สวัสดีครับ,
อีกไม่ถึงเดือนชีวิตการทำงานในแวดวงตลาดทุนของผมก็จะเข้าสู่ปีที่ 8
แล้วครับ
ความจริงผมได้มีโอกาสสัมผัสงานวิศวกรซึ่งเป็นสายอาชีพที่ได้เรียนจบมาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
ก่อนที่จะย้ายมาทำงานในบริษัทหลักทรัพย์ โดยงานวิศวกรที่ได้ทำนั้นอยู่ในส่วนพัฒนากระบวนการทำงานของบริษัทประกันภัยซึ่งก็จัดว่าเป็นสถาบันการเงินเช่นกัน
เรียกได้ว่าตั้งแต่จบปริญญาใบแรกมาผมก็ได้ทำงานคลุกคลีอยู่ในธุรกิจการเงินมาตลอด
ที่เกริ่นเล่าประวัติเล็กน้อยก็เพื่อจะนำไปสู่ประเด็นหลักที่จะคุยกันวันนี้ครับ
นั่นก็คือเรื่อง “ความผิดพลาดจากการลงทุน” ในช่วงเวลาการทำงานในธุรกิจหลักทรัพย์นั้น ขอบข่ายงานที่ผมได้รับมอบหมายและเคยได้ทำครอบคลุมถึงการดูแลให้บริการและให้คำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ที่ลูกค้าสนใจ
ตั้งแต่รายยิบย่อย รายย่อย รายกลาง รายใหญ่ ตลอดไปจนถึงนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ
ผมพบว่านักลงทุนแทบจะทุกรายมักมีความลำเอียงในการตัดสินใจ มากน้อยลดหลั่นกันไป ซึ่งบางทีเป็นเรื่องของจิตวิทยา
และนั่นมักนำไปสู่ความผิดพลาดในการลงทุนในที่สุด ผมจะลองหยิบเรื่องที่น่าสนใจและเกิดขึ้นบ่อย
ซัก 3 เรื่องมาคุยกันวันนี้ครับ
เรื่องแรกมีชื่อว่า Availability heuristic ความหมายคือ
คนเรามักใช้ประสบการณ์ส่วนตัวที่เห็นอยู่บ่อยๆ หรือจากสิ่งที่เพิ่งได้เห็นและยังจดจำได้ดีมาตัดสินเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยไม่คำนึงถึงสถิติความน่าจะเป็นจริงๆ เช่น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ถ้าลองถามคนในช่วงเวลานั้นว่ามีโอกาสมากแค่ไหนที่ปีหน้าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่แบบนี้อีก
ส่วนใหญ่ตอบว่ามีโอกาสเกิดมากกว่า 50% ครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว ในปี 2555 ก็ไม่ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่อย่างที่กังวลกัน
(ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์จะพบว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อยๆ) ตัวอย่างที่พบจากเรื่องการลงทุนก็เช่น
ข่าวการแพร่ระบายของไข้หวัดนกเมื่อหลายปีก่อนที่ทำให้หุ้นกลุ่มอาหารถูกเทขายระเนระนาด
ข่าวคนไข้ติดเชื้อร้ายแรงจากต่างชาติมารักษาที่โรงพยาบาลในไทยจนทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะไม่มีคนไข้ไปรักษาที่โรงพยาบาลนั้นและทำให้หุ้นถูกขายหนัก
ทางแก้ของผมในเรื่องนี้ก็คือให้เราเปลี่ยนวิธีคิดเล็กน้อยครับ เช่น
แทนที่จะตั้งคำถามว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าคนไข้ติดเชื้อจะหายและออกจากโรงพยาบาลนี้”
ให้เปลี่ยนเป็น “มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่คนไข้ติดเชื้อจะอยู่โรงพยาบาลนานเกิน 1
ปี”
เห็นไหมครับว่าความรู้สึกต่างกัน
ซึ่งแท้จริงแล้วความจริงมันก็เหมือนเดิมละครับ เพียงแต่พลิกมุมคิดเพื่อให้เราตระหนักได้ชัดขึ้นว่า
“สิ่งใดที่กำลังเกิดขึ้นไม่จำเป็นว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
ก็เท่านั้นเอง
เรื่องที่สองชื่อว่า Attention bias ความหมายคือ
คนเรามักให้ความสนใจกับเหตุการณ์หรือสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษและเหมารวมคิดว่ามันใช่
(ต้องใช่แน่ๆ) เช่น นักลงทุนเชื่อว่าเวลามีรายงานผู้บริหารซื้อหุ้นบริษัทตนเอง
หุ้นมักจะขึ้น หรือเวลาที่ผู้บริหารขายหุ้นบริษัทตนเอง หุ้นมักจะลง จนลืมสังเกตไปว่ามีอยู่หลายครั้งนะที่ผู้บริหารซื้อแต่หุ้นไม่ขึ้น
(หรือบางทีกลับลง) หรือผู้บริหารขายแต่หุ้นไม่ลง (หรือบางทีกลับขึ้น) ความผิดพลาดของการคิดในลักษณะนี้ผมคิดว่าเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องของ
Availability cascade ด้วยครับ ซึ่งหมายถึงการเชื่อกระแสที่พูดตามๆ กันมา พอเราได้ยินบ่อยครั้งเข้าก็เผลอคิดว่ามันเป็นจริง
(เหมือนถูกล้างสมอง) ทั้งที่ผลประกอบการหรือแนวโน้มธุรกิจของบริษัทนั้นๆ อาจไม่ได้ดีจริงอย่างที่ผู้บริหารให้สัมภาษณ์หรือนักข่าวเต้าข่าวก็เป็นได้
แต่พอได้ฟังบ่อยๆ เข้า เอ่อ.. มันก็เริ่มอิน เหมือนที่ฝรั่งเขาพูดกันว่า “Lie
that are told once may not be well received, but telling a lie a thousand times
will be believed.”
เรื่องสุดท้ายสำหรับวันนี้ชื่อว่า Anchoring ครับ แปลตรงตัวว่า การยึดติด
หมายถึงเรามักให้ความสำคัญกับข้อมูลบางอย่างมากจนเกินไป เช่น
หุ้นตัวหนึ่งราคาเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 100 บาท ถ้าราคาลงมาครึ่งหนึ่งเหลือ 50 บาท นักลงทุนบางกลุ่มมักจะคิดว่าหุ้นถูกละ
(เพราะไปยึดติดกับราคาสูงสุดของหุ้น) หรือถ้าเขามีหุ้นนั้นต้นทุนอยู่ที่ 100
บาท
เขาก็จะรอให้หุ้นขึ้นไปถึงราคาทุนก่อนจึงค่อยขาย ทั้งที่จริงๆ
แล้วหากเป็นนักลงทุนระยะยาวไม่ควรนำต้นทุนมาเป็นปัจจัยตัดสินในการซื้อขายหุ้นเลย
สิ่งที่นำมาวิเคราะห์ว่าหุ้นถูกหรือแพงและควรขายหรือไม่นั้นควรจะเป็นข้อมูลทางปัจจัยพื้นฐาน
เช่น แนวโน้มผลประกอบการบริษัท อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี อัตราเงินปันผล หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไร
เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความผิดพลาดจากการลงทุนที่ผมย่อมาให้อ่านในวันนี้ครับ
ก่อนจะจบบทความผมอยากจะทิ้งท้ายไว้ว่าอายุหรือประสบการณ์ในการลงทุนนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคุณจะต้องประสบความสำเร็จในการลงทุน
หากแต่การใช้สติปัญญาและเหตุผลในการตัดสินใจได้ดีแค่ไหนต่างหากที่จะบอกได้ว่าคุณจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
และที่สำคัญก็คือการควบคุมอารมณ์ไม่ให้คล้อยตามไปกับฝูงชน
รวมถึงศึกษาหาความรู้ให้มากเข้าไว้ครับ
No comments:
Post a Comment