั่งเศส แต่เดี๋ยวนี้เรามีไวน์ดีๆ จาก New World แล้ว ไทยก็มีบริษัทดีๆ ที่คล้ายๆ กับไวน์ดีๆ จาก New World ให้คนเลือกลงทุนได้ เรามอง AEC เป็นโอกาสมาก โดยต่อยอดเรื่องเดินทาง ขายของเพื่อนบ้าน Medical Tourism

เราให้ความสำคัญในเรื่อง Brand Image ของหุ้นที่เราสนใจจะลงทุน โดยเป็นบริษัทที่มีสินค้าและบริการที่ติดตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน แต่ไม่จำกัดว่าเฉพาะอาเซียน ซึ่งเรื่องอย่างนี้ Brand Image เป็นสิ่งสำคัญ และสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีรายได้มากขึ้น ก็เลือกสินค้าและบริการที่มี Image ดีมากขึ้น

พี่เคี้ยวยกตัวอย่างว่าที่พัทยาเดิมมีป้ายภาษาไทยกับอังกฤษ เดี๋ยวนี้มึคำเตือนภาษาจีน ภาษารัสเซีย แล้ว นอกจากนี้ การท่องเที่ยวไทยยังรู้จักใช้ดาราไทยไปดึงดูดคนจีน โปรโมท สำเร็จจนไฟลท์บินเดือน ธค เต็ม

ด้านการลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาใน Real Sectors ไทยนั้น ก็ขึ้นเยอะ เช่น ญี่ปุ่น ที่มาเร็ว มาจริง

ในปี 2555 ทีมจัดการกองทุนบัวหลวง เรียก Theme ที่ใช้ด้วยชื่อที่จำได้ง่ายๆ ว่า “บินแหลก แ_กไม่อั้น ซึ่งหมายถึงกิจการที่เกี่ยวกับการเดินทางทางอากาศ และการบริโภค

สำหรับปีนี้ เราก็ยัง “บินแหลก แ_กไม่อั้น” ต่อจากปีก่อน และเพิ่มด้วยประโยคที่ว่า “Light up your life, protect your assets.

“Light up your life” หมายถึงชีวิตที่สุขสำราญ สว่างไสว ไฟฟ้า เดินทางท่องเที่ยว ปลดปล่อย บันเทิง สวยขึ้น แต่งตัว Entertainment

ส่วน “Protect your assets” มีสองความหมาย อย่างแรกหมายถึงผู้คนจะเริ่มคิดถึงการปกป้องคุ้มครองตนและครอบครัวมากขึ้น เช่น ทำประกันชีวิต สุขภาพ รถ และในอีกแง่หนึ่งสำหรับการบริหารพอร์ตกองทุนของเรา เราจะปกป้องพอร์ตกองทุน และ Defensive มากขึ้น

สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงวิชาการและตัวเลขเท่านั้นที่จะทำให้เลือกลงทุนได้สำเร็จ จินตนาการเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้บรรลุได้ แต่ไม่ใช่จินตนาการลมๆ แล้งๆ ในขณะที่เรามองเห็นราคาหุ้นในอนาคตว่าน่าจะไปได้ถึงแค่ไหน เราก็ยึดเป้าหมายไว้ตรงนั้นตั้งแต่เราเริ่มลงทุน ซึ่งต่างกับโบรกเกอร์ที่ขยับราคาหุ้นไปเรื่อยๆ

นอกจากนี้ เรายังพบว่ามีระดับ CIO กองทุนต่างประเทศจำนวนมากที่ติดต่อขอมาพบเรา มาพบคู่แข่งเรา และไปเยี่ยมชมกิจการต่างๆ ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย นี่ยิ่งยืนยันได้ถึงกระแสตะวันออกและเอเชียมาแรง โดยเฉพาะอาเซียน เพราะเดิมนั้น ตัวใหญ่ๆ แบบนี้ไม่มีมาด้วยตนเอง ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ใช่เงินร้อน เป็นกลุ่มที่ลงทุนได้นาน

สำหรับเงินร้อนช่วงสั้นๆ นั้น Currency War กำลังเป็น issue และจะเกิด yen carry trade ยังมี Fund flow เข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่อง

สำหรับการลงทุนใน AEC นั้น ทีมจัดการกองทุนของเรามีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว รอให้ Operation ด้านชำระราคาและส่งมอบของตลาดหลักทรัพย์ฯ กับโบรกเกอร์เรียบร้อยก่อน โดยเราแบ่งนักวิจัยเราให้ดูกิจการในประเทศต่างๆ ครบถ้วน

ท้ายสุด พี่เคี้ยวบอกว่า....

“Be bullish in bull market”

"อย่าไปกลัว แต่ให้ลงทุนอย่างระมัดระวังและรอบคอบ"
 

Wednesday, January 16, 2013

ไร้เทียมทาน

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 16 มกราคม 2556

หลังจากที่เชียร์ตลาดหุ้นไทยให้สู้ต่อไปนะทาเคชิเมื่อสัปดาห์ก่อน ผลปรากฎว่าสู้จริงๆครับ.. ดัชนีลงพรวดพราดไปราว 20 จุดเมื่อวันพฤหัสที่ 11 (อ่าว) และต่อเนื่องด้วยการทำจุดต่ำสุดในรอบปีที่ 1392.61 (เสียวดีแท้).. แต่ด้วยพลังสภาพคล่องสะท้านฟ้าของผู้ใดก็ไม่ฮู้ เจ้า SET กลับขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 16 ปีที่ 1432.21 เมื่อวานนี้ได้เฉยเลย.. อะเจ้ย! ที่น่าแปลกก็คือ Futures เจ้า S50H13 กลับไม่ทำ New high ใหม่ตามแฮะ.. จุดสูงสุดยังค้างเป้งอยู่ที่ 965.2 (เมื่อตอนที่ SET อยู่ที่ 1429.21 จุดเมื่อวันพฤหัสที่แล้ว) ตรงนี้บอกอะไร? บอกว่าความเสียวมันเริ่มมากขึ้นแล้วนะซิครับ.. เท่าที่ผมจำความได้ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา.. เจ้า Futures มันนำ SET50 อยู่ตลอดนะ ไหงช่วงนี้ทำตัวกลับไปกลับมาเดี๋ยวนำเดี๋ยวตาม แปลกๆแม่งๆพิกล.. แต่ไม่เป็นไร นักวิเคราะห์เค้าว่า Growth ยังดี หุ้นรายตัวยังมี.. ให้เลือกสรรค์ เลือกกันไปละกัน

งวดนี้มาสั้นๆกระฉับฉับไว.. ขอฝากกระซิบปิดท้ายเอาไว้ว่าท่านดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กูรูหุ้นมือหนึ่งของไทยมองว่าถ้าเปรียบตลาดหุ้นเป็นงานเลี้ยง ตอนนี้ก็เป็นเวลา 5 ทุ่มของงาน.. ทุกคนเฮฮาโย้วเย้ ดีใจวัยรุ่น กระตุ้นกำลังมันส์นะ.. แต่! หากใครอยู่ตอนปิดงาน.. ก็จ่ายตังค์นะคร้าบ อิอิ.. คิดดู ขนาดรายการ Take me out ยังมี Trader ไปออกเลย (ผมนั่งดูยังร้องโอ้โห้ กระโต้โว้) แถมคู่ที่ได้ ยังเป็นนักลงทุนด้วยกันอีก.. กระต๊าก! เอาหน่ะ เข้าใจว่าตอนนี้ตลาดหุ้นกำลังบูม กำลังฮิตสุดๆ.. สิ่งสำคัญคือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราศึกษากิจการที่เราเลือกมาอย่างดี ก็จงหลับสบายในยามราตรี ตื่นขึ้นมาสวัสดีเจอกันวันพุธหน้าอีกทีครับผม


Wednesday, January 9, 2013

เหล่ากูรูแนะให้สู้ต่อไปนะทาเคชิ!

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 9 มกราคม 2556

ปีใหม่ผ่านไปหุ้นไทยก็เหมือนจะสดใสไฉไลกว่าเดิม.. แต่เดี๋ยวก่อน! ลองฟังความเห็นจากเหล่ากูรูว่าเค้ามองภาพเศรษฐกิจจากนี้ไปอย่างไร วันนี้จะมาสรุปประเด็นที่น่าสนใจให้อ่านกันครับ


กูรูดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธปท.
กูรูประสารมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตที่ระดับ 4.6 - 4.7% โดยมีอุปสงค์ในประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อน เช่น จากโครงการรถคันแรกที่มีคนมาขอใช้สิทธิ์ราว 1.2 ล้านคน ได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาลคันละประมาณ 1 แสนบาท ก็เท่ากับว่ามีเงินไหลเข้าระบบ 1.2 แสนล้านบาท.. กระต๊าก! หรือจะเป็นมาตรการปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาจากอัตรา 0-37% ลดลงเป็น 0-35% และเพิ่มความถี่อัตราเงินได้จาก 5 ขั้นเป็น 7 ขั้น ซึ่งผู้มีรายได้น้อยจะได้ลดภาษีมากกว่า.. นโยบายเหล่านี้ถือเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคได้อีกทาง.. รวมทั้งมาตรการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 23% เหลือ 20% ในปี 2556 ก็ถือว่าเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ช่วยลดต้นทุนให้ภาคธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ในระดับหนึ่ง.. นอกจากนี้การลงทุนภาครัฐทั้งโครงการป้องกันน้ำท่วมวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่ดีแม้จะมีความเสี่ยงว่าจะสามารถทำตามแผนได้หรือไม่.. กล่าวโดยสรุป กูรูประสารเชื่อว่าปี 2556 ถือว่าเป็นปีที่การเติบโดค่อนข้างเต็มไปด้วยศักยภาพ แรงส่งยังดี ปรู๊ดๆ จู๊ดๆ.. ท่านจึงมองว่ายังไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการทางการเงินเพื่อกระตุ้นเป็นพิเศษ.. ตอนนี้ยังชิลๆอะน่ะ

กูรูดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ
กูรูกอบมองว่าปัจจัยการเมืองของไทยจะกลับมาเป็นปัจจัยเสี่ยงอีกครั้งในปีนี้.. ประมาณช่วงกลางปี 2556 ต้องจับตามอง เพราะจะส่งผลให้การบริโภค การลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้นต้องชะลอตัวลง.. ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐแม้จะมีความคืบหน้าจากแผนการแก้ฐานะการคลังสหรัฐในเบื้องต้น แต่กูรูเห็นว่าก็แค่เปลี่ยนจากหน้าผาทางการคลังมาเป็น เนินเขาการคลังเท่านั้นนะครับนะ.. ค่อยๆกลิ้งตกลงมา แต่จะตกหลายปี.. โอ้วโน้ว! ส่วนยุโรป (- -) ลำบาก.. เพราะปัญหาจะยาวไป 3-4 ปี เนื่องจากคนสร้างปัญหาเป็นคนเดียวกับคนแก้ซึ่งก็คือรัฐบาล (ก่อหนี้) ต่างจากกรณีของไทยในปี 2540 ที่ทุกอย่างล้มละลายโพละ แต่รัฐบาลสามารถทำหน้าที่ใช้จ่ายได้ (เย้) วันนี้ยุโรปตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่า จะไม่มีใครออกจากยูโร เขาจะกอดคอกันจมน้ำตาย.. ต่อให้กอดคอจมน้ำตาย 17 คน เขาก็ขอกอดคอลักษณะนั้น เพราะเขารู้ว่าไม่ว่าใครออกไปก็ไม่ได้ประโยชน์แม้แต่คนเดียวกูรูกอบกล่าวสรุป

กูรูดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผ.อ.สำนักมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐการเงิน ธปท.
กูรูทรงบอกปีเนี้ยปีงูเล็ก(มะเส็ง)โอเคนะ นิสัยงูน่าจะช่วยเหลือตัวเองได้พอสมควร (^_^) กลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเซียน่าจะขยายตัวได้ต่อ โดยเฉพาะจีน เพราะเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะสนับสนุนการลงทุน การส่งออก และการบริโภคให้ขยายตัว ซึ่งการเติบโตของจีนจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทยด้วย.. ส่วนปัจจัยเสี่ยงในปีนี้ยังเป็นเรื่องเศรษฐกิจโลกและอัตราเงินเฟ้อจากผลกระทบค่าจ้างแรงงาน แต่หากมองย้อนหลังไปเมื่อตอนที่ปรับค่าจ้าง 7 จังหวัด วันที่ 1 เมษ. 2555 ผลกระทบอาจจะยังมีไม่มาก.. อย่างไรก็ดีต้องติดตามต่อเรื่องโครงสร้างพลังงานการปรับราคาก๊าซแอลพีจีว่าจะกระทบต่อเงินเฟ้อมากน้อยแค่ไหน และสุดท้ายคือการขยายตัวของสินเชื่อ

สรุป ตลาดหุ้นไทยที่ระดับ P/E 18.5 เท่า Dividend yield ราว 3% ยังดูเหมือนจะขึ้นได้แบบฝืนๆนะครับนะ.. ก็ Stay calm, stay invested กันต่อไปละกัน.. ทาเคชิ!


Monday, January 7, 2013

The Back of Yellow Shirts

Hello,
Written on Jan 7, 2013

Given the risk of profit-taking by LTF unitholders and the back of a yellow-shirt group, I expect the Thai market to be more volatile and recommend long-position investors locking in some profits starting today. Details are:

The yellow shirts will be rally later this month, maybe on Jan 21, to pressure the government to reject any negative ruling by the international court against Thailand on sovereignty of land around Preah Vihear Temple. It’s the ownership issue that we have battled with Cambodia for a long time. Nowadays, the group is expecting to gather up around 1 million signatures to submit to the Supreme Court president and military leaders. They will also file a lawsuit against the Foreign Ministry at the Criminal Court on Jan 14, accusing the ministry of disseminating false information by saying Thailand could lose the legal battle over ownership of the 4.6-suuare kilometer plot around the ancient Hindu temple.

On the other hand, there was whisper that the BOT would cut its rate by 25 bps on the meeting this Wednesday, currently at 2.75%. I personally don’t think so. Thailand is currently the only country in TIP that the real policy rate is negative (see pic1), and the BOT just made a surprise move late last year (see pic2). Consequently, there is no need to be hurry at the moment, albeit I anticipate another cut later this year.



Wednesday, January 2, 2013

3 More Cliffs to Come‏

Good morning,
Written on Jan 3, 2013

  
For at least the first day of trading, 2013 is providing to be a very good year. Asian stocks including Thailand post strong gains, whilst government bonds in weaker eurozone economies rally as investor appetite for riskier assets rise on the diminished threat of an instant hit to growth in the world’s biggest economy. Nonetheless, while the agreement provides some short-term certainty, it leaves a range of huge issues unaddressed. Here is what’s still ahead:

  • Debt Ceiling: Congress has to raise the debt ceiling soon. Real soon. (Deadline: Late Feb or early Mar)
  • Sequester: The so-called sequester is a series of automatic cuts in federal spending that will reduce the budgets of most agencies and programs by 8% to 10%.(Deadline: Bill will postpone many of the Jan 2 cuts by two months.)
  • Continuing Budget Resolution: The federal government works on a fiscal year that starts every Oct 1. Problem is it has been years since it actually enacted a real budget on time. (Deadline: The current continuing resolution expires on Mar 27.)

Bank of Thailand governor Prasarn also joined analysts in expressing skepticism over legislation approved by the US Congress yesterday. “The US still faces the challenge of coming up with meaningful reforms in the long run. We need to follow the outcome over the next three months to assess the economic impact,” he said.

Market view: I think, for long-term prospect, the SET could eventually climb to 1433 and then 1505 supported by internal and external factors in particular the current government policies, i.e. a cut in corporate income tax, a new personal income tax regime, or the 300-baht daily minimum wage. However, for short-term starting next week, we might encounter selling demand from long-term equity fund (LTF) holders for units bought in 2009 when the SET was around 680 points, which will normally be worth about 25-30 billion baht, and that could hurt the 18.25P/E market till the end of this month. Hence, my strategy is to wait and be prompt to rebuy once the market corrects. Otherwise, just go with the trend.