Sunday, June 26, 2016

ความผิดพลาดจากการลงทุน

สวัสดีครับ,

อีกไม่ถึงเดือนชีวิตการทำงานในแวดวงตลาดทุนของผมก็จะเข้าสู่ปีที่ 8 แล้วครับ ความจริงผมได้มีโอกาสสัมผัสงานวิศวกรซึ่งเป็นสายอาชีพที่ได้เรียนจบมาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะย้ายมาทำงานในบริษัทหลักทรัพย์ โดยงานวิศวกรที่ได้ทำนั้นอยู่ในส่วนพัฒนากระบวนการทำงานของบริษัทประกันภัยซึ่งก็จัดว่าเป็นสถาบันการเงินเช่นกัน เรียกได้ว่าตั้งแต่จบปริญญาใบแรกมาผมก็ได้ทำงานคลุกคลีอยู่ในธุรกิจการเงินมาตลอด

ที่เกริ่นเล่าประวัติเล็กน้อยก็เพื่อจะนำไปสู่ประเด็นหลักที่จะคุยกันวันนี้ครับ นั่นก็คือเรื่อง ความผิดพลาดจากการลงทุนในช่วงเวลาการทำงานในธุรกิจหลักทรัพย์นั้น ขอบข่ายงานที่ผมได้รับมอบหมายและเคยได้ทำครอบคลุมถึงการดูแลให้บริการและให้คำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ที่ลูกค้าสนใจ ตั้งแต่รายยิบย่อย รายย่อย รายกลาง รายใหญ่ ตลอดไปจนถึงนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ผมพบว่านักลงทุนแทบจะทุกรายมักมีความลำเอียงในการตัดสินใจ มากน้อยลดหลั่นกันไป ซึ่งบางทีเป็นเรื่องของจิตวิทยา และนั่นมักนำไปสู่ความผิดพลาดในการลงทุนในที่สุด ผมจะลองหยิบเรื่องที่น่าสนใจและเกิดขึ้นบ่อย ซัก 3 เรื่องมาคุยกันวันนี้ครับ

เรื่องแรกมีชื่อว่า Availability heuristic ความหมายคือ คนเรามักใช้ประสบการณ์ส่วนตัวที่เห็นอยู่บ่อยๆ หรือจากสิ่งที่เพิ่งได้เห็นและยังจดจำได้ดีมาตัดสินเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยไม่คำนึงถึงสถิติความน่าจะเป็นจริงๆ เช่น ย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ถ้าลองถามคนในช่วงเวลานั้นว่ามีโอกาสมากแค่ไหนที่ปีหน้าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่แบบนี้อีก ส่วนใหญ่ตอบว่ามีโอกาสเกิดมากกว่า 50% ครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว ในปี 2555 ก็ไม่ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่อย่างที่กังวลกัน (ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์จะพบว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อยๆ) ตัวอย่างที่พบจากเรื่องการลงทุนก็เช่น ข่าวการแพร่ระบายของไข้หวัดนกเมื่อหลายปีก่อนที่ทำให้หุ้นกลุ่มอาหารถูกเทขายระเนระนาด ข่าวคนไข้ติดเชื้อร้ายแรงจากต่างชาติมารักษาที่โรงพยาบาลในไทยจนทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะไม่มีคนไข้ไปรักษาที่โรงพยาบาลนั้นและทำให้หุ้นถูกขายหนัก ทางแก้ของผมในเรื่องนี้ก็คือให้เราเปลี่ยนวิธีคิดเล็กน้อยครับ เช่น แทนที่จะตั้งคำถามว่า อีกนานแค่ไหนกว่าคนไข้ติดเชื้อจะหายและออกจากโรงพยาบาลนี้ ให้เปลี่ยนเป็น มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่คนไข้ติดเชื้อจะอยู่โรงพยาบาลนานเกิน 1 ปีเห็นไหมครับว่าความรู้สึกต่างกัน ซึ่งแท้จริงแล้วความจริงมันก็เหมือนเดิมละครับ เพียงแต่พลิกมุมคิดเพื่อให้เราตระหนักได้ชัดขึ้นว่า สิ่งใดที่กำลังเกิดขึ้นไม่จำเป็นว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็เท่านั้นเอง   

เรื่องที่สองชื่อว่า Attention bias ความหมายคือ คนเรามักให้ความสนใจกับเหตุการณ์หรือสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษและเหมารวมคิดว่ามันใช่ (ต้องใช่แน่ๆ) เช่น นักลงทุนเชื่อว่าเวลามีรายงานผู้บริหารซื้อหุ้นบริษัทตนเอง หุ้นมักจะขึ้น หรือเวลาที่ผู้บริหารขายหุ้นบริษัทตนเอง หุ้นมักจะลง จนลืมสังเกตไปว่ามีอยู่หลายครั้งนะที่ผู้บริหารซื้อแต่หุ้นไม่ขึ้น (หรือบางทีกลับลง) หรือผู้บริหารขายแต่หุ้นไม่ลง (หรือบางทีกลับขึ้น) ความผิดพลาดของการคิดในลักษณะนี้ผมคิดว่าเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องของ Availability cascade ด้วยครับ ซึ่งหมายถึงการเชื่อกระแสที่พูดตามๆ กันมา พอเราได้ยินบ่อยครั้งเข้าก็เผลอคิดว่ามันเป็นจริง (เหมือนถูกล้างสมอง) ทั้งที่ผลประกอบการหรือแนวโน้มธุรกิจของบริษัทนั้นๆ อาจไม่ได้ดีจริงอย่างที่ผู้บริหารให้สัมภาษณ์หรือนักข่าวเต้าข่าวก็เป็นได้ แต่พอได้ฟังบ่อยๆ เข้า เอ่อ.. มันก็เริ่มอิน เหมือนที่ฝรั่งเขาพูดกันว่า “Lie that are told once may not be well received, but telling a lie a thousand times will be believed.”

เรื่องสุดท้ายสำหรับวันนี้ชื่อว่า Anchoring ครับ แปลตรงตัวว่า การยึดติด หมายถึงเรามักให้ความสำคัญกับข้อมูลบางอย่างมากจนเกินไป เช่น หุ้นตัวหนึ่งราคาเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 100 บาท ถ้าราคาลงมาครึ่งหนึ่งเหลือ 50 บาท นักลงทุนบางกลุ่มมักจะคิดว่าหุ้นถูกละ (เพราะไปยึดติดกับราคาสูงสุดของหุ้น) หรือถ้าเขามีหุ้นนั้นต้นทุนอยู่ที่ 100 บาท เขาก็จะรอให้หุ้นขึ้นไปถึงราคาทุนก่อนจึงค่อยขาย ทั้งที่จริงๆ แล้วหากเป็นนักลงทุนระยะยาวไม่ควรนำต้นทุนมาเป็นปัจจัยตัดสินในการซื้อขายหุ้นเลย สิ่งที่นำมาวิเคราะห์ว่าหุ้นถูกหรือแพงและควรขายหรือไม่นั้นควรจะเป็นข้อมูลทางปัจจัยพื้นฐาน เช่น แนวโน้มผลประกอบการบริษัท อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี อัตราเงินปันผล หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไร เป็นต้น 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความผิดพลาดจากการลงทุนที่ผมย่อมาให้อ่านในวันนี้ครับ ก่อนจะจบบทความผมอยากจะทิ้งท้ายไว้ว่าอายุหรือประสบการณ์ในการลงทุนนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคุณจะต้องประสบความสำเร็จในการลงทุน หากแต่การใช้สติปัญญาและเหตุผลในการตัดสินใจได้ดีแค่ไหนต่างหากที่จะบอกได้ว่าคุณจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญก็คือการควบคุมอารมณ์ไม่ให้คล้อยตามไปกับฝูงชน รวมถึงศึกษาหาความรู้ให้มากเข้าไว้ครับ

Wednesday, June 1, 2016

5 ทีเด็ดจาก Warren Buffett (For Intania 89 #3)

สวัสดีครับ,

เมื่อคืนกลางดึกของวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสนั่งดูการถ่ายทอดสดการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท Berkshire Hathaway ที่เป็นการถ่ายทอดครั้งแรกทางอินเตอร์เน็ตให้ผู้ชมทั่วโลกได้ดูไปพร้อมกับผู้เข้าประชุมหลายหมื่นคนในเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา จริงๆ แล้วถ้าหากไม่มีการถ่ายทอดนี้ ผู้ที่จะได้ร่วมประชุมนั้นจะต้องถือหุ้นอย่างน้อย 1 หุ้น (ณ เวลาที่เขียนบทความอยู่นี้ หุ้น Berkshire (BRK-A) สนนราคาหุ้นละเพียง 211,180 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7.5 ล้านบาทเท่านั้นครับ) ภาพที่เห็นก็คือมีคุณปู่ 2 ท่านนั่งอยู่บนเวที คนซ้ายนามว่า Warren Buffett CEO และผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Berkshire คนขวานามว่า Charlie Munger รองประธานฯ และคู่หูของ Warren Buffett และยังมีเอกสาร ขนมขบเคี้ยว แก้วน้ำและน้ำอัดลมวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมที่จะบรรยายและตอบคำถามผู้ถือหุ้นทุกท่านอย่างถึงไหนถึงกัน


ผมไม่ได้จะมาสรุปผลการประชุมหรอกครับ เพราะเรียนตรงๆ ว่าดูไม่จบ ก็การประชุมเล่นยืดยาวไปจนถึงเช้ามืดวันที่ 1 พฤษภาคม (เวลาประเทศไทย) ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ตัวจริงก็คงหลับคาโต๊ะนั่นละครับ แต่ที่น่าสนใจก็คือคำกล่าวที่ว่าเมื่อ “Buffett (และ Munger) พูด โลกจะหยุดฟังนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นจริง นักลงทุนยุคนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก Warren Buffett บุรุษผู้ซึ่งบริหารบริษัท Berkshire จนทำให้มูลค่าหุ้นขึ้นมามากกว่า 1,000,000% ในช่วงปี 1964-2015 ในขณะที่ดัชนี S&P500 ขึ้นมาเพียง 2,300% ในบทความนี้ผมเลยเลือกคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่น่าสนใจที่ Buffett เคยกล่าวไว้ในหลายๆ โอกาสมาสรุปยำรวม 5 ข้อสั้นๆ ดังนี้ครับ


ข้อแรก อย่าซื้อหุ้นในบริษัทที่คุณไม่เข้าใจ และถ้าคิดว่าไม่สามารถจะถือหุ้นนั้นได้ถึง 10 ปี แค่เพียง 10 นาทีก็อย่าคิดที่จะเป็นเจ้าของมันข้อสอง อย่าลงทุนตามฝูงชน การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้นคุณต้องแยกตัวให้ขาดจากความโลภและความกลัวของคนอื่นรอบๆ ตัวคุณ แม้ในสถานการณ์จริงจะเป็นไปได้ยากก็ตามข้อสาม รู้ตัวว่าคุณไม่รู้ในเรื่องอะไร และจงรู้จักเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของผู้อื่นและอย่าทำตามข้อสี่ การลงทุนที่ดีที่สุดก็คือการลงทุนในตัวคุณเอง ลงทุนในการศึกษาให้มากตั้งแต่อายุยังน้อย อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า รวมถึงฝึกสื่อสารทั้งการพูดและการเขียนให้ดี เพราะนั่นจะช่วยเพิ่มมูลค่าและรับประกันอนาคตของคุณในระยะยาวและข้อห้า ให้ลงทุนใน Broad-based index fund ที่ล้อไปตามดัชนี S&P 500” งงใช่ไหมละครับข้อนี้ ไม่เป็นไร ผมจะขยายความให้

ก่อนอื่นขอเล่าก่อนว่ากองทุนที่เราซื้อขายกันนั้นถูกแบ่งกว้างๆ ออกเป็น 2 ประเภทครับ ประเภทแรกเราเรียกว่า Active fund กองประเภทนี้จะมีผู้จัดการกองทุนบริหาร ช่วยตัดสินใจลงทุนให้โดยมุ่งหวังให้ผลตอบแทนชนะตลาด ประเภทที่สองเรียกว่า Passive fund เป็นกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนไม่ต้องตัดสินใจลงทุน หน้าที่มีเพียงคอยจัดการให้มูลค่ากองทุน (NAV) ล้อไปกับดัชนีที่ยึดเป็นสิ่งอ้างอิงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้กองทุนประเภท Passive fund จึงมีค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนที่ต่ำกว่า Active fund ค่อนข้างมากครับ

ที่ Buffett กล่าวว่าให้ลงทุนใน Broad-based index fund ที่ล้อไปกับดัชนี S&P 500 นั้น กองทุนนี้ก็จัดเป็น Passive fund ประเภทหนึ่งครับ โดย Buffett มีความเชื่อในเรื่องนี้มานานแล้วว่า ในระยะยาวแล้วการลงทุนใน Passive Fund จะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนใน Active fund” (ไม่ใช่เพราะว่าผู้จัดการกองทุน Active fund ไม่เก่ง แต่เพราะค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการกองทุนนั้นต่างกันมาก) เค้าถึงกับเดิมพันกับ Hedge Fund ในอเมริกาที่ชื่อว่า Protégé Partners ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงินบริจาค 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ผู้ชนะจะได้สิทธิ์เลือกว่าจะบริจาคให้กับมูลนิธิใด) ว่ากองทุนอย่าง Vanguard S&P 500 ซึ่งเป็น Passive fund ที่ล้อไปตามดัชนี S&P 500 จะทำผลตอบแทนได้ชนะ Hedge funds ที่เป็น Active fund ภายใน 10 ปี จนถึงเวลานี้ผ่านไปแล้ว 8 ปี ผลตอบแทนสะสมของฝั่ง Buffett สูงถึง 65.7% ในขณะที่ฝั่ง Hedge funds ทำได้เพียง 21.9% ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2017 ที่เป็นวันสิ้นสุดการเดิมพันครั้งนี้ Buffett คงเป็นผู้ได้เลือกว่าจะนำเงินไปบริจาคให้กับที่ใดครับ

ทั้งหมดนี้ก็คือแก่นเพียงเศษเสี้ยวของนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งของโลกที่ผมกลั่นออกมาให้อ่านกันครับ ไว้มีโอกาสในคราวถัดๆ ไปผมจะหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจของนักลงทุนท่านอื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังอีก คอยติดตามกันนะครับ

นอกหรือในใครจี๊ด

สวัสดีครับ,

เป็นที่น่าสนใจว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาปีนี้เป็นบวก 20 จุด หรือ 1.4% สวนทางวลีเด็ด Sell in May ไปเลยละครับ ความจริงหุ้นมาขึ้นหนักๆ ในช่วงอาทิตย์สุดท้าย ซึ่งพอไปดูตัวเลขก็ไม่น่าสงสัยว่าทำไม ก็พี่ฝรั่งเล่นซื้อสุทธิ SET50 index futures 5 วันรวดหลงจ้งถึง 36,738 สัญญา ทำให้ตัวเลขสุทธิทั้งเดือนพลิกกลับมาเป็นบวก 400 สัญญา และพอรวมตัวเลขทั้งปี ฝรั่งซื้อสุทธิถึง 158,837 สัญญาครับ

Screen Shot 2559-06-01 at 4.56.44 PM

ในแง่ตลาดหุ้นนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาฝรั่งยังคงซื้อสะสมโดยเป็นยอดสุทธิถึง +1.8 หมื่นล้านบาท แม้จะยังไม่ถึงครึ่งปีแต่ก็เรียกได้ว่ามีลุ้นมากขึ้นครับที่นักลงทุนต่างชาติจะพลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิในปีนี้หลังจากที่ขายหนักๆ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหลายแสนล้านบาท ที่น่าสนใจก็คือนักลงทุนสถาบันในประเทศที่เป็นผู้ซื้อหนักๆ รองรับแรงขายฝรั่งในช่วงหลายปีที่ผ่านกลับเริ่มซื้อเบาบางลงในปีนี้ ซึ่งผมคิดว่าแนวโน้มการชะลอซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศอาจจะมีต่อเนื่อง (และอาจพลิกเป็นขายสุทธิได้ในที่สุด) เห็นได้จากตัวอย่างหนึ่งก็คือมีข่าวว่ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของประเทศได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจาก 10.2% เมื่อสิ้นปี 2015 เหลือ 7-8% ในปัจจุบัน ในขณะที่ไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศจาก 25% เป็น 30% และ property assets จาก 8% เป็น 12%

Screen Shot 2559-06-01 at 4.56.52 PM

ก็ต้องมาลุ้นกันต่อครับว่าพลังเงินนอกกับเงินในใครจะแรงและมีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่ากัน แต่โดยปกติแล้วถ้าเงินนอกมาจริงของเค้ามักจะแรงละครับ