Wednesday, November 27, 2013

Déjà vu

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2556

ผมเพิ่งกลับจากฮ่องกง แวะไปเยี่ยมลูกค้าที่น่ารักมาครับกลับมาก็ตกใจ  เพราะทราบว่ามีบริษัทฝรั่งรายใหญ่เจ้าหนึ่งปรับลดอันดับหุ้นไทยโดยให้น้ำหนักเพียงต่ำกว่าตลาด (Underweight) โดยพ่วงอินโดนิเชียฮ่องกง และออสเตรเลีย ไปด้วย
  
ที่เค้าสะบั้นตลาดหุ้นไทยลงมา ส่วนหนึ่งเพราะเค้าเชื่อว่าตลาดหุ้นในอาเซียนน่าจะ underperform ตลาดหุ้นในเอเซียต่อไปจนถึงปีหน้า เหตุผลก็ง่ายๆครับเพราะเรา outperform คนอื่นมาตลอดตั้งแต่ปี 2006 – 2012 อีกทั้ง 2 ประเทศหลักอย่างไทยกับอินโดนิเซียก็ยังมีประเด็นเรื่องขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account deficit) กับ การขยายตัวของสินเชื่อที่ดูจะมากไปนิส (Excess credit growth) เค้าเลยสรุปว่าเจอกันอีกทีนู้นเลย ครึ่งหลังปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่การเมืองในไทยนิ่งและทุกอย่างถูกปรับเข้าสู่สมดุลแล้ว



มาถึงตอนนี้ก็ต้องยอมรับครับว่า หากมองในเชิงพื้นฐานโอกาสที่ตลาดจะกลับขึ้นไปสูงๆ.. ยาก ในขณะที่ downside ดูจะเปิดซะมากกว่าประเด็นความวุ่นวายทางการเมืองน่าจะส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยไปอีกซักพักอย่างไรก็ดี ผมกลับมีความรู้สึกเดจาวู มันเหมือนว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมนที่เหล่าสำนักเศรษฐกิจทยอยปรับลดคาดการณ์ต่างๆลงมาคล้ายกับช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2011 ซึ่งน่าแปลกที่ช่วงนั้นหุ้นไทยกลับไม่ค่อยลงเท่าไหร่
  
หลายๆอย่างอาจไม่เหมือนกัน แต่ลองดูตลาดหุ้นอียิปต์เป็นตัวอย่างครับช่วงเกิดเหตุการณ์รุนแรงมากๆในเดือนมิถุนา ดัชนี EGX30 ถูกถล่มลงไปราว20% แต่หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) ตลาดกลับเป็นบวกได้ราว17% และถ้านับ 1 ปีย้อนหลัง เป็นบวกถึง 27%



หากมองไปในอนาคต ผมก็มีความหวังลึกๆครับว่าครึ่งปีหลังของปี 2014 ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น และถ้าท่านเชื่อว่าหุ้นซื้อขายบนความคาดหวังเหล่านั้น ก็อาจสรุปได้ว่าณ ช่วงเวลาที่สิ้นหวัง หาทางออกไม่ได้ จนทำให้หุ้นตกหนัก นั่นอาจเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อก็เป็นได้

Wednesday, November 20, 2013

ณ จุดนั้น ชั้นทำอะไร

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2556

วันก่อนได้อ่านเปเปอร์สั้นๆฉบับหนึ่ง เจอรูปน่าสนใจดี เลยนำมาฝากแฟนๆคอลัมภ์ซะหน่อยครับ
ก่อนจะอธิบายรูป ผมอยากจะพูดถึงศาสตร์หนึ่งที่ชื่อว่า จิตวิทยามวลชน (Behavioral Finance) ก่อน ศาสตร์นี้เกี่ยวข้องกับพวกเรานักลงทุนแน่นอนครับ เพราะบางครั้งมันช่วยอธิบายถึงความไม่มีเหตุผลของราคาสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือ ตราสารอนุพันธ์ ว่าทำไมบางครั้งราคามันถึงไม่เป็นไปตามพื้นฐาน ทำไมหุ้นตัวนั้นแพงแล้วถึงแพงได้อีกแต่ทำไมบางตัวถูกอยู่อย่างนั้นสม่ำเสมอ หรือ ทำไมเมื่อมีความกังวลต่างๆเยอะแยะตาแป๊ะเป็นลม แต่หุ้น หรือ ตราสารอนุพันธ์ของหุ้นกลับไม่ลง.. บางทีมันก็อาจเป็นเรื่องของอารมณ์ และ ความคาดหวัง

คำอธิบายของ Behavioral Finance โดยตรงก็คือ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ครับ ไม่ว่าจะเป็นทางสังคม อารมณ์ หรือความรู้สึก เพื่อนำไปอธิบายถึงการตัดสินใจของนักลงทุนในสถานการณ์ต่างๆ ที่จะมีผลต่อราคาสินทรัพย์ เช่น พฤติกรรมตอบสนองมากเกินไปหรือน้อยเกินไป (Over-react and Under-react) พฤติกรรมแห่ตามคนส่วนใหญ่ เค้าว่าไงเราว่างั้น (Herd instinct) หรือ พฤติกรรมการซื้อขายตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง หุ้นผีบอก เค้าบอก (Noise trading) ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นักวิชาการเค้ามักนำมาใช้โต้แย้งกับทฤษฎีความมีประสิทธิภาพของตลาดครับ (Efficient market theory)

ผมคงไม่ลงในรายละเอียดมากไปกว่านี้ เพราะเขียนไปก็รู้สึกว่าเริ่มจะงงเอง.. กลับมาที่รูปดีกว่า คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตการลงทุนรึเปล่า เช่น รู้สึกว่า “โอ้วว ช่วงเวลานี้ฉันอยากลงทุนจริงๆเลย รู้สึกดีมากๆเลย ซื้อเต็มแมกส์!” นั่นละครับ ณ จุดความรู้สึกนั้น คุณอาจกำลังใกล้ถึงยอดดอย ซึ่งในรูปแทนด้วยคำว่า “Euphoria” (หมายถึง ความรู้สึกสนุกสนานตื่นเต้นเป็นที่สุด) ซึ่งจากนั้นไม่นาน หุ้นก็ลง หรือ คุณเคยรู้สึกหดหู่แบบนี้บ้างไหม “เอ้อ เล่นทีไร โดนทุกที เซงเป็ดพะโล้จริงๆ ตลาดหุ้นคงไม่เหมาะกับเรากระมัง ขายโล๊ะพอร์ต!” ซึ่งหารู้ไม่ว่า ณ จุดนั้นราคามันอาจกำลังจะถึงก้น และหลังจากนั้นไม่นาน มันก็เด้ง

ที่เขียนทั้งหมด เพียงเพื่อจะให้ตระหนักว่า บางทีอะไรๆที่เราคิด มันก็อาจไม่เป็นอย่างที่คิดครับ ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน (Uncertainty is the only certainty) การวิเคราะห์การลงทุน บางทีมองในแง่มุมเดียวคงไม่ได้ การบริหารความรู้สึก อารมณ์ เป็นเรื่องจำเป็น และที่สำคัญคือ รู้ให้เยอะเข้าไว้ครับ เพราะไม่ว่าสถานการณ์ใดมาถึง เราก็แค่เปิดลิ้นชัก หยิบความรู้ที่เรามีมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์  เท่านั้นเอง

Wednesday, November 13, 2013

คิดถึงคิทแคท

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2556

ช่วงปลายสัปดาห์ก่อนผมได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาซึ่งจัดโดยนิตยสาร Asia Asset Management ผู้พูดหลายท่านเป็นกูรูผู้บริหารเงินมูลค่านับล้านล้านบาท โดยมีประเด็นที่น่าสนใจนำมาฝากเล็กน้อยครับ

กูรู เชื่อว่า ปัจจัยที่สนับสนุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอาจกำลังจะเปลี่ยนเป็นปัจจัยคุกคามนับแต่นี้ไป อันได้แก่ US QE tapering การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ระดับหนี้ที่เพิ่มขึ้นของบางประเทศในเอเซีย และตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของอเมริกาและยุโรป (ทำให้อาจมีการโยกย้ายเงินทุนจาก Emerging markets ไป Developed markets มากขึ้น) อย่างไรก็ดี  แม้จะมีปัจจัยคุกคาม แต่ก็อย่าเพิ่งทุกข์ใจครับ เพราะในระยะยาวแล้ว เอเซีย (โดยเฉพาะพวกเรา ASEAN) เศรษฐกิจยังโตได้หล่อกว่าประเทศอื่นๆอยู่หลายอึดใจ ตัวเลขต่างๆบ่งบอกว่าปัจจัยพื้นฐานของเรายังดูดีอยู่มากเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตปี 1997 สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่ายังห่างไกลกับคำว่า crisis อยู่พอสมควร.. ว่าที่จริง วิกฤตมักจะมาในเวลาที่คนส่วนใหญ่มักคาดไม่ถึง เพราะฉะนั้นเลิกกังวล แล้วลงทุนอย่างระมัดระวังและรอบคอบดีกว่าครับ


ถัดมา ตารางด้านบนผมนำมาฝาก (ข้อมูลโดยมิสเตอร์ ปรเมศร์ ทองบัว นักกลยุทธ์ชื่อก้องแห่งค่ายบัวหลวง) ประเด็นก็คือ หากดูปริมาณการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมของทุกปี นักลงทุนสถาบันมียอดเป็น Net buy เกือบทั้งหมด ซึ่งนั่นบ่งบอกพลัง LTF/RMF จากพวกเรานักลงทุนรายย่อยที่ส่งผ่านไปยังนักลงทุนสถาบัน ช่วยให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้ในทุกเดือนธันวาคม (ยกเว้นปี 2006 เพราะมีเรื่องรัฐประหารและมาตรการ capital control) ส่วนตารางด้านขวาสุดเป็นการเปรียบเทียบ performance กับดัชนี MXFEJ (คำนวณจาก จีน ฮ่องกง อินโด เกาหลี มาเล ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และ ไทย) ก็จะเห็นว่า SET เรา outperform ดัชนีดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่ด้วยครับ

กล่าวโดยสรุปคือ หากใครคิดจะ Short ตลาดหุ้นไทยหนักๆ เพื่อเก็งลำไย เอ้ย เก็งกำไร ในช่วงที่เหลือของปี อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังซักเล็กน้อยครับ แต่หากใครคิดจะพัก ให้คิดถึง คิดแคท... นะ

(ฮา) กริบ

Wednesday, November 6, 2013

ดาวม้าปีกทอง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2556

เหลืออีกเพียงไม่ถึง 1300 ชั่วโมง เราก็จะได้ก้าวสู่ปีใหม่ ปี 2557 ปีมะเมีย ด้วยกัน ว่ากันว่าปีนี้จะเป็นปีที่คึกคักมากครับ เพราะจะได้รับแรงส่งจากทั้งดาวม้าปีกทอง พลังงานหลักจากธาตุไม้ และพลังงานแฝงจากธาตุไฟ ซึ่งตามหลักโหราศาสตร์จีนบอกว่า พลังเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดพลังงานแรงส์ถึง 2 เท่า  บอกเป็นนัยว่าในปีหน้า หากเราทำเรื่องดีๆ ผลดีก็จะส่งผลคูณสอง แต่หากทำเรื่องไม่ดี ผลร้ายก็จะส่งผลทวีคูณเช่นกัน
  
ผมเกริ่นนำแบบนี้เพื่อที่จะให้เพื่อนๆนักลงทุนไม่เครียดกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันมาก อย่าลืมครับว่า เราผ่านเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516,  พฤษภาทมิฬ ปี 2535, ปิดสนามปิดสุวรรณภูมิ ปี 2551, ชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ปี 2553 ซึ่งทุกครั้ง เราก็ฟันฝ่ามาได้ (แม้ต้องใช้เวลา) และประเทศไทยก็เดินหน้ามาจนถึงทุกวันนี้.. ทำสิ่งที่ดี คิดดี และเตรียมพร้อมก้าวสู่ปีใหม่ 2557 ไปด้วยกันดีกว่าครับ  


ในส่วนของตลาด จากกราฟและตารางด้านบนก็จะเห็นครับว่า (ข้อมูลจนถึง 5/11/56) นักลงทุนต่างชาติเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน ด้วยการขายหุ้นไทย แต่การขายครั้งนี้ หากเทียบกับช่วงเดือนมิถุนา หรือ สิงหา ก็ยังถือว่ายังห่างไกล ส่วนตัวผมเชื่อว่าถัดจากนี้ฝรั่งจะเข้าๆออกหุ้นไทยไปเรื่อยๆ ไม่มีแนวโน้มชัดเจนจนกว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะประกาศลดปริมาณ QE อย่างมีนัยสำคัญ.. ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็น่าจะทรงๆ หรือเริ่มน้อยลงเมื่อเข้าใกล้สิ้นปี ในขณะที่แรงซื้อ LTF/RMF จากนักลงทุนรายย่อยที่ส่งผ่านไปยังนักลงทุนสถาบันอาจจะเป็นพระเอกช่วยผลักดันราคาหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะนักลงทุนอาจซื้อ “ทิ้งทวน” เนื่องจากมีข่าวว่าปีหน้าอาจมีการยกเลิกผลประโยชน์ทางภาษี LTF/RMF ละ (ยังไม่ได้สรุปเป็นทางการ)

ว่าแล้ว ก็ขอไปซื้อเพิ่มอีกนิดๆหน่อยๆครับ