Wednesday, October 30, 2013

อยู่ในจินตนาการ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2556

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาประเด็นการเมืองก็กลับมากดดันตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ส่งผลให้เจ้า SET50 Index Futures กลับมาอยู่ในโหมด On par หรือ ไม่ใกล้ไม่ไกล จากตัวแม่ซึ่งก็คือ SET50 Index เท่าใดนัก ประกอบกับปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวัน ที่ลดลงเรื่อยๆจนเหลือเพียง 2 หมื่นล้านบาทกว่าๆ น่าจะพอให้ตีความได้ว่า นักลงทุนส่วนใหญ่อยู่เฉยๆ เพื่อรออะไรบางอย่าง และตลาดหุ้นก็ไม่น่าจะขึ้นไปไหนได้ไกล อย่างน้อยก็ในช่วงนี้

เกร็ดความรู้ -- หากลองคิดเล่นๆครับว่า ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ต่อวันเท่าไหร่ที่น่าจะพอเหมาะพอสมกับตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบัน ให้ลองจินตนาการถึงปริมาณที่ทำให้หุ้นทั้งตลาดมีการหมุน (Velocity) ครบซัก 1 รอบพอดีในเวลา 1 ปี ดังนั้น วิธีคิดก็คือ เอา Market cap ของทั้งตลาดหุ้นไทย (ประมาณ 12.7 ล้านล้านบาท) หารด้วยจำนวนวันทำการทั้งหมดใน 1 ปี (ประมาณ 240 วัน) จะได้เท่ากับ 5.3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ฉะนั้นหากปริมาณการซื้อหุ้นต่อวัน น้อยกว่าตัวเลขนี้มากๆ (ดังเช่นในปัจจุบัน) ผมก็ถือว่าตลาดหุ้นเรายังไม่ได้ร้อนแรงจนเกินไปแต่อย่างใดครับ (แต่ก็ต้องดูปัจจัยด้านอื่นประกอบด้วย)


กลับมาที่เรื่องการเมืองบ้านเรา บางทีก็รู้สึกว่าสถานการณ์มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกินกว่าที่จะประเมินไหว สิ่งที่ผมทำได้ก็เพียงวิเคราะห์สถานการณ์คร่าวๆ แล้วจินตนาการถึงผลลัพธ์สุดท้ายว่าจะเป็นเช่นไร.. มีโอกาสที่จะรุนแรงถึงขนาดทำให้ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศ “ปิด” จนการดำเนินธุรกิจต้องหยุดชะงักหรือไม่ นโยบายทางเศรษฐกิจการเงินการคลังมีโอกาสถูกพับแผนลงหรือเปล่า หรือ ระบบทุนนิยมเสรีที่มีมาช้านานจะถูกทำลายหรือไม่ ถ้าไม่ แม้ช่วงนี้บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนจะพอให้อึดอัดทัดทานใจไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่ามันก็เป็นแค่ฤดูกาลหนึ่ง แล้วสุดท้าย เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป

Wednesday, October 16, 2013

ทิ้งลงแม่น้ำ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 16 ตุลาคม 2556

เข้าสู่วันที่ 16 ของ US partial shutdown แต่หุ้นไทยกลับไต่บันไดแห่งความกังวลขึ้นมากว่า 90 จุด หรือราว 6.5% (จาก low ที่ 1381 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม) นักลงทุนดูเหมือนจะให้น้ำหนักในเรื่องของการคงมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯมากกว่าปัญหาเรื่องการปิดบางหน่วยงานของราชการ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นโยบายการเงิน (Monetary policy) ดูจะมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นมากกว่านโยบายการคลัง (Fiscal policy) รวมถึงการที่ Janet Yellen ถูกตั้งขึ้นเป็นผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯคนใหม่อย่างเป็นทางการ ได้ช่วยเสริมภาพความเป็น Dovish ของ Fed (เธอมักให้น้ำหนักกับตัวเลขจ้างงานมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ) ซึ่งหมายถึง QE น่าจะดำรงอยู่แบบนี้ไปจนถึงอย่างน้อยก็สิ้นปี 2013

อย่างไรก็ดี อยากให้ตระหนักไว้ครับว่า การเพิ่มขนาดงบดุลของธนาคารกลาง (Quantitative Easing: QE) ในปริมาณที่มากและยาวนาน (อย่างที่ทำอยู่ในขณะนี้) อาจทำให้เรารู้สึกถึง หรือ ประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์ต่างๆต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (Mispricing of Risk) จนทำให้เกิดการสะสมความเปราะบางขึ้นในระบบการเงินได้ แต่ก็อย่ากลัวหรือระแวงจนเกินเหตุละครับ เพราะแท้จริงแล้ว พื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศรวมถึงเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นด้วย (จากรูป สังเกตว่าในช่วงแรกของ QE1 แม้จะมีการอัดฉีดเงินแล้ว แต่ราคาสินทรัพย์ไทยกลับปรับตัวสวนทางกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะมีปัญหาการเมืองรุนแรงจากเหตุการณ์ปิดสนามบิน) ดังนั้นคำแนะนำของผมในช่วงนี้ก็คือ ให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน และลดการเก็งกำไรที่ไม่จำเป็นลง


ด้านสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์ ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ก็ยังขอใช้คำว่า ‘So far so good’ ครับ จากสภาวะ Contango ที่คุยกันไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน (ราคา Futures มากกว่าราคาสินค้าอ้างอิง) ได้พัดพาเจ้า SET50 Index Futures รุ่นเดือนธันวาคม ให้ขึ้นฝั่งบวกไปเกือบ 30 จุด.. โดย ณ ขณะที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ สภาวะ Contango ก็ยังอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาณบวกอื่นๆ ที่สังเกตได้ในตลาดหุ้นไทย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างที่ว่ามาก็อาจถูกโยนลงแม่น้ำหมดได้ครับ.. เพียงแค่คำว่า US Debt Default คำเดียว แม้ว่าผมจะคิดว่าโอกาสที่จะเกิดคือน้อยมากถึงน้อยมากที่สุดก็ตาม

Wednesday, October 9, 2013

เพราะเมืองไทยมีปาปริก้า

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 9 ตุลาคม 2556

ใกล้เข้ามาอีกนิด ชิดๆเข้ามาอีกหน่อย~ กับวัน D-Day เรื่องขยายเพดานหนี้สหรัฐฯที่จะรู้ผลในช่วงปลายสัปดาห์หน้า เพราะถ้าขยายไม่สำเร็จ โอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯจะผิดนัดชำระหนี้ (Selective Default) จะมีสูงมาก ซึ่งหากเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อวงการตลาดทุน ตลาดเงิน และระบบการชำระเงินทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.. เมื่อระบบการชำระเงินมีปัญหา การค้าระหว่างประเทศก็จะหยุดชะงัก และเราอาจได้เห็นตลาดหุ้นทั่วโลกลดกระหน่ำ Grand sales อีกครั้ง.. แต่เดี๋ยวก่อน! Morgan Stanley บอกว่าโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯจะผิดนัดชำระหนี้คือ 0% นะครับ เย้ๆ ส่วนตัวผมไม่ขอเดา แต่ก็ไม่คิดว่านักการเมืองอเมริกาจะสะบะเลเฮห้าถึงขนาดทำลายประเทศตัวเองขนาดนั้น แต่ก็อย่าชะล่าใจไปละครับ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เพราะเมืองไทยมีปาปริก้า

ถัดจากเรื่องนี้ สิ้นเดือนก็มีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ที่คนกลัวกันหนักกันหนาว่า จะถอนๆๆ มาตรการอัดฉีดเงิน ส่วนตัวผมเดาว่ารอบนี้น่าจะยังไม่ลด QE ครับ ก็แหม การประชุมครั้งที่แล้วเพิ่งผ่านไปเดือนกว่า ตัวเลขเศรษฐกิจคงยังไม่เปลี่ยนไปมากถึงขนาดทำให้ต้องเปลี่ยนใจมาลดคราวนี้กระมัง (คราวที่แล้วก็ไม่ลด).. แต่ท้ายสุดแล้วไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเยี่ยงไร อย่าลืมครับว่า ปัจจัยพื้นฐานต่างหากที่เป็นตัวกำหนดทิศทางของสินทรัพย์นั้นๆ สภาพคล่องที่อัดฉีดเป็นเพียงตัวเพิ่มขนาด (Magnitude) เท่านั้น^^ ไม่เชื่อลองดูรูปข้างล่างสิครับ
                        

ด้านสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์ก็ยังทรงๆ อากงงงงวย เพราะสามวันดีสี่วันไข้ แบบนี้แหละครับ ที่เรียกว่าเรากำลังปีนบันไดแห่งความกังวลกันอยู่.. ที่น่าสนใจก็คือราคาของ SET50 Index Futures ยังนำ SET50 Index แบบเบาๆ ซึ่งถือเป็นสัญญาณชี้อย่างหนึ่งว่าตอนนี้ตลาดไม่ได้แย่นะ ยังไหวนะ โดยศัพท์ในวงการที่ใช้เรียกสภาวะตลาดแบบนี้ก็คือ

CONTANGO ครับ

Monday, October 7, 2013

ทองคำ

ชอบบทความเกี่ยวกับทองคำ 2 ตอนนี้มากครับ ผมเลยขออนุญาตผู้เขียน คุณวิน พรหมแพทย์, CFA (จากเพจ SSO Saving Club) นำมาโพสเก็บไว้ในบล็อกส่วนตัวเพื่อสะดวกต่อการอ่านทบทวน และเผื่อแผ่ไปถึงผู้ที่แวะมาเยี่ยมบล็อกผมด้วย ขอขอบคุณพี่วินไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งครับ

ต้นทุนการขุดทอง ที่ไหนแพงกว่ากัน? 


ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกผันผวนเยอะมาก ขึ้นไปสูงสุดที่ $1,780 ต่อออนซ์ และลงไปต่ำสุดที่ $1,200 ต่อออนซ์ จึงมีคนถามผมเยอะว่า ราคาทองควรจะเป็นเท่าไหร่? คำตอบคือ เป็นเรื่องยากมากที่เราจะคาดราคาทองคำครับ .. เราอาจจะพอประเมินมูลค่าพันธบัตรหรือหุ้นได้โดยคิดมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) จากดอกเบี้ยหรือเงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต แต่ทองคำเป็นการลงทุนชนิดพิเศษ คือ มันไม่จ่ายดอกเบี้ยหรือปันผล จึงประเมินมูลค่าได้ยากครับ

แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอจะบอกได้ คือ การขุดทองคำขึ้นมาจากใต้ดินมี "ต้นทุน" ครับ ทีมงานของผมไปเจอข้อมูลของ Virtual Capitalist เค้าเปรียบเทียบ "ต้นทุน" การขุดทองคำ (นับเฉพาะ Cash Cost คือ ต้นทุนการขุดจริงๆ ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ) พบว่า

- อเมริกาเหนือ มีต้นทุน $598/oz ถูกที่สุดในโลก
- อัฟริกาใต้ มีต้นทุน $957/oz แพงที่สุดในโลก

ทั้งนี้ หากรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองทอง ต้องบวกเพิ่มจาก Cash Cost ไปอีกโดยเฉลี่ยประมาณ $200-300/oz ครับ

การรู้ต้นทุนนี้ ทำให้เราคาดเดาได้ว่า หากราคาทองคำลงไปต่ำมากกว่านี้ เช่น ต่ำกว่า $1,000/oz ก็จะมีเหมืองทองในบางประเทศที่ขุดทองขายแล้วขาดทุนครับ ^^

ที่มา: www.virtualcapitalist.com



ความจริง 10 ข้อที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ “ทองคำ”

1. ทองคำเป็นของที่ทำลายไม่ได้ เมื่อขุดขึ้นมาแล้วก็ยังอยู่บนโลกต่อไปไม่ได้สูญสลายไปไหน ... คาดว่ามีทองคำที่ขุดขึ้นมาบนโลกแล้วประมาณ 170,000 ตัน

2. อุปสงค์ทองคำในตลาดโลก มีประมาณ 4,000 ตัน/ปี ประกอบด้วย 1. ใช้เป็นเครื่องประดับ (50%) 2. ซื้อทองคำแท่งเพื่อการลงทุน (30%) 3. ซื้อลงทุนผ่านกองทุน ETF (5%) 4. ใช้ในอุตสาหกรรม (10%) และ 5. เป็นทุนสำรองของธนาคารกลาง (5%)

3. อุปทานทองคำในตลาดโลก มีประมาณ 4,000 ตัน/ปี เช่นกัน เป็นทองคำขุดใหม่ 60% ส่วนที่เหลือเป็นทองคำที่ถูกหลอมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ (recycled)

4. ประเทศที่ผลิตทองคำมากที่สุดในโลก 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. จีน 2. ออสเตรเลีย 3. สหรัฐอเมริกา 4. รัสเซีย 5. แอฟริกาใต้

5. เหมืองที่จัดว่ามีสินแร่ในเกรดดี เวลาระเบิดหินขนาด 1 ตัน จะได้แร่ทองคำประมาณ 8-10 กรัม ส่วนเหมืองที่มีสินแร่เกรดไม่ดี ระเบิดหินขนาดเท่ากัน จะได้แร่ทองคำประมาณ 1-4 กรัม

6. เหมืองแบบเปิด (open pits) มักจะมีเกรดต่ำกว่าเหมืองแบบปิดที่ต้องขุดเจาะลงไปใต้ดิน ซึ่งนับวันเราต้องขุดลึกลงไปเรื่อยๆ ... เหมืองทองคำที่ลึกที่สุดในโลกชื่อ TauTona อยู่ที่แอฟริกาใต้ มีความลึกเกือบ 4 กิโลเมตร

7. ที่ๆ มีต้นทุนการขุดทองคำ (Cash Cost) ถูกที่สุดในโลก คือ ทวีปอเมริกาเหนือ อยู่ที่ $598/oz ... ที่ๆ มีต้นทุนการขุดทองคำแพงที่สุดในโลก คือ ทวีปแอฟริกา อยู่ที่ $957/oz

8. ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 12 ปีติดกัน (2001 – 2012) จากจุดต่ำสุดที่ $250/oz ไปสูงสุดที่ $1900/oz หรือนับว่าเพิ่มไป 7.6 เท่า .... ในช่วงเดียวกัน ราคาทองคำแท่งในไทยก็ปรับเพิ่มจาก บาทละ 5,200 บาท ไปสูงสุดที่บาทละ 26,000 บาท หรือว่าเพิ่มไป 5 เท่า (ปรับเพิ่มน้อยกว่าราคาในสกุลดอลล่าร์เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งในช่วงที่ผ่านมา)

9. ในปี 2013 ราคาทองคำในตลาดโลกร่วงลงจาก $1,700 ช่วงต้นปี มาซื้อขายกันที่ $1,300 ในปัจจุบัน (ลดลง 25%) ส่วนใหญ่มาจากแรงขายของนักลงทุนระยะสั้นที่ซื้อทองคำผ่านกองทุน ETF แต่ในช่วงที่ราคาทองลงแรง มีแรงซื้อทองคำเพื่อเป็นเครื่องประดับและซื้อทองคำแท่งเพื่อลงทุน (โดยเฉพาะ จีน และ อินเดีย) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

10. ราคาทองคำมักผันผวนในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลล่าร์ (เช่น ราคาทองคำจะสูงขึ้นเมื่อค่าเงินดอลล่าร์อ่อน) และมีความสัมพันธ์กับราคาพันธบัตรและหุ้นค่อนข้างน้อย (Correlation = 0.2 – 0.4) ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ช่วยกระจายความเสี่ยง (Diversification) ได้ดี


Wednesday, October 2, 2013

บันไดแห่งความกังวล

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2556

สถานการณ์ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีหลายเรื่องให้ลอยคอรอลุ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็มีทั้งผิดหวังสมหวังจีรังบ้างไม่ยั่งยืนบ้าง แต่มีอยู่ 2 เหตุการณ์สำคัญที่ผมอยากทบทวนให้ฟังครับ

1. เมื่อคืนวันพุธที่ 18 กันยายน 2556 วันที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศคงมาตรการอัดฉีดเงิน (QE) มูลค่า 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือนต่อไป พร้อมกับปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯปีนี้เหลือ 2-2.3% จาก 2.3-2.6% และ 2.9-3.1% จาก 3-3.5% ในปีหน้า ข่าวนี้ถือว่า Surprise เพราะนักวิเคราะห์และฝูงชนส่วนใหญ่คาดกันว่า Fed จะลดขนาดเงินอัดฉีดอย่างน้อยก็ 1-2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผลก็คือตลาดหุ้นไทยกระหน่ำครับ กระหน่ำขึ้น ดัชนีเปิดกระโดดทันทีในวันถัดมาและปิดบวกอย่างสวยหรูไป 49.93 จุด หรือ 3.47%

แต่หลังจากนั้น เหมือนดั่งสวรรค์แกล้ง ราว 2 สัปดาห์ให้หลังถัดมา หุ้นไทยกลับไถๆลงมาเรื่อยๆ จนหลงจ้งแล้วลบกว่า 100 จุด ปิดไปที่ 1383.16 ในวันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2556

ความกังวลเรื่องลด QE หายไป แล้วทำไมมูลค่าหุ้นไทยถึงหายตาม?

2. ช่วงเช้าเวลาดี 11.00 น. ของวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2556 วันที่เราจะได้รู้กันว่ารัฐบาลสหรัฐจะโดนชาวดัตช์ Shutdown หรือไม่? กลัวมั้ยละครับ เสียวมั้ยละครับ... มักๆ... บ่องตง... พอผลประกาศออกมาเป็น Partially Shutdown ปุ๊ป (คือปิดในบางหน่วยงาน) หุ้นไทยก็ลงกระป๊าปๆๆ ฟิวเจอร์สก็ลงปู๊ดๆๆ ในช่วง 10 นาทีหลังประกาศ

แต่หลังจากนั้นกลับขึ้น...

บทสรุปของผมก็คือ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับความกังวลเหล่านี้มากครับ เพราะแม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาด เหนือคาด หรือผิดคาด แท้จริงแล้วเราต้องกลับสู่ความเป็นจริงที่ว่า แล้วมันเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานแค่ไหน มันทำให้กำไรของบริษัทที่เราลงทุนลดลงหรือเปล่า? ซึ่งความจริงแล้วในแง่ตัวเลขเศรษฐกิจของบ้านเราถือว่าค่อยๆดีขึ้นด้วยซ้ำ ตัวเลขส่งออกไทยในเดือนสิงหาคมกลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยโต 3.9% YoY จากที่หดตัว 1.48% YoY ในเดือนกรกฎาคม และหลงจ้งทำให้ตัวเลขดุลบัญชีเดือนสะพัด (Current account) กลับมาเป็นเกินดุล (Surplus) อย่างสวยหรูที่ 1.2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

เคยได้ยินคำว่าตลาดหุ้นชอบปีนบันไดแห่งความกังวล (Wall of Worries) ไหมครับ?

ว่าที่จริง ผมกลับรู้สึกชอบเวลาที่มีความกังวลเยอะๆ เพราะนั่นหมายถึงทุกคนได้ตระหนักถึงผลลัพธ์ของเหตุการณ์ร้ายๆที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว แต่หากเมื่อใดที่ความกังวลหายไปหมดเกลี้ยง เมื่อนั้นอาจถึงเวลาที่เรา..

ต้องหันไปปลูกผักทำสวนกันซักพักแล้วละครับ