เขียนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556
สัปดาห์ที่ผ่านมาหยุดยาว.. ไอผมก็นึกว่าไม่มีประเด็นอะไรให้เขียนมากมายเลยกะของยากดูซักหน่อยจัดเรื่องอิตาลีไป แต่ที่ไหนได้แม่เจ้าเปิดมามีประเด็นโผล่โพล่งตรึมเฉยเลยครับ (- -) ไหนจะเรื่องที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐนั่งยันนอนยันว่าจะคงมาตรการ QE ต่อไป (+), เรื่องที่ JPMorgan Chase ยักษ์ใหญ่การเงินระดับโลกกำลังเตรียมระดมทุนราว 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อตั้งกองทุนลงทุนในสินทรัพย์สาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วเอเชียรวมถึงไทย (JPMorgan Asian Infrastructure & Related Resources Opportunity Fund) ข่าวนี้ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกับที่นายกยิ่งลักษณ์ประกาศกร้าวที่ฮ่องกงว่าไทยแลนด์ดีจริงมั่นใจพร้อมลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท (ราว 17% ของ GDP) ซึ่งจะเป็นการลงทุนในโครงการน้ำซัก 3.5 แสนล้านบาท.. นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ก.ล.ต.ขอร้องกระทรวงการคลังให้ยกเว้นภาษีเงินปันผลตลาดหุ้นไทยที่ 10% เนื่องจากมองว่าเป็นการเก็บซ้ำซ้อนกับภาษีเงินได้นิติบุคคล.. และล่าสุดที่ธปท.บอกข่าวดีว่าอาจปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ขึ้นไปอีก (ท่านที่ตามบทความผมสัปดาห์ที่แล้วน่าจะพอเดาได้)
แต่อย่างไรก็ดี ภาพหนึ่งสัปดาห์จากนี้ตลาดคงจะขึ้นได้ยากหน่อยนะครับนะ..
อาจจะเห็นการเล่นรถไฟหมุนตีลังกาแปดสิบตลบเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับหุ้นอเมริกา (ไปกลับ 300 จุด) เมื่อคืนวันจันทร์ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดกำลังหาเหตุผลในการขายทำกำไรระยะสั้น
(Morgan Stanley เพิ่งปรับลดอันดับหุ้นไทยลงเป็น underweight)
โดยครั้งนี้จี้จุดไปที่ปัญหาการเลือกตั้งในอิตาลี..
กูรูบางท่านถึงขนาดพูดว่าตรงนี้อาจทำให้ปัญหายุโรปกลับมาระทุระทวยอีกครั้งได้
มารู้จักอิตาลีกันหน่อย
อิตาลีมีพื้นที่ประมาณ 60% ของไทยครับ.. รูปร่างประเทศเหมือนรองเท้าบู้ท
โดยมีประชากรราว 61 ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในกลุ่มยูโร
รองจากเยอรมันและฝรั่งเศส.. โดยเศรษฐกิจขึ้นกับภาคบริการถึง 3 ใน 4
ปัญหาของอิตาลีสะสมมานานครับ..
เกิดตั้งแต่สมัยที่ยังไม่รวมกลุ่มเป็นยูโรโซน เพราะรัฐบาลใช้ดอกเบี้ยนโยบายสูงเกินควร
ทำให้ต้นทุนการเงินของประเทศสูงเกินจำเป็น (เช่น ในปี 1992 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 5%
แต่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 15%) แม้ว่าปัจจุบันจะมี ECB แล้ว แต่อัตราว่างงานที่สูงถึง 11.2% ของอิตาลีทำให้เศรษฐกิจเติบโตน้อย
อีกทั้งประเทศยังต้องแบกภาระหนี้ที่สูงขึ้นเรื่อยๆจากโครงการต่างๆของภาครัฐ.. โดยล่าสุดหนี้สาธารณะอยู่ที่ราว 121% ของ GDP (สูงเป็นอันดับ 2 ในยูโรโซนรองจากกรีซ)..
ซึ่งตรงนี้ทำให้รัฐบาลต้องเสียเงินงบประมาณไปกับค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเรื่อยๆ เรื่อยๆ
และเรื่อยๆ
ปี 2012 เศรษฐกิจอิตาลีตกต่ำติดลบถึง 2.2% แย่สุดในกลุ่ม G7 ซึ่งปีนี้ก็คงไม่แคล้วที่จะติดลบต่อไป.. ซ้ำร้ายยังมีปัญหาการเมืองอีก.. มองตรงนี้แล้วก็ยิ่งตอกย้ำถึงภาพความถดถอยของยุโรป -/\- และทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจเค้าคงยากที่จะกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกอย่างน้อยในชั่วทศวรรษนี้.. ก็ขอเอาใจช่วยให้เค้าผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายไปได้ในเร็ววันครับ
No comments:
Post a Comment